ตอนที่ 4 ก็แค่อนุภรรยา

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าสั่งสอนนังลูกตัวดีของเจ้ายังไงกัน? ดูซิ นังเด็กเหลือขอนั่นทำอะไรกับลูกข้า!”

ณ ลานกว้าง มารดาของฉินฉืออวี้ หรือก็คือฮูหยินรองแห่งตระกูลฉิน–เยี่ยเสี่ยวตี๋ ถลึงตามองอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยสายตาเหยียดหยามและเปิดปากด่าทอฮูหยินใหญ่ของตระกูลอย่างโกรธเคือง

“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ลูกข้าทำอะไร? เจ้าบอกข้าหน่อยได้รึไม่?”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นที่หน้าเรือน เมื่อนางออกมาดูก็มองเห็นเยี่ยเสี่ยวตี๋ภรรยาอีกคนของสามียืนตะโกนเรียกฉินอวี้โม่อย่างโกรธแค้นอยู่ในลานกว้าง ทันทีที่เห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะออกไปต้อนรับ ‘ผู้มาเยือน’

“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าอย่ามาแกล้งโง่  ยามเว่ย*อวี้เอ๋อร์อุตส่าห์มีน้ำใจมาที่นี่เพื่อดูว่าฉินอวี้โม่กลับมารึยัง คิดไม่ถึงเลยว่าลูกข้าจะกลับเรือนด้วยสภาพที่มือเท้าอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น ข้าเชิญหมอชื่อดังมาตรวจดูอาการของนาง ทว่าก็ยังไม่ทราบสาเหตุ เจ้าลองบอกข้าซิว่าถ้าไม่ใช่ฝีมือลูกเจ้าแล้วจะเป็นใคร!”

(*ยามเว่ย หมายถึง เวลา 13.00 – 14.59)

น้ำเสียงของเยี่ยเสี่ยวตี๋เต็มไปด้วยความเดือดดาล เมื่อนึกถึงสภาพที่น่าอนาถของบุตรสาว หัวใจนางก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก

อวี้เอ๋อร์ของนาง เป็นดรุณีอนาคตไกลและนับเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งผู้หนึ่งแห่งเมืองหลิงซี แต่ทว่าในตอนนี้นางกลับทำไม่ได้แม้แต่จะขยับมือเท้า แล้วจะให้คนเป็นแม่อย่างนางอดทนดูอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร

ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ ความโกรธของเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยิ่งคุกรุ่นรุนแรง ฮูหยินรองแผดเสียงดังต่อไปอย่างไม่ไว้หน้า “ฉินอวี้โม่ นังเด็กชั่วช้า ทำไมยังไม่โผล่หัวออกมาอีก?”

“ฉินอวี้โม่! ได้ยินหรือไม่! ถ้าเจ้ายอมบอกความจริง ข้าจะยอมละเว้นให้สักครั้ง!”

“…………”

“ใครก็ได้เข้าไปลากตัวฉินอวี้โม่ออกมา วันนี้ข้าจะเค้นคอนางให้ได้ว่านางทำอะไรกับลูกข้า!”

เยี่ยเสี่ยวตี๋พาคนของนางมาด้วยจำนวนหนึ่ง เมื่อสิ้นคำสั่งเหล่าคนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็เตรียมจะบุกเข้าไปในห้องนอนของฉินอวี้โม่ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะก้าวเท้า เสียงตวาดก็ดังขึ้น

“หยุดนะ พวกเจ้ากล้าเหรอ!?”

อวี๋เสี่ยวอวิ๋นแผดเสียงลั่นด้วยความโกรธ แม้ว่านางจะไร้ซึ่งพลังแต่นางก็ไม่เคยคิดจะยอมถอยให้เยี่ยเสี่ยวตี๋

“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น แม้แต่ฝึกยุทธ์เจ้ายังทำไม่ได้ แม้แต่ปกป้องตัวเองเจ้ายังไม่มีปัญญา แล้วเจ้ากล้าดียังไงถึงมาขวางทางข้า?”

เยี่ยเสี่ยวตี๋มองดูสตรีอ่อนแอผู้ถูกเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลด้วยสายตาเหยียดหยาม แม้ตาจะจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่ปากเอ่ยสั่งความคนรับใช้ “ไปเอาตัวฉินอวี้โม่ออกมา วันนี้ข้าจะทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในตระกูลฉิน!”

“ใครเป็นใหญ่นั้นข้าไม่ทราบ ข้าทราบแต่ว่าเจ้ามันก็เป็นแค่ ‘อนุภรรยา’! ”

ในตอนนั้นเองเสียงหวานล้ำของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น เยี่ยเสี่ยวตี๋ได้ยินวาจาที่จงใจเสียดสีตัวนางเข้าเต็มหู ขณะเดียวกันประตูห้องนอนของฉินอวี้โม่ก็เปิดออก ร่างบางของคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก้าวออกมา

“ฉินอวี้โม่ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร?!”

ใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวตี๋ชาไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ สตรีผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียรองถามออกไปอย่างเดือดดาล

“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นแค่อนุ ทำไม ข้ากล่าวผิดไปอย่างนั้นหรือ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นมารดา

“ท่านแม่เจ้าคะ ตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเอง!”

