ตอนที่ 41 คนละครึ่ง ยุติธรรมนัก / ตอนที่ 42 เซี่ยนปิ่งที่ได้มาเปล่าๆ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 41 คนละครึ่ง ยุติธรรมนัก

“เมื่อวานข้าตกลงกับท่านหมอลู่แล้ว พบสมุนไรอะไรก็จะขอให้เขาช่วยข้าขาย เขารับปากว่าจะช่วย เขาเป็นหมอ ไม่เพียงรู้จักสมุนไพร ยังคุ้นเคยกับร้านยาในเมือง จะต้องขายได้ราคาดีแน่นอน หากพวกเราไปขายเอง อาจจะขายไม่ได้ราคา”

ลุงหูฟังแล้วก็พยักหน้า “ถูกต้อง มีเหตุผลนัก เหล่าลู่เป็นคนไม่เลว ขอเพียงเขาบอกว่าจะยอมช่วย เช่นนั้นเขาต้องช่วยแน่นอน จื่อยาโถว คิดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์เช่นเมื่อวานนี้ เจ้ายังคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้อีก ช่างไม่ธรรมดาไม่จริงๆ”

ไป๋จื่อยิ้มกริ่ม “ข้าก็แค่นึกขึ้นมาได้ชั่วขณะ ลุงหูอย่าชมข้าเลย ข้าผู้นี้เหลิงได้ง่ายนัก”

ทุกคนต่างก็หัวเราะขึ้นมายกหนึ่ง ไป๋จื่อใส่โสมภูเขาลงไปในตะกร้า แล้วกล่าวกับลุงหู “ท่านลุงหู แม้โสมภูเขานี้จะเป็นสิ่งที่ข้าขุดได้ แต่หากไม่มีหูเฟิงช่วย ข้าก็อาจจะไม่เจอโสมภูเขานี้ อาจจะทิ้งชีวิตไว้ในภูเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจว่า เมื่อถึงเวลาแล้วไม่ว่าขายได้ราคาเท่าไร พวกเราล้วนจะแบ่งกันครอบครัวละครึ่ง ท่านว่าอย่างไรเจ้าคะ”

แต่ไหนแต่ไรลุงหูไม่ใช่คนที่ชอบเอารัดเอาเปรียบ เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว เขาก็รีบโบกมือ “เช่นนั้นไม่ได้หรอก ของล้ำค่าเช่นโสมภูเขานี้ ทั้งไม่ใช่ของทั่วๆ ไป พวกข้าไม่อาจแบ่งครึ่งกับเจ้าได้ เพราะจะเป็นการเอาเปรียบเจ้าจนเกินไป”

จ้าวหลานกล่าวต่อ “พี่หู ท่านพูดเช่นนี้ก็เห็นพวกข้าเป็นคนนอกเกินไปแล้ว วันนี้หากไม่ได้หูเฟิงช่วยนางไว้ เกรงว่านางคงจะถูกงูพิษนั่นกัดตายไปแล้ว ไหนเลยจะเจอโสมภูเขาอะไรนี่ ข้าว่าพวกท่านแบ่งกับข้าครึ่งหนึ่งยังน้อยไปเสียด้วยซ้ำ”

ลุงหูมองไปทางหูเฟิง “เจ้าว่าอย่างไร”

หูเฟิงมีสีหน้าไม่ยี่หระ สายตากวาดมองไปที่จื่ออย่างเฉยชาครั้งหนึ่ง “คนละครึ่ง ยุติธรรมนัก ข้าว่าทำเช่นนี้เถิด”

มีคำพูดนี้ของหูเฟิงแล้ว ลุงหูก็ไม่ได้ปฏิเสธอีก พลางยิ้มว่า “เช่นนั้นก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกเราสองครอบครัวก็แบ่งกันคนละครึ่ง”

เมื่อคิดถึงห้าสิบตำลึงที่อีกไม่นานก็จะได้มา ในใจของลุงหูพลันรู้สึกเบิกบานขึ้นมา ทั้งชีวิตนี้ของเขายังไม่เคยเห็นเงินมากถึงเพียงนั้น จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรเล่า

ทั้งสี่คนพักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงทำงานในที่นาให้เสร็จด้วยกัน ถือโอกาสช่วงที่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ รีบจัดการงานและกลับบ้าน

ทว่าเพิ่งเดินถึงหน้าหมู่บ้าน ไป๋จื่อก็ลากหูเฟิงไปที่บ้านของหมอลู่ นางไม่สบายใจที่จะแบกโสมภูเขากลับไป หากพบพวกสกุลไป๋เข้า คงจะรักษาของชั้นยอดเช่นโสมภูเขานี้ไว้ไม่ได้

