ท่านย่าหม่าเข้ามาในเรือนก็รีบตะโกนเรียก
“นี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าดึงสะใภ้สามคุยอะไรกัน ไม่มีงานทำรึไง เทน้ำใส่ชามไม่เป็นหรือ?”
เหอซื่อภรรยาของบุตรชายคนโตของบ้านเซิ่ง รีบยิ้มเอ่ยรับ “ถ้างั้นข้าจะไปต้มน้ำ”
“ต้มน้ำอะไรกัน ไปอุ่นกับข้าวก่อน”
แล้วถลึงตาใส่ลูกสะใภ้คนที่สอง “ห้องทางทิศตะวันตกยังไม่ได้จัดเก็บจะให้คนอยู่ได้อย่างไร? เจ้ายังไม่รีบไปทำความสะอาดอีก จะรอให้ข้าทำรึไงกัน”
เมื่อเห็นซ่งจินเป่าลูกชายของบุตรคนที่สองกำลังวุ่นวายอยู่กับเฉียนเพ่ยอิง อยากจะกิน ท่านย่าหม่าก็เดินเข้าไปตีส่วนด้านหลังคอของหลานชายคนเล็ก
จูซื่อเตรียมจะไปเผาบ้านแล้ว ในใจกำลังคิดว่าอาหารมื้อเย็นของนางคงไม่ได้กินแล้ว ดูท่าแม้แต่ข้าวต้มก็กินไม่ได้ พบว่าบุตรชายเพียงคนเดียวถูกตี นางก็รีบหันกลับไปดึงลูกชายสุดที่รักเข้าสู่อ้อมกอดแล้วพาออกไป
ส่วนลูกสาวสองคนของนาง ต้ายากับเอ้อร์ยา ถูกแม่สามีด่า แม่สามีรังเกียจเอ้อร์ยาที่ไม่มีวิสัยทัศน์ เลยโดนตบไปหนึ่งที จูซื่อแสร้งทําเป็นมองไม่เห็น
“พั่งยาเพิ่งกลับมา พวกเจ้าสองคนก็ล้อมวงกันเข้ามา ทุกวันเหมือนจะเป็นโรคตะกละตะกลาม วันหนึ่งมองผลซิ่งหรือแอปริคอตที่ข้าเก็บไว้แปดร้อยรอบ ตอนนี้ไม่รู้จักนำมาล้างให้น้องสาวได้กิน เสียเงินเลี้ยงดูพวกเจ้าสองคนมีประโยชน์อะไร”
ต้ายากับเอ้อร์ยา เป็นลูกสาวของบุตรชายคนที่สองซ่งฝูสี่ ทั้งสองคนเมื่อได้ยินย่าของนางด่าเช่นนี้ ไม่เพียงไม่รู้สึกโกรธกลับรู้สึกดีใจ และรีบวิ่งไปเอาผลแอปริคอตที่ห้องใหญ่
ตั้งแต่ลูกแอปริคอตสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลืองแล้ว ท่านย่าก็ดูเหมือนให้ความสำคัญกับมันเท่าชีวิต
ส่งส่วนหนึ่งไปให้บ้านท่านป้าก่อน เหลือที่ถูกหนอนกัดกินก็แบ่งให้พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองบ้านลุงใหญ่ ส่วนที่เหี่ยวก็ให้น้องชายคนเล็กของพวกนาง ซ่งจินเป่ากิน
มีเพียงพวกนางเพียงสองคนที่ไม่ได้กิน
แม้ว่าพวกนางสองคนจะเก็บผลที่ตกอยู่บนพื้นก็ยังโดนด่า ท่านย่าบอกว่าต้องเก็บทั้งหมดไว้ให้บ้านอาสาม และยังบอกว่ารอเก็บผลผลิตฤดูใบไม้ร่วงเสร็จก็จะไปเสียภาษี และเดินไปหลายลี้เพื่อจะนำผลแอปริคอตกับข้าวโพดใหม่ที่เก็บได้ส่งไปบ้านอาสาม
ครั้งนี้พั่งยากลับมาแล้ว ยังเรียกให้นำออกมากิน พั่งยาไม่ใช่คนที่ชอบกินคนเดียว ไม่แน่อาจจะแบ่งปันให้กับพวกนางสองคน
แต่ซ่งฝูหลิงพั่งยา ตอนนี้ได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไป ถึงแม้ย่าของนางในยุคปัจจุบันจะไม่ค่อยดีกับนาง แต่ไม่เคยที่จะกล้าด่านาง แน่นอนว่านางก็ไม่ได้ให้โอกาสด้วย กล้าทำกับนางไม่ดี นางก็ไม่ไปหาแล้ว ทางบ้านตายังรักนาง
ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาก่อน ด่าหลานสาวแท้ๆ เหมือนกับด่าเล่นเอาสนุก
แต่ทำดีกับนางเป็นพิเศษ
ท่านย่าหม่าให้ซ่งฝูหลิงนั่งลงดื่มข้าวต้ม และกล่าวกับเฉียนเพ่ยอิงด้วยท่าทางที่ดี
“สะใภ้สาม รอพวกเขาหายยุ่งแล้วเจ้าก็รีบให้พวกเขานั่งพักผ่อนบ้าง สักพักอาหารก็เสร็จแล้ว ต้องกินให้อิ่ม ทางบ้านพ่อของเจ้าดีกับพวกข้ามาก พวกข้าก็ต้องให้เกียรติทางบ้านโน้นบ้าง ไม่ให้คนอื่นพูดได้ว่าบ้านซ่งจ้างคนมาช่วยทำงานยังไม่ให้กินข้าวอิ่ม เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะไปเชือดเนื้อหมูมาเพิ่มหลายขีดหน่อย”
ท่านย่าหม่าชี้ไปยังเฉียนหมี่โซ่ว “นี่พาผู้ช่วยคนงานสองคนมาด้วยหรือ?”