เมื่อกล่าวจบคุณหนูผู้เลอโฉมก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้สาวใช้พามารดาของตนกลับไปพัก หญิงสาวยืนประจันหน้ากับเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่กำลังโกรธจัดอย่างไม่กลัวเกรง

คำพูดของฉินอวี้โม่สร้างความเจ็บปวดให้เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่น้อย หลายปีมานี้ แม้ว่าฉินเทียนจะโปรดปรานนางมากจนยอมให้นางได้มีสิทธิ์มีเสียงเป็นใหญ่ในตระกูลนี้ และกระทั่งให้คนในตระกูลใช้คำเรียกขานนางว่า ‘ฮูหยิน’ แต่ทว่าในสายตาของคนภายนอก เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยังคงเป็นได้เพียงภรรยารองที่มิอาจจะเทียบเคียงตำแหน่งภรรยาเอกได้อยู่ดี

แม้แต่ในดินแดนที่ให้ความเคารพนับถือต่อผู้ที่แข็งแกร่งเช่นแผ่นดินหวนหลิงแห่งนี้ ทว่าหากกล่าวถึงสถานะอย่างเรื่องภรรยาหลวงภรรยาน้อยก็ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่นๆ มากนัก อย่างไรเสียภรรยารองก็ยากที่ได้รับการนับหน้าถือตาไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะแข็งแกร่งหรือมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม

เหตุผลที่เยี่ยเสี่ยวตี๋เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฉินเทียนจนได้เข้ามาเป็นฮูหยินรองของตระกูลฉินนั่นก็เพราะว่า นางเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างเฉลียวฉลาด หากเป็นสตรีธรรมดาคนอื่นๆ เมื่อได้ยินวาจาทิ่มแทงใจของฉินอวี้โม่ก็อาจจะแค้นเคืองจนคุมสติไม่อยู่ไปแล้ว

เยี่ยเสี่ยวตี๋รู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วยุ นางทำเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าว

“ฉินอวี้โม่ ครั้งนี้เจ้ากล้ามาก ไม่คิดเลยว่าขยะอ่อนแออย่างเจ้าจะกล้าท้าทายข้า!”

เยี่ยเสี่ยวตี๋พบว่า ฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน แต่ทว่านางกลับมองไม่ออกว่านังเด็กน่ารังเกียจนี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร

“ข้าแค่พูดเรื่องจริง ยิ่งกว่านั้น ข้าจำได้ว่าสถานะบุตรของฮูหยินใหญ่อย่างข้าสูงส่งกว่า ‘อนุภรรยา’ อย่างเจ้า!”

แม้ว่าในขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยวาจาใบหน้านวลของฉินอวี้โม่จะปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ อยู่ตลอด แต่ด้วยความหมายเชือดเฉือนในประโยคนั้นก็ทำให้เยี่ยเสี่ยวตี๋เดือดดาลยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉินอวี้โม่ ข้าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจ้า” เยี่ยเสี่ยวตี๋กล่าวอย่างใจเย็น นางเผยรอยยิ้มงดงามแทนที่จะแสดงอาการโกรธเคือง “ข้ามาเพื่อจะถามว่าเจ้าทำอะไรกับอวี้เอ๋อร์?”

เยี่ยเสี่ยวตี๋จ้องหน้าสตรีผู้อ่อนวัยกว่า แล้วกล่าวต่อ “ทางที่ดีเจ้ารีบบอกความจริงมาดีกว่า มิฉะนั้นก็อย่ามาหาว่าข้ารังแกเจ้า!”

เมื่อได้ยินถ้อยคำข่มขู่ของเยี่ยเสี่ยวตี๋ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มขำในทันที “ฮูหยินรองลืมไปแล้วหรือว่า ข้าเป็นแค่ขยะไร้ค่า ส่วนอวี้เอ๋อร์ของท่านเป็นถึงอัจฉริยะแห่งเมืองหลิงซี แล้วตัวข้าจะไปทำอะไรนางได้?”

ประโยคประชดประชันนั้นของฉินอวี้โม่ทำให้เยี่ยเสี่ยวตี๋ชะงักไป

ใช่แล้ว ฉินอวี้โม่ไร้ค่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว คนอย่างฉินอวี้โม่ไม่สามารถทำอะไรอวี่เอ๋อร์ของนางได้อยู่แล้ว

แน่นอนว่าเรื่องนี้เยี่ยเสี่ยวตี๋เองก็ทราบดี อย่างไรก็ตาม ก่อนมาที่นี่นางได้ถามบุตรสาวมาแล้ว ฉินฉืออวี้กัดฟันกล่าวว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ทำร้ายนาง และเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็เชื่อว่าบุตรสาวของตนไม่ได้พูดโกหก

“ฉินอวี้โม่ ไม่ต้องมาเฉไฉ อวี้เอ๋อร์มาหาเจ้าที่นี่ก่อนที่นางจะกลับออกไปด้วยสภาพนั้น รีบบอกมาว่าเจ้าใช้ลูกไม้อะไรกับนาง!”

