ตอนที่ 43 ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน / ตอนที่ 44 โชคดี

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 43 ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจน

เจ้าใหญ่รีบกล่าว “ท่านแม่ ท่านพูดผิดแล้ว ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนั้นจริง เพียงแต่คนที่ชนะแป้งหมี่ขาวถุงนั้นในวันนี้กินเก่งนัก หมั่นโถวนั่น ข้ากับเจ้ารองกินรวมกันยังไม่เยอะเท่าเขาคนเดียวเลย ท่านว่าเจอคนเช่นนั้น ไหนเลยพวกข้าจะเอาชนะได้”

หญิงชราถลึงตามองเจ้าใหญ่ “วันนี้เจ้ากินไปกี่ลูก”

เจ้าใหญ่ยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว “สี่ลูก”

“แล้วเจ้าล่ะ” นางหันไปมองเจ้ารองอีก

“สองลูก” เจ้ารองยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว

สตรีสูงวัยสกุลไป๋รู้สึกว่าเนื้อของตนเริ่มเจ็บปวด “รวมกับหนึ่งร้อยเหวินซื้อหมั่นโถวหกลูก”

เจ้ารองรับกล่าว “ต้องโทษเถ้าแก่นั่น เขาขี้โกงนัก ให้กินเพียงหมั่นโถว ไม่ให้น้ำดื่ม ระหว่างทางที่พวกข้ารีบไปที่นั่น เดิมทีก็กระหายน้ำอยู่แล้ว ยังให้พวกข้ากินแต่เพียงหมั่นโถวเท่านั้น ไหนเลยจะกินได้ลงเล่า!”

ฝ่ายมารดาโบกมือ “เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องนี้โทษว่าผู้อื่นใจดำไม่ได้ ต้องโทษที่พวกเจ้าไร้ประโยชน์เกินไป กินหมั่นโถวก็ยังกินให้แพ้ได้ ไหนพวกเจ้าลองพูดสิ ว่าพวกเจ้าทำอะไรได้บ้าง”

งานในที่นาไม่มีคนทำ ข้าวสาลีในดินก็ปลูกไม่เสร็จ คนทั้งหมู่บ้านต่างก็ยุ่งกับการเพาะปลูก แต่พวกเขากลับว่างยิ่งนัก คราวนี้ไปหาเงินในตลาด ทว่าสุดท้ายก็ถูกตีกลับมายกหนึ่ง หากให้คนในหมู่บ้านรู้เรื่องนี้เข้าคงจะต้องหัวเราะเยาะพวกเขาแน่นอน

บัดนี้มีเสียงเคาะประตูดังมาจากข้างนอก “ท่านแม่ ท่านย่า เปิดประตูเร็ว”

เมื่อหญิงชราได้ยินเสียงนี้อารมณ์โกรธบนใบหน้าก็พลันหายไปไม่น้อย นางรีบกล่าวกับหลิวซื่อ “เสี่ยวเฟิงกลับมาแล้ว ยังตะลึงลานอะไรอยู่ รีบไปเปิดประตูสิ!”

หลิวซื่อรีบไปเปิดประตู ก่อนจะจูงบุตรชายเข้ามาในเรือนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เสี่ยวเฟิง วันนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์ชมว่าเจ้าเขียนหนังสือเก่งหรือไม่”

ไป๋เสี่ยวเฟิงยัดกระเป๋าหนังสือในมือใส่มือของหลิวซื่อ ตาจับต้องไปที่กาน้ำบนโต๊ะ “ข้าอยากดื่มน้ำ กระหายน้ำจะตายอยู่แล้ว”

หญิงชรารีบรินน้ำให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนถ้วยหนึ่ง พลางมองเขาดื่มน้ำเสียงดังอึกๆ จนหมดเกลี้ยงรวดเดียว คราวนี้นางยิ้มกล่าวว่า “เหนื่อยแย่เลยสินะ รีบไปพักเถิด อีกเดี๋ยวย่าจะให้แม่ของเจ้าต้มไข่ไก่ไปบำรุง”

ขณะนี้ใบหน้าบึ้งตึงของไป๋เสี่ยวเฟิงถึงได้มีรอยยิ้มขึ้นมาบ้าง “ยังดีที่มีท่านย่าดีกับข้า จริงสิท่านย่า ระหว่างทางที่ข้ากลับมา ข้าเห็นท่านน้าสามด้วย”

นางพลันลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ สายตามองไปยังเจ้าใหญ่และเจ้ารอง “พวกเจ้ารีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและล้างหน้า แล้วไปบ้านหูจ่างหลินกับข้า”