“ไม่ใช่ นี่เป็นครอบครัวของน้องชายข้า”
ท่านย่าหม่าประหลาดใจมาก ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเฉียนแต่งตัวซอมซ่อเช่นนี้ นางขมวดคิ้วเก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะส่งยิ้มกว้างเสมือนดอกไม้ให้กับเฉียนหมี่โซ่ว นางดึงโถใส่ข้าวต้มที่อยู่บนโต๊ะมา ช้อนตักจนสุด ตักข้าวต้มใส่ชามให้เฉียนหมี่โซ่วกับซ่งฝูหลิงคนละชาม
“พวกเจ้าสองคนกินกันไปก่อน มาบ้านย่าครั้งนี้ต้องกินให้อิ่ม”
ตักเสร็จนางก็ออกมา ถามด้วยความดีใจ “ลูกสาม เจ้ากับพี่ชายทั้งสองคุยอะไรกันตรงประตูน่ะ มีเรื่องอะไรที่แม่ไม่สามารถฟังด้วยได้”
ไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถฟังด้วยได้ จะช้าหรือเร็วก็ต้องพูดอยู่ดี
ซ่งฝูเซิงต้องการประหยัดเวลา เขากำลังบอกพี่ชายคนโตที่ไม่กี่วันมานี้ไปเรียนทำไม้มา ให้ทำรถเข็นมือใส่สวมใส่เข้าไปบนล่อ ดีสุดคือให้เทียมล่อหนึ่งตัวต่อรถหนึ่งคัน แบบนี้จะได้ไม่ต้องใช้แรงคนในการขนสิ่งของ ให้ล่อลาก แบ่งรถลากเป็นสามคันก็จะสามารถขนสิ่งของไปได้เยอะ
ให้พี่ชายใหญ่นำหลานชายทั้งสองไปช่วยงานก่อน
และวางแผนให้พี่ชายคนรองพาซื่อจ้วงไปแบกเอาข้าวสารอาหารแห้งมาไว้ที่เรือน พอจะออกเดินทางก็สามารถนำขึ้นรถไปได้เลย
“นี่ทำอะไรกัน อ๊าห์?” ท่านย่าหม่ามึนงง
ทุกคนต่างรู้สึกตื่นตระหนก
ตอนนี้ซ่งหลี่เจิ้งก็เดินทางมาถึงพอดี พี่เขยเถียนสี่ฟาของซ่งฝูเซิงก็มาแล้ว
ซ่งฝูเซิงที่มือข้างหนึ่งพยุงแม่ของเขา มืออีกข้างพยุงท่านลุงหลี่เจิ้ง และเรียกพี่เขยเถียนสี่ฟาเข้าเรือน ตอนเขาเดินผ่านโต๊ะทานข้าวก็ได้เอ่ยกับเฉียนเพ่ยอิง “พวกเจ้ารีบกินซะ กินเสร็จก็รีบไปจัดข้าวของที่สมควรจัดเก็บ เจ้าก็ไปช่วยดูว่าอะไรควรนำไป อะไรที่ไม่ควรนำไป อย่าเอาสิ่งของที่เสียหายไม่ได้ใช้ใส่ไปบนรถ”
ห้านาทีผ่านไป เสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักของท่านย่าหม่าก็ดังออกมาจากในห้อง
เถียนสี่ฟาไม่สนใจอะไรพุ่งออกมาจากห้อง เขาวิ่งออกไปข้างนอก
เฉียนเพ่ยอิงเทโจ๊กร้อนกลับเข้าไปในถังไม้อย่างเงียบๆ แล้วยื่นให้ซื่อจ้วงที่กําลังเทเมล็ดพันธุ์อาหารแห้งให้หิ้วขึ้นไปบนรถ
แล้วนางก็เดินกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง เหลือบมองพี่สะใภ้ใหญ่เหอซื่อที่ยังถือไม้นวดแป้งอยู่ในครัวก็เอ่ยเตือน
“รีบกลับห้องไปจัดเก็บข้าวของเถอะ ข้าไม่สามารถไปห้องของพวกท่านช่วยจัดเก็บข้าวของได้ เดี๋ยวข้าดูหม้อใบนี้ให้เอง อาหารแห้งเสร็จแล้วก็สามารถนำไปกินระหว่างทางได้”
พูดจบก็รีบนำน้ำมัน เกลือและน้ำส้มสายชูใส่ไป อันไหนควรนำไปก็ใส่เข้าไป และพึมพําในใจว่า น่าจะต้องใส่น้ำสองถัง