“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ไม่คิดเลยว่าท่านจะฉลาดขนาดนี้!”

ฉินอวี้โม่ก็แย้มยิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว “ฮูหยินรองอยากจะรู้หรือไม่ว่า หลังจากนี้ฉินฉืออวี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?”

เมื่อเห็นรอยยิ้มร้ายแปลกประหลาดของฉินอวี้โม่ เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังอยากจะรู้สถานการณ์ของบุตรสาว นางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงกังวล “เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายอะไรลงไป!?”

“อนุเยี่ย โอ๊ะ! ไม่สิ ฮูหยินรอง ท่านก็กล่าวหาข้าเกินไป  ข้าก็แค่ทำให้ฉินฉืออวี้ไม่อาจจะฝึกยุทธ์ได้อีกเท่านั้น มันก็เหมือนกับข้าก่อนหน้านี้นั่นแหละ ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไปนักหรอก” ฉินอวี้โม่ยิ้มเย้ยหยันเย็นชาใบหน้างดงามของนางกำลังรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะกล่าวต่อ “จริงสิ! ดูเหมือนจะมีข้อแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย เพราะว่าฉินฉืออวี้ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่ดีนัก ดังนั้นถ้านางกลายเป็นขยะไร้ค่า ข้าเกรงว่าทั้งชีวิตนี้นางคงไม่มีโอกาสจะได้แต่งงาน!”

วาจาของฉินอวี้โม่ถากถาง น้ำเสียงที่นางใช้ก็แสนเย้ยหยัน แต่ทว่าแววตาคู่งามกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นางกำลังสะใจที่ได้เห็นว่าใบหน้าที่กำลังโกรธจัดของเยี่ยเสี่ยวตี๋นั้นดูน่าเกลียดมากแค่ไหน

“ฉินอวี้โม่ เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย!”

เยี่ยเสี่ยวตี๋ตะโกนอย่างโกรธแค้น เมื่อคิดถึงสภาพของบุตรสาวที่ตนแสนภูมิใจ นางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ตอนนี้นางกำลังจะคลุ้มคลั่งแล้ว

แม้ว่าร่างกายของเยี่ยเสี่ยวตี๋จะไม่ได้นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่ทว่านางก็ฝึกฝนจนเข้าถึง*‘ขอบเขตจิตมายาเจ็ดดารา’*และคนที่นางพามาด้วยก็ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตจิตมายาทั้งหมด ภายใต้คำสั่งของเยี่ยเสี่ยวตี๋ พวกเขาทุกคนก็พุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่เอาไว้

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชา ก็แค่ขอบเขตจิตมายาไม่กี่คน นางไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

–ปัง!–

ทันทีที่คนของเยี่ยเสี่ยวตี๋คนแรกพุ่งเข้าไปถึงตัวฉินอวี้โม่ เสียงดัง *ปัง* สั้นๆ ก็เกิดขึ้น ก่อนที่คนอื่นๆ จะพบว่าคนผู้นั้นถูกฉินอวี้โม่เตะจนกระเด็นออกไปและล้มกลิ้งลงกับพื้น

ฉินอวี้โม่ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางฉวยโอกาสในตอนที่ทุกคนชะงักค้างด้วยความตกตะลึง ซัดฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกคนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ

 “ฉินอวี้โม่เป็นแค่ขยะไม่ใช่รึ? เหตุใดถึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”

ตอนที่เห็นความเร็วในการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่นางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้จะยังไม่เร็วมากนักแต่สำหรับขยะอย่างฉินอวี้โม่ก็นับว่าแปลกประหลาดแล้ว    ทว่าหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายเล่นงานคนของนางให้หมอบลงไปได้อย่างง่ายดาย เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก

ในตอนนั้นเอง เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็เหลือบไปเห็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่ง สตรีผู้กำลังอาฆาตแค้นก็พุ่งเข้าไปหมายจะเล่นงานพวกนาง

“นายหญิง หนีเร็ว!”

เมื่อเห็นเยี่ยเสี่ยวตี๋พุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยความเร็วระดับสูงสุด เสี่ยวโร่วก็รีบผลักร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นให้หลบออกไปก่อนที่ร่างของนางจะถูกเยี่ยเสี่ยวตี๋ซัดจนกระเด็นไปไกล

“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น มอบชีวิตของเจ้ามาซะ!”

เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่หยุดมือ นางไล่ตามอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่อไป

“เยี่ยเสี่ยวตี๋ เป็นเจ้ามากกว่าที่ต้องมอบชีวิตมา!”

ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงหน้าเยี่ยเสี่ยวตี๋ราวกับผีสาง ใบหน้างดงามเผยยิ้มเยือกเย็น นางยื่นมือออกมาและคว้าแขนของฮูหยินรองเอาไว้

— กร็อบ! —

เสียงกระดูกหักดังลั่นขึ้น แขนของเยี่ยเสี่ยวตี๋ถูกฉินอวี้โม่บิดจนหัก ตอนนี้มันกำลังห้อยต่องแต่งอยู่กับไหล่ของนางและดูเหมือนจะสามารถหมุนได้รอบทิศ!