เจ้าใหญ่และเจ้ารองไม่เข้าใจ ฝ่ายเจ้าใหญ่ถามว่า “ท่านแม่ นางบาดเจ็บที่มือ ตอนนี้ให้นางกลับมาก็ทำงานไม่ได้ สู้ให้นางอยู่ที่บ้านของหูจ่างหลินสักหลายวันดีกว่า เมื่อนางหายดีแล้วค่อยให้นางกลับมา ประหยัดเสบียงอาหารสกุลไป๋ของพวกเราได้หลายวันทีเดียว”

หลิวซื่อที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “พวกเจ้าไม่รู้ วันนี้พวกข้าไปที่บ้านของหูจ่างหลินมาครั้งหนึ่ง เจ้าเดาสิว่าจ้าวหลานไปทำงานกับหูจ่างหลินได้อย่างไร นางช่างมีฝีมือเสียจริงๆ วางงานในบ้านตนเองไม่ทำ แต่ไปทำงานให้ผู้อื่น ในเมื่อนางมีมือเดียวก็ทำงานได้ เช่นนั้นเหตุใดต้องเสียเปรียบให้กับพวกหูจ่างหลินด้วย”

เมื่อเจ้าใหญ่และเจ้ารองได้ยินคำพูดนี้ ก็กระทืบเท้าในทันที “ว่าอะไรนะ นางไปทำงานให้บ้านของหูจ่างหลินหรือ นางยังมีเกียรติอยู่หรือไม่ แม่หม้ายคนหนึ่ง กับพ่อหม้ายคนหนึ่ง อยู่ด้วยกันด้วยความไม่ชัดเจนเช่นนี้ หากนางเองไม่ต้องการเกียรติแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อาจทำให้สกุลไป๋ของพวกเราเสียเกียรติได้”

……….

ตอนที่ 44 โชคดี

หญิงชราสกุลไป๋นำเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และสะใภ้ใหญ่ ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปทางบ้านของลุงหู ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของหมู่บ้านด้วยความโมโห เมื่อคนในหมู่บ้านระหว่างทางเห็นดังนั้น ก็รู้ว่ามีเรื่องสนุกให้ชมอีกแล้ว จึงพากันหยุดงานในมือลง แล้วตามไปอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

อีกด้านหนึ่ง ไป๋จื่อและหูเฟิงถึงบ้านของหมอลู่แล้ว หมอลู่กำลังเก็บวัตถุดิบยาที่ตากแห้งแล้วอยู่ในลานบ้าน ส่วนใหญ่แล้วเป็นสมุนไพรที่เขาเก็บมาด้วยตนเอง หลังจากตากแห้งแล้วก็เตรียมนำไปขายในเมือง เป็นหมอเท้าเปล่า[1]ในหมู่บ้านนี้ได้เงินไม่เท่าไรนัก อีกทั้งเป็นเพราะคนในหมู่บ้านมักจะติดเงิน หากไม่เก็บสมุนไพรเพื่อหาเงินใช้จ่ายภายในบ้านบ้าง พวกเขาพ่อลูกเกรงว่าจะต้องกินลมะวันตกเฉียงเหนือแล้ว

“ท่านหมอลู่ กำลังยุ่งอยู่หรือเจ้าคะ” ไป๋จื่อยืนอยู่ด้านนอกรั้วลานบ้าน ยิ้มแป้นทักทายหมอลู่ที่อยู่ในลานบ้าน

หมอลู่เงยหน้ามอง ครั้นเห็นว่าเป็นไป๋จื่อและหูเฟิง เขาก็รีบวางตะกร้าในมือลง แล้วลุกขึ้นถามว่า “อาการของแม่เจ้าแย่ลงหรือ”

ไป๋จื่อส่ายหน้า “ไม่ใช่เจ้าค่ะ ข้ามาหาท่านเพราะมีธุระเล็กน้อย”

ฝ่ายหมอลู่เห็นไป๋จื่อมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ทั้งยังสะพายตะกร้าไว้ข้างหลัง ดูท่าทางแล้วไม่มีเหมือนมีเรื่องอะไรจริงๆ จึงยิ้มพลางกวักมือ “เข้ามาสิ มีอะไรก็เข้ามาพูดเถิด”

เขายกตะกร้ายาไปวางไว้ด้านข้าง แล้วรีบเดินไปเปิดประตูลานบ้านให้พวกเขาทั้งสองคน

หลังจากไป๋จื่อเข้าไปในลานบ้านแล้ว นางก็พูดเสียงเบา “ท่านหมอลู่ พวกเราเข้าไปคุยในเรือนเถิดเจ้าค่ะ”