“ท่านลุงหู หากอีกเดี๋ยวท่านว่าง ก็จัดการกระต่ายป่านั่นหน่อยนะเจ้าคะ เย็นนี้ข้าจะทำเนื้อกระต่ายผัดไฟแดงให้พวกท่านกิน” ไป๋จื่อเดินไปหลายก้าวแล้วก็หันไปมอง พร้อมกับเพิ่มเสียงตะโกนบอกลุงหู

ลุงหูรับปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้นเห็นไป๋จื่อกับหูเฟิงเดินไปไกลแล้ว ถึงเดินเข้าหมู่บ้านไปพร้อมกับจ้าวหลาน

สกุลไป๋

หญิงชรากำลังนั่งตากลมพูดคุยกับหลิวซื่ออยู่ในร่มเงาหลังลานบ้าน พวกนางได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากหน้าลานบ้าน ดูเหมือนว่าจะเป็นเสียงพูดคุยของเจ้าใหญ่และเจ้ารอง สตรีทั้งสองคนก็รีบทิ้งพัดโปร่งในมือ ห้อตะบึงไปยังหน้าลานบ้าน เพื่อต้อนรับวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของสกุลไป๋

“เจ้าใหญ่ เจ้ารอง พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ แป้งหมี่ขาวเล่า รีบนำออกมาเร็ว นำออกมาตอนนี้ ตอนเย็นจะได้กินหมั่นโถว” หญิงชราเรียกบุตรชายทั้งสองทันทีที่เข้าไปในลานบ้าน เสียงนางดังกังวานอย่างยิ่ง คล้ายกับกลัวว่าคนในหมู่บ้านจะไม่ได้ยินเสียงของนางอย่างไรอย่างนั้น

คนที่พอจะได้กินหมั่นโถวในหมู่บ้านมีน้อยยิ่งนัก เรื่องที่เจ้าใหญ่นำแป้งหมี่ขาวที่ได้มาโดยไม่ต้องเสียอะไรกลับมา นางย่อมต้องให้ทั้งหมู่บ้านรู้ เพื่ออวดความสามารถของบุตรชายตน

แต่ใครจะรู้ว่า เมื่อนางยืนอย่างมั่นคงอยู่ในลานบ้าน และเห็นบุตรชายทั้งสองคนชัดเจนแล้ว เสียงนั้นของนางก็ดังกังวานอีกต่อไปไม่ไหว

เสื้อบนตัวของบุตรชายทั้งสองถูกคนฉีกทึ้งจนขาดวิ่น บนใบหน้าฟกช้ำ มุมปากยังมีรอยเลือดที่แห้งกรัง ผมก็ยุ่งเหยิงเช่นกัน ราวกับหลบลี้กลับมาก็ไม่ปาน

………..

ตอนที่ 42 เซี่ยนปิ่ง[1]ที่ได้มาเปล่าๆ

หญิงชราและหลิวซื่อล้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไป ก่อนจะเดินวนรอบเจ้าใหญ่และเจ้ารองรอบหนึ่ง ทั้งสองคนกลับมามือเปล่า ไหนเลยจะมีเงาของผงแป้งสักกระผีก

“นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดถึงมีสภาพเช่นนี้ได้ แล้วแป้งหมี่เล่า” หญิงชราถามด้วยความร้อนใจ

เจ้าใหญ่พึมพำอยู่หลายเสียง จากนั้นก็ดันแขนของเจ้ารองที่อยู่ข้างๆ “เจ้าพูดสิ”

เจ้ารองหัวเราะแห้งๆ “ท่านเป็นพี่ใหญ่ ท่านพูดสิ”

ในที่สุดผู้เป็นมารดาก็ดึงสติกลับมา พลางมองสภาพของบุตรชายทั้งสองคน ไม่เพียงไม่ได้แป้งหมี่ขาวมา ยังสูญเงินหนึ่งร้อยเหวินไปเปล่าๆ แม้กระทั่งเจ็บตัวกลับมาเสียด้วยซ้ำ

นางกวาดสายตามองแววตาประหลาดใจเจือความเย้ยหยันของพวกอยากรู้อยากเห็นที่อยู่นอกลานบ้าน พลันหน้าบูดบึ้ง กล่าวเสียงแข็งว่า “เข้าเรือนก่อนค่อยว่ากัน”

ฝ่ายมารดานำเข้าไปในเรือนก่อน ส่วนเจ้าใหญ่และเจ้ารองตามไปด้วยความเหนียมอาย

เมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว หญิงชราก็กล่าวกับหลิวซื่อ “ปิดประตู”

เวลานางสั่งสอนจ้าวหลานและไป๋จื่อ ล้วนไม่เคยหลบเลี่ยงผู้ใด แม้กระทั่งตั้งใจสั่งสอนพวกนางต่อหน้าคนภายนอก เช่นนั้นถึงจะแสดงตำแหน่งในสกุลไป๋ของนาง และแสดงความอดทนของนางได้