ตอนนี้เหอซื่อก็ทำไม้นวดแป้งหลุดมือ เหมือนไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเฉียนเพ่ยอิง ทันใดนั้นนางก็ตะโกนเรียกสามีกับบุตรชายทั้งสองคนของนางด้วยน้ำเสียงอันแสบแก้วหู ให้ไปส่งข่าวบ้านแม่ของนาง
น้ำเสียงนี้ ทำให้ท่านย่าหม่าที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในห้องถึงกับเดินออกมา
ท่านย่าหม่าเดินออกมาก็กระทืบเท้าสะบัดมือตบปากลูกสะใภ้ใหญ่
เหอซื่อเอามือกุมหน้า จ้องมองแม่สามีด้วยสายตาแดงก่ำ
เมื่อก่อนคิดว่านางอยู่ในครอบครัวนี้มีหน้ามีตามาก เนื่องจากเพิ่งแต่งงานเข้ามานางก็ให้กำเนิดเด็กชายสองคนติดต่อกัน แต่น้องสะใภ้รองคลอดเด็กผู้หญิงสองคนถึงจะมีซ่งจินเป่า น้องสะใภ้สามยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้านางไม่มีครอบครัวที่ดีไม่ช้าก็เร็วก็ต้องโดนหย่า
ท่านย่าหม่าชี้จมูกด่าสะใภ้ใหญ่ เจ้าไม่ต้องมาจ้องข้า หากเจ้าจะไปส่งข่าวให้ครอบครัวทางบ้านเจ้ารับรู้ก็ได้ แต่เจ้าต้องข้ามภูเขานั้นไปเอง อย่ามาสั่งลูกกับหลานของข้า เจ้าไม่รีบร้อนหลบหนี พวกเขาต้องมีชีวิตอยู่ เจ้ารีบไปซะ หนีไปกับครอบครัวบ้านของเจ้า บ้านข้าจะได้ประหยัดอาหาร
นางด่าไปก็ยังเหมือนไม่คลายความโมโห จึงดันสะใภ้ใหญ่ออกไปข้างนอก
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉียนเพ่ยอิงอยู่ในครัวไม่ได้หันกลับไปมอง จิตใจกระวนกระวาย แต่มือของนางกลับไม่หยุดนิ่งคอยจัดสิ่งของอย่างเป็นระเบียบ
แต่เมื่อนางได้ยินซ่งจินเป่าส่งเสียงตะโกนอยู่ในเรือน “อาสามขี้เหนียว, ซ่อนอาหารอร่อยไว้ไม่ยอมนำออกมา มิน่าร่างกายของนางถึงมีกลิ่นหอม” นางไม่อยากหันกลับไปมอง แต่ก็ต้องออกไป
ซ่งจินเป่ามือหนึ่งถือไข่พะโล้ อีกมือหนึ่งถือหมาฮวา ยังไม่ได้ปอกเปลือกไข่ไก่พะโล้ก็ยัดเข้าปาก
เฉียนหมี่โซ่วไม่ยอม เขาโผเข้าไปแย่ง “เจ้าเอามาให้ข้า ให้ข้า นั่นเป็นของที่จะต้องกินระหว่างการเดินทาง ป้าของข้าเป็นคนทำ ข้ากับพี่สาวยังไม่กล้ากินเลย”
“ของเจ้าอะไรกัน อาสามเป็นของอาสามข้า อาสามก็เป็นคนตระกูลซ่งของย่าข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร แม่ข้าบอกแล้วว่า ต่อไปสิ่งของของอาสามทั้งหมดก็เป็นของข้า…”
จูซื่อรีบวิ่งมาด้านหน้า เอามือปิดปากบุตรชาย
เฉียนเพ่ยอิงยืนพูดอยู่ตรงประตูห้องครัว
“ใครสอนเจ้าให้พูดเช่นนี้ ไม่ขายหน้ารึไงกัน ข้ากับอาสามของเจ้ายังไม่ตายนะ ยังจะจ้องเอาสมบัติของครอบครัวข้า…
…แต่เดิมก็แค่กินคำหนึ่ง ถ้าเป็นช่วงธรรมดาจะนำออกมาก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงล่ะ!…
…ว่างมากไม่รีบร้อนที่จะหลบหนีลี้ภัย สักพักก็อย่าตามรถไปก็แล้วกัน รถลานั้นเป็นของตระกูลเฉียนข้า ของกินบนรถก็เป็นของบ้านข้า ถ้าอยากจะทะเลาะก็แยกย้ายกันไป ทางใครทางมัน กินของใครของมัน!”
ท่านย่าหม่าหันกลับมามอง นางจ้องมองมาที่เฉียนเพ่ยอิง