ตอนที่ 16 แสดงอำนาจ (3)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

เรือนหลังใหญ่ได้รับการจัดเตรียมไว้เมื่อนานมาแล้ว จากนั้นก็มีคนมาเก็บกวาดให้เรียบร้อยอยู่เสมอ ภายในสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นจับ

เมื่อเข้าประตูไปเป็นห้องเล็กๆ มีเตียงอยู่ตรงหัวมุม ซึ่งเป็นที่หลับนอนของสาวใช้ที่เข้าเวรกลางคืน มีโต๊ะวางเครื่องดื่มน้ำชา มีตั่งสองสามตัววางอยู่ข้างใน ทำให้พื้นที่เล็กๆ ไม่ได้รู้สึกแน่นมาก และไม่ได้ว่างเปล่า บนโต๊ะน้ำชามีดอกเหมยสีเหลืองสองสามดอกปักอยู่ในแจกันลายครามขนาดเล็ก กำจายกลิ่นหอมอ่อนๆ เพิ่มบรรยากาศในฤดูเหมันต์เล็กน้อย

เมื่อเข้าไปก็จะเป็นห้องส่วนตัวที่เตรียมไว้สำหรับแขกพิเศษ บนเตียงใหญ่ที่ทำจากไม้หนานมู่แกะสลักภาพดอกบัวที่สวยงามวิจิตรบรรจงซึ่งเผยให้เห็นบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของลี่โจว ผ้านวมทำด้วยผ้าดิ้นเงินดิ้นทองชั้นดี เมื่อมองแวบแรกก็จะรู้ว่าเป็นของใหม่เอี่ยม มีชุดกาน้ำชาที่ทำจากดินจื่อซาเป็นรูปฟักทองที่ประณีตสวยงามตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง คิดว่าต้องเป็นที่รู้จักของคนในตระกูลซั่งกวน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชอบชงชามาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ว่าจะเป็นก่อนนอนหรือตอนที่เพิ่งตื่นขึ้นมา นางก็มักจะดื่มชาหนึ่งถ้วยซึ่งเตรียมมาเป็นพิเศษ

ปลายเตียงเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ ไม่มีการแกะสลักใดๆ บนตู้เสื้อผ้า เพราะลวดลายตามธรรมชาติของเนื้อไม้อิงเถา (ไม้เชอร์รี) ชั้นดีนั้นงดงามมากอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สิ่งสะดุดตาที่สุดของเรือนทั้งหลังคือโต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเครื่องแป้งนั้นก็ทำจากไม้หนานมู่ ยังคงแกะสลักเป็นลายดอกบัว โคนดอกบัวและใบบัวอย่างประณีตละเอียดอ่อน แต่งานแกะสลักไม่ใช่งานแกะสลักบนพื้นผิวธรรมดา แต่เป็นการสลักนูนต่ำ โต๊ะเครื่องแป้งล้อมรอบด้วยใบบัวสองสามใบ ดอกบัวสามถึงห้าดอกกำลังบานสะพรั่งหรือกำลังบานหรือร่วงโรยกลายเป็นโคนดอกบัว เมื่อมองไปที่ดอกบัวเสมือนจริงที่ดูเหมือนจะเติบโตจากโต๊ะเครื่องแป้งนั้น เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชอบมันมาก

“คุณหนู ท่านนั่งพักบนเตียงก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ลู่หลัวช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งบนเตียงอย่างกระตือรือร้น แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ที่นี่มีรองเท้าพื้นนุ่มๆ ด้วย ให้พี่สาวช่วยเลือกสักคู่หนึ่ง คุณหนูของข้าใส่รองเท้าพื้นนิ่มอยู่ในห้องเท่านั้น”

ช่าจื่อกับเยียนหงชำเลืองมองกันแวบหนึ่ง ช่าจื่อพูดกลั้วหัวเราะว่า “ในตู้มีรองเท้าทุกแบบเตรียมไว้ให้คุณหนู น้องลู่หลัวดูได้ว่าคุณหนูชอบหรือไม่?”