หมอลู่ตะลึงงัน ในใจคิดว่ามีเรื่องใดที่ไม่อาจพูดคุยในลานบ้านได้กัน ทว่าเมื่อเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของนาง เขาก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเช่นกัน จึงพยักหน้า “ตกลง พวกเราเข้าไปพูดในเรือนเถิด”

เรือนของหมอลู่ไม่นับว่าใหญ่มาก ยังใหญ่สู้เรือนของสกุลไป๋ไม่ได้ ทว่าเก็บของได้สะอาดสะอ้านทีเดียว ทำให้ดูกว้างขวางเป็นพิเศษ

ทันทีที่ไป๋จื่อเข้าไปในเรือน นางก็ปิดประตูด้วย

“มีเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ลับๆ ล่อๆ เช่นนี้” หมอลู่ถามติดตลก

ไป๋จื่อปลดตะกร้าสะพายหลังลง แล้วหยิบโสมภูเขาห่อใบไม้ออกมาจากด้านใน ก่อนจะส่งให้ถึงมือของหมอลู่โดยตรง “ท่านหมอลู่ ท่านว่าโสมภูเขาต้นนี้เป็นอย่างไร”

ครั้นหมอลู่ได้ยินว่าเป็นโสมภูเขา เขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แล้วรีบรับมันมาไว้ในมือเพื่อตรวจดูอย่างละเอียด ยิ่งดูก็ยิ่งตื่นเต้น เขาก็เคยโชคดีขุดเจอโสมภูเขาเช่นกัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นเล็กๆ คุณภาพไม่ค่อยดีนัก แต่ไหนแต่ไรไม่เคยขุดเจอโสมภูเขาที่ทั้งใหญ่และมีคุณภาพดีเช่นตรงหน้ามาก่อน

“นี่อย่างน้อยน่าจะเป็นโสมภูเขาอายุมากกว่าร้อยปี ถึงจะมีคุณภาพเช่นนี้ได้!” ท่านหมอลู่มองโสมภูเขาในมือด้วยใบหน้าชื่นชม อย่าว่าแต่โสมภูเขาหนึ่งร้อยปีเลย โสมภูเขาพันปีเขาก็เคยเห็นเช่นกัน ทว่าแค่เคยเห็นแค่ในร้านยาเท่านั้น นั่นเป็นของล้ำค่าของเถ้าแก่ร้านยา ว่ากันว่าหากไม่มีเงินสักสองสามพันตำลึง ก็อย่าหวังว่าจะซื้อโสมภูเขาพันปีของเขาไปได้

“เจ้าได้มันมาจากที่ไหน” หมอลู่ถามด้วยความร้อนใจ

ไป๋จื่อกล่าว “วันนี้ข้าไปภูเขาลั่วอิงกับหูเฟิง เดิมทีข้าคิดจะไปหาหญ้าร้องไห้สักหน่อย ผลสุดท้ายไม่พบหญ้าร้องไห้ แต่ขุดโสมภูเขาต้นนี้ได้โดยบังเอิญ นี่ข้าเพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้านก็นำมาให้ท่านทันที”

บนโสมภูเขายังเหลือเศษดินสดใหม่อยู่เป็นจำนวนหนึ่ง ก้านและใบด้านบนยังเขียวสดอย่างยิ่ง ท่าทางเพิ่งขุดออกมาจริงๆ

หมอลู่ทำหน้าตาอิจฉา “เด็กคนนี้โชคดีเสียจริง คราวนี้ขึ้นเขาลั่วอิงก็ขุดได้ของล้ำค่าเช่นนี้แล้ว ข้าไปมาตั้งหลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนเก็บได้เพียงสมุนไพรธรรมดาจำนวนหนึ่ง โสมภูเขาเช่นนี้ ข้าไม่เคยเจอเลยแม้สักครั้ง”

เด็กสาวหัวเราะฮ่าๆ พลางมองหูเฟิงที่อยู่ข้างแล้ว แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นข้ากับหูเฟิงที่พบมันเข้าด้วยกัน เป็นเขาที่โชคดี หากไม่มีเขา วันนี้ข้าคงได้ฝากชีวิตในภูเขาแน่”

[1] หมอเท้าเปล่า คือ เกษตรกรที่ได้เรียนวิชาแพทย์ และเป็นผู้ช่วยแพทย์ ส่วนใหญ่แล้วทำงานในหมู่บ้านชนบท