ทว่าสั่งสอนบุตรชาย นางกลับกระทำต่อหน้าคนภายนอกน้อยนัก สำหรับนางแล้ว บุตรชายนับว่าเป็นหน้าเป็นตาของสกุลไป๋

“พูดสิ ว่าแท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” หญิงชรานั่งลงตรงหน้าโต๊ะ พลางมองเจ้าใหญ่และเจ้ารองด้วยใบหน้าเย็นชา

เจ้ารองรีบชี้ไปที่เจ้าใหญ่ ก่อนจะส่งเสียงตะโกน “ล้วนต้องโทษพี่ใหญ่ หากไม่ใช่เพราะเขา ข้าไม่มีทางแพ้”

เจ้าใหญ่ได้ยินดังนั้น ขนคิ้วพลันตั้งตรง แล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “โทษข้ารึ ข้ายังไม่ได้กล่าวโทษเจ้าเลยนะ เจ้ากินทั้งหมดไปกี่ลูกกัน ข้ากินมากกว่าเจ้าตั้งสองลูก เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาโทษข้า”

สองพี่น้องผลัดกันเถียงคนละคำ เอะอะเสียงดังเสียจนสีหน้าของหญิงชราสกุลไป๋ไม่สบอารมณ์มากขึ้น

“พวกเจ้าหุบปากเสีย ไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือ ว่าจะนำแป้งหมี่กลับมาให้ได้ แล้วมันอยู่ที่ใด” นางกล่าวถาม

เจ้ารองหดคอ ไม่กล้ามองใบหน้าของผู้เป็นมารดา เพียงกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “ข้า พวกข้าก็อยากนำแป้งหมี่กลับมาเช่นกัน ทว่า ทว่าพวกข้าแพ้ แป้งหมี่ย่อมไม่เป็นของพวกข้า ดังนั้น ดังนั้น…”

สตรีสูงวัยสกุลไป๋รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เพราะกำลังกดอารมณ์โกรธไว้อย่างหนัก แล้วเอ่ยถามว่า “ในเมื่อไม่ได้แป้งหมี่มา เช่นนั้นพวกนำเงินหนึ่งร้อยเหวินกลับมาหรือไม่”

เจ้าใหญ่เห็นน้องรองไม่กล้าเอ่ย ตนเองก็อดรนทนไม่ไหวแล้ว ในที่สุดก็พูดออกไปว่า “ไม่ต้องพูดถึงเลย เพื่อเงินหนึ่งร้อยเหวินนี้ ข้ากับน้องรองต่อยตีกับเถ้าแก่เสียยกหนึ่ง ทว่าไม่ได้เงิน กลับถูกตีจนเจ็บทั้งตัวกลับมา”

บาดแผลของพวกเขาไม่สาหัส ล้วนเป็นแผลภายนอกเท่านั้น เพียงแต่มองแล้วน่าอายนัก ผ่านไปไม่กี่วันก็จะดีขึ้นเอง เสื้อผ้าก็เป็นพวกเขาที่ฉีกทึ้ง คิดเพียงอยากให้ตนเองดูน่าสงสารขึ้นมาสักหน่อย หวังว่าท่านแม่จะเห็นว่าเขาถูกตี บาดเจ็บไปทั้งตัว จะได้ไม่สืบสาวเรื่องแป้งหมี่ขาวและเงินหนึ่งร้อยเหวินกับพวกเขา…

อารมณ์โกรธของหญิงชราไม่ลดลง นางอยากตีลูกชายทั้งสองคนอย่างไม่ออมแรงคนละครั้ง ทว่าเมื่อเห็นบาดแผลเต็มตัวของพวกเขา นางก็ลงมือไม่ลง ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของตน ไม่ใช่พวกคนชั่วช้าอย่างจ้าวหลานและไป๋จื่อ

“ช่างเถิดๆ เมื่อวานข้าไม่น่าเชื่อเจ้า ใต้หล้าไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ ให้แป้งหมี่ขาวเปล่าๆ เถ้าแก่ไม่ขาดทุนแย่เลยหรืออย่างไร” สุภาษิตว่าไว้ ไม่มีทางมีเซี่ยนปิ่งตกลงมาจากฟ้าโดยไม่มีเหตุผล[2]

[1] เซี่ยนปิ่ง เป็นอาหารที่ทำจากแป้งหมี่ เมื่อสุกแล้วจะมีลักษณ์เป็นโพรงตรงกลางคล้ายกับพาย สามารถใส่ไส้ที่ทำจากเนื้อสัตว์เข้าไปได้

[2] มาจากสุภาษิตที่ว่า 天上不会掉馅饼 แปลตรงตัวก็คือไม่มีทางมีเซี่ยนปิ่งตกลงมาจากฟ้า หมายถึง ไม่มีของดีตกลงมาจากฟ้าได้ เป็นสุภาษิตที่ต้องการสื่อว่าอย่ารอคอยให้สิ่งดีๆ เข้ามาหา