ลู่หลัวยิ้มและพยักหน้า แล้วเดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า ที่ชั้นล่างของตู้มีรองเท้าเจ็ดแปดคู่ ซึ่งเป็นขนาดของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ทั้งหมด ลู่หลัวหยิบรองเท้าพื้นนิ่มที่ถูกใจมาคู่หนึ่ง ส่งให้ช่าจื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วบอกว่า “ข้าจะช่วยคุณหนูเอาผ้าคลุมหน้าออก รบกวนพี่สาวเปลี่ยนรองเท้าให้คุณหนูด้วย”

ช่าจื่อตกใจเล็กน้อย นางคาดไม่ถึงว่าลู่หลัวจะสั่งให้ตัวเองทำ และมันก็ถูกจังหวะเป็นขั้นเป็นตอน แต่ในชั่วขณะที่งุนงง รองเท้านั้นก็ถูกลู่หลัวยัดใส่มือของนาง ลู่หลัวเองก็กลับไปที่ข้างๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ เอาผ้าคลุมหน้าออกให้นางอย่างระมัด ระวัง

ช่าจื่อถือรองเท้าคู่นั้นไว้ในมือ จะเข้าไปใส่ให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็ไม่ใช่ จะไม่เข้าไปก็ไม่เชิง ในระหว่างนั้นที่ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร จึงหันไปมองเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างอดไม่ได้ กลับเห็นดวงหน้าที่อยู่ข้างใต้ผ้าคลุมหน้านั้นสวยงามมาก ทันใดนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร

“ไหล่ของข้าแข็งไปหน่อย” เยี่ยนมี่เอ๋อร์รู้สึกมีความสุข ดูท่าจื่อหลัวจะสอนบทเรียนให้ลู่หลัว ไม่เช่นนั้นสาวใช้ที่ไม่มีความคิดคนนี้จะไม่ทำอย่างนี้ แล้วปล่อยให้ลู่หลัวบีบหัวไหล่ของนางต่อไป

“งั้นท่านคงเหนื่อยจากการนั่งรถ” ลู่หลัวบีบไหล่ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างระมัดระวังและพูดว่า “บ่าวจะนวดให้ท่านอย่างดี เดี๋ยวจะใช้น้ำร้อนประคบสักพัก พักผ่อนสองวันก็จะรู้สึกสบายตัว พี่ช่าจื่อ เจ้ายืนอยู่ตรงนั้นทำอะไรเล่า?”

“โอ้” ช่าจื่อจึงต้องก้าวเข้าไป นั่งยองๆ อย่างระมัดระวัง แล้วเปลี่ยนรองเท้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ…นี่คือสิ่งที่สาวใช้ชั้นสองทำ นางไม่ได้มาเป็นสาวใช้ชั้นสอง

“ทำไมจื่อหลัวยังไม่เข้ามา?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ข้ากระหายน้ำ!”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะคุณหนู!” ลู่หลัวพูดอย่างระมัดระวัง “พี่เยียนหง รบกวนเจ้าชงชาให้หน่อย ตอนนี้บ่ายคล้อยแล้ว

คุณหนูมักจะดื่มชาเถี่ยกวนอินในตอนเช้าและดื่มชาผู่เอ๋อร์ในตอนบ่าย ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง แม้จะดื่มอะไรก็ได้ เพียงแต่เร่งเดินทาง มาตลอดสิบกว่าวันนี้ คุณหนูก็ไม่ได้ทานอาหารดีๆ สักมื้อ ไม่ค่อยเจริญอาหารอยู่บ่อยๆ ชาผู่เอ๋อร์ช่วยย่อยอาหารได้

ยามอากาศเย็นการดื่มชาผู่เอ๋อร์จะทำให้ท้องอุ่นได้ ฉะนั้นคุณหนูควรดื่มชาผู่เอ๋อร์!”

เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตอบรับอย่างนุ่มนวล ลู่หลัวจึงพูดอย่างเป็นกันเองว่า “พี่เยียนหง คุณหนูชอบดื่มชาผู่เอ๋อร์ที่มีกลิ่นหอมของพุทราจีน ในเรือนน่าจะมีชาผู่เอ๋อร์ที่ยิ่งเก่ายิ่งหอมอายุสักแปดปีใช่ไหรือไม่ รบกวนชงให้สักกา…โอ้ ถ้าเป็นชาผู่เอ๋อร์ล่ะก็ ควรชงตอนนี้ดื่มตอนนี้ในห้อง ไม่งั้นจะไม่เหมือนของดั้งเดิม…เอาแบบนี้ พี่เยียนหง รบกวนเจ้าหาเด็กสาวใช้สองสามคน แล้ววางเตาไว้นอกประตู น้ำเดือดก็ต้มได้เลยตอนนี้ จะได้ไม่เสียรสชาติ”

เยียนหงรีบกำจัดความตกตะลึงที่เกิดจากความงามของเยี่ยนมี่เอ๋อร์และพูดกลั้วหัวเราะเล็กน้อยว่า “คุณหนู นอกจากฮูหยินใหญ่แล้ว บรรดาเจ้านายไม่ค่อยดื่มชาผู่เอ๋อร์ บ่าวก็ไม่ทราบว่าจะมีชาที่ท่านชอบในเรือนหรือไม่ บ่าวไปถามหัวหน้าพ่อบ้านก่อน แล้วจะกลับมาทันที”

ดียิ่งนัก! เมื่อรู้ว่าลู่หลัวจงใจใช้พวกนาง และตอบกลับได้อย่างเหมาะสม เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรสักคำ นางต้องการดูว่าลู่หลัวจะตอบโต้อย่างไร!

“งั้นไม่เป็นไร!” ลู่หลัวพูดอย่างรวดเร็ว “ถ้าพี่เยียนหงไม่แน่ใจว่ามีชาผู่เอ๋อร์หรือไม่ก็ไม่ต้องไปหา เพียงแค่เตรียมเตากับน้ำให้พร้อม คุณหนู ชิงหลัวไปพบแม่จ้าวไม่ใช่หรือ? แม่นมจ้าวละเอียดรอบคอบขนาดนั้น จะต้องนำใบชาที่คุณหนูดื่มจนคุ้นเคยมาด้วยอย่างแน่นอน พี่เยียนหงต้มน้ำให้เดือดก็พอ พี่เยียนหง เกรงใจจริงๆ เดิมทีข้าควรจะทำสิ่งเหล่านี้ แต่ข้าไม่คุ้นเคยกับคนในเรือนนี้เลย และไม่รู้ว่าควรจะหาใครมาทำสิ่งเหล่านี้ จึงต้องรบกวนเจ้าแล้ว”

เยียนหงแทบจะกัดฟันจนแหลก ไม่คาดคิดว่าสาวใช้คนนี้ที่ดูเหมือนจะไม่ช่ำชองนั้นจะสั่งใช้งานตัวเองอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ ถึงแม้เยี่ยนมี่เอ๋อร์กำลังจะเป็นภรรยาคุณชายใหญ่ จึงล่วงเกินไม่ได้ แต่…ความคิดของเยียนหงก็เปลี่ยนไป แต่นางมาจากครอบครัวพ่อค้า จะรู้ได้อย่างไรว่าน้ำในตระกูลซั่งกวนลึกแค่ไหน? นางเป็นบ่าวที่เกิดในตระกูลซั่งกวน! ดังนั้นเยียนหงจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะใช้น้ำแบบไหนมาชงชาล่ะ?”

“ไอ้หยา พี่เยียนหง เจ้าไม่รู้วิธีชงชาหรือ?” ลู่หลัวมองไปที่เยียนหงอย่าง ‘ประหลาดใจ’ ราวกับว่านางได้ทำผิดที่ไม่น่าให้อภัย

เยียนหงสำลักอยู่พักหนึ่ง นางย่อมรู้ดีอยู่แล้ว แต่จากก้นบึ้งของหัวใจนางมักจะดูแคลนเยี่ยนมี่เอ๋อร์ซึ่งมีพื้นเพมาจากครอบครัวพ่อค้าเล็กๆ และไม่อาจยอมรับได้ว่าหญิงสาวคนนี้จะแต่งงานกับคุณชายใหญ่ที่นางชื่นชมมาตลอด ดังนั้นจึงจงใจพูดแบบนั้น

“ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดอย่างใจกว้าง “นี่เป็นเพียงเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเล็กน้อยเท่านั้น! ลู่หลัว หลังจากที่รอแม่นมจ้าวพาเซียงเสวี่ยกับจื่ออวิ๋นเข้ามาแล้ว ให้จื่ออวิ๋นชงชาก็ได้”

“เจ้าค่ะ คุณหนู!” ลู่หลัวขานรับด้วยรอยยิ้มกริ่ม ในขณะที่หันไปหาเยียนหงก็ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง แต่พูดกำกวมเชิงปฏิเสธที่อธิบายไม่ได้ว่า “พี่เยียนหง คุณหนูมีข้าดูแลอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่รบกวนเจ้าหรอก”

หา? ไล่กันเหรอ? เยียนหงยิ้มพรายแล้วพูดว่า “จะพูดได้อย่างไรว่ารบกวนเล่า? ข้ากับช่าจื่อเดิมทีฮูหยินก็ส่งมารับใช้คุณหนูอยู่แล้ว รับใช้อยู่ที่นี่ก็เป็นเรื่องสมควร”

เมื่อฟังนางเน้นย้ำคำว่า ‘ฮูหยิน’ สองคำนี้ ลู่หลัวลังเลอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ จงใจแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจแล้วพูดว่า “พี่เยียนหงขยันมากจริงๆ ข้าเทียบไม่ติดเลย” นางแลบลิ้นออกมาอย่างทะเล้นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหนูขาดข้าที่คอยรับใช้ไม่ได้ ข้าก็อยากจะแอบขี้เกียจบ้าง รีบไปดูรอบๆ และทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมสักหน่อย”

“เจ้าคงเป็นลิงป่าที่เงียบไม่ได้แม้แต่อึดใจเดียวสินะ” เยี่ยนมี่เอ๋อร์จงใจดุลู่หลัวด้วยน้ำเสียงที่เอาแต่ใจ แล้วพูดต่อว่า “เมื่อจื่อหลัวและคนอื่นๆ มาถึง ให้ช่าจื่อพาเจ้าไปเดินรอบๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเสียหน่อย ที่นี่เป็นเรือนที่ฮูหยิน ซั่งกวนมอบให้ข้า ต่อไปก็จะมาที่นี่บ่อยๆ ทำความคุ้นเคยแต่เนิ่นๆ ก็ดี”

ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองออกได้ว่า ช่าจื่อไม่เห็นจะเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เมื่อเทียบกับเยียนหงแล้วยังฉลาดน้อยกว่าเล็กน้อย ลู่หลัวไม่อาจตกเป็นเบี้ยล่างอยู่กับนางได้นานนัก

“ข้ารู้ว่าคุณหนูรักข้า” ลู่หลัวหัวเราะด้วยความสนุกสนานแล้วพูดด้วยหน้าตาออดอ้อนว่า “ข้าก็จะรักคุณหนูเช่นกัน! คุณหนูต้องทานข้าว หลังจากย่อยอาหารเล็กน้อยแล้วต้องนอนพักกลางวัน ในเวลานั้นบ่าวจะเจียดเวลาไปเดินรอบๆ ก็ได้! เพียงแต่ไม่ทราบว่าเรือนนี้มีที่ไหนน่าไปบ้าง เมื่อถึงตอนนั้นก็รบกวนพี่ช่าจื่อด้วย”

ช่าจื่อเปลี่ยนรองเท้าให้เยี่ยนมี่เอ๋อร์เสร็จแล้วในขณะนี้ และยืนกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อยอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนจะไร้เดียงสาและน่าเอ็นดูของลู่หลัวนั้น แม้นางจะพยายามระงับอารมณ์ไว้ แต่ก็ยังแปลกใจอยู่เล็กน้อย

“ลู่หลัว เจ้าเป็นคนสนิทที่ห่วงใยคุณหนู คุณหนูก็ให้ความสำคัญกับเจ้า นี่เป็นโชควาสนาของเจ้า แต่…” เยียนหงยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า “ตระกูลซั่งกวนมีกฎเข้มงวดมาก เจ้าใช้น้ำเสียงแบบนี้พูดคุยเสมอเทียบกับคุณหนูดูจะไม่ถูกต้อง ถ้าถูกแม่นมตู้รู้เข้า บางทีอาจจะถูกสั่งสอน!”

“กฎของตระกูลซั่งกวนต้องสนใจเรื่องนี้ด้วยหรือ?” ดวงตาของลู่หลัวเบิกกว้างด้วยความสับสน และพูดด้วยใบหน้างงงวยว่า “เป็นไปได้หรือไม่ที่ข้าพูดอะไรกับคุณหนู แม่นมตู้จะเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย? มันไม่เหมือนกับตระกูลเยี่ยนของเรา ต่อให้เป็นแม่นมที่เลี้ยงดูก็จะไม่ยุ่งกับสิ่งเหล่านี้ตามอำเภอใจ นับประสาอะไรกับแม่นมคนอื่น อีกอย่าง เราพูดอะไรอยู่ที่นี่ แม่นมตู้จะรู้งั้นหรือ? นางไม่ใช่คนหูไวตาไว หรือจะบอกว่า…”

เยียนหงเห็นความสับสนที่ปิดไม่มิดในดวงตาของลู่หลัว หัวใจก็เต้นแรงขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นก็มองไปที่เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่ดูเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย หัวใจของนางยิ่งกระวนกระวายมากขึ้น หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ข้าไม่กังวลถึงนิสัยของเจ้าที่พูดแบบนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าแม่นมตู้ก็ไม่รู้ว่าจะร้ายแรงแค่ไหน”

“เอาล่ะ พวกเจ้าเงียบสักพัก” สีหน้าของเยี่ยนมี่เอ๋อร์สงบลง ทำให้ผู้คนมองไม่ออกว่านางมีความสุข โกรธ เศร้าหรือดีใจได้ แต่น้ำเสียงที่เรียบเฉยกลับแสดงออกถึงความไม่พอใจของนาง พลางกล่าวว่า “ช่าจื่อ เยียนหง พวกเจ้าเป็นคนที่ฮูหยินซั่ง

กวนคัดเลือกมาเป็นพิเศษ คิดว่าจะต้องเป็นคนที่โดดเด่นในหมู่คนรับใช้ของตระกูลซั่งกวน แต่…ข้าไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะถูกส่งมาที่นี่ และไม่ว่าพวกเจ้าจะมีฐานะดีแค่ไหนมาก่อน หากต้องการอยู่รับใช้ใกล้ข้า ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎของข้า”

ช่าจื่อกับเยียนหงแอบชักสีหน้า ก้มศีรษะลง แต่ไม่มีแม้แต่เสียงขานรับ พวกนางดูหมิ่นเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ต่อให้นางกำลังจะกลายเป็นภรรยาของคุณชายใหญ่ตระกูลซั่งกวนก็ตาม

คำโบราณว่าไว้บ่าวไพร่ของตระกูลเสนาบดีมีฐานะเทียบเท่าขุนนางระดับเจ็ด บ่าวไพร่ของตระกูลใหญ่ก็เช่นกัน ไม่มีใครในตระกูลซั่งกวนเคยเป็นขุนนางระดับสูง นับประสาอะไรกับเสนาบดี แต่เป็นตระกูลที่ทรงอิทธิพลที่สืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน มีหลายแง่ที่ผู้เป็นเสนาบดีในราชสำนักไม่กล้าทัดเทียม แม้ช่าจื่อกับเยียนหงจะเป็นเพียงบ่าวไพร่ แต่พวกนางก็เป็นบ่าวไพร่ในเรือนเบี้ยของตระกูลซั่งกวน ถึงแม้พ่อแม่และผู้อาวุโสในครอบครัวจะรับใช้คนในตระกูลซั่งกวน แต่ตระกูลซั่งกวนก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา จะไม่พูดถึงว่าพวกนางมีชีวิตที่ดี ในเรือนยังมีคนรับใช้ที่ (ซื้อมาจากแม่ค้านายหน้า) ไว้เรียกใช้สอยได้อีกด้วย แม้จะถูกสั่งสอนตั้งแต่ยังเล็กว่าเมื่อโตขึ้นให้เข้าไปรับใช้เจ้านายในจวน จึงถูกพ่อแม่เลี้ยงดูตามใจจนเติบใหญ่ ตอนอยู่ในเรือนก็มีสาวใช้ตัวน้อยคอยปรนนิบัติเช่นกัน ทั้งหมากรุก พิณ การเขียนพู่กัน และการวาดภาพล้วนร่ำเรียนมาคร่าวๆ ไม่ด้อยไปกว่าคุณหนูจากตระกูลเล็กตระกูลน้อย (ตระกูลเล็กตระกูลน้อยนี้หมายถึงตระกูลเยี่ยน) และย่อมมีวิสัยทัศน์ที่เหนือกว่า

ในตระกูลซั่งกวนนั้น ตำแหน่งของคนรับใช้ก็ค่อนข้างเข้มงวดเช่นกัน ผู้ที่สามารถเป็นสาวใช้ใหญ่ได้ ไม่เพียงมีสภาพที่ดีเท่านั้น (รูปร่างหน้าตาที่ยอดเยี่ยม การรู้หนังสือ ความเฉลียวฉลาดเป็นข้อกำหนดขั้นต่ำ แต่ยังมีทักษะเฉพาะตัวด้วย) สถานะก็ไม่เลว (พ่อแม่และผู้อาวุโสต้องพูดจาต่อหน้าเจ้านายได้ดี ถึงจะมีหน้ามีตาได้บ้าง ถ้าไม่มี ก็ต้องเข้าใกล้คนที่มีฐานะแบบนั้นให้มากขึ้น) พวกนางทั้งสองคนแย่เล็กน้อย (จึงไม่ได้เป็นสาวใช้ส่วนตัวของบรรดาคุณชายกับคุณหนู) ไม่ได้มีโอกาสเป็นคนสนิทของเหล่าเจ้านายมาก่อน แต่คราวนี้มีโอกาสได้รับการคัดเลือกจากฮูหยินซั่งกวน จากนั้นก็มารับใช้ว่าที่ภรรยาของคุณชายใหญ่ ยังพิสูจน์ให้เห็นว่ามีคนรับใช้ในเรือนหลายร้อยคนของตระกูลซั่งกวนนั้น แต่พวกนางยังคงอยู่ในอันดับต้นๆ (น่าเสียดายที่ ‘ยังคง’ ไม่งั้นพวกนางก็เป็นสาวใช้ส่วนตัวของคุณชายกับคุณหนู)

พวกนางเห็นว่า การรับใช้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ใช่เรื่องที่มีศักดิ์ศรีอะไร เยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคุณหนูจากตระกูลพ่อค้า ถ้าไม่ใช่เพราะสัญญาหมั้นหมายกับคุณชายใหญ่ สถานะและตำแหน่งก็คงไม่ต่างจากพวกนางมากนัก (พวกนางแอบคิดว่า เยี่ยนมี่เอ๋อร์เทียบพวกนางไม่ได้เลย) จะมีเกียรติได้อย่างไร? แต่คุณชายใหญ่ผู้ซึ่งมองการณ์ไกลเท่านั้น จึงต้องแต่งงานอย่างอัปยศกับสาวแม่ค้าคนนี้ที่ควรถูกดูหมิ่นดูแคลนเพราะความผิดพลาดและบุ่มบ่ามของฮูหยิน ส่วนพวกนางก็รักษาหน้าตาของคุณชายใหญ่ เต็มใจเคารพให้คุณหนูตระกูลเยี่ยนผู้นี้เล็กน้อย แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปฏิบัติต่อนางในฐานะเจ้านายจริงๆ!

เพื่อจะได้มีโอกาสพบหน้ากับคุณชายใหญ่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในหัวใจ ผู้ที่มีโอกาสรับใช้อยู่ในจวน ซึ่งเคยทำงานอยู่ในจวนมาแล้ว แต่ไม่ได้รับใช้เจ้านายคนใดคนหนึ่งโดยตรง ตอนที่ฮูหยินซั่งกวนประกาศว่าจะเลือกสาวใช้ชั้นหนึ่งให้กับภรรยา

คุณชายใหญ่ในอนาคต พวกนางต่างแข่งขันกันเพื่อเป็นสาวใช้ส่วนตัวชั้นหนึ่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ ไม่ใช่เพื่อรับใช้เยี่ยนมี่เอ๋อร์ แต่เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณชายใหญ่ต่างหาก

——————————————–