ตอนที่ 24 จิตใจของคนมีทั้งเยือกเย็นและอบอุ่น

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

ซ่งฝูสี่ทิ้งถุงอาหารที่แบกมาได้ครึ่งทางลง เขารีบวิ่งไปคว้าตัวซ่งจินเป่ามาอย่างรวดเร็วแล้วเล็งตีไปที่ก้นสองฝ่ามือ 

 

 

เมื่อเห็นว่าลูกชายตัวเองถูกตีแล้วยังกล้าถีบขาสู้ แถมยังร้องทุกข์ไปด้วย มือก็จับหมาฮวายัดใส่ปากไปด้วย เขาก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากขึ้น และรู้สึกว่าคําพูดของน้องสะใภ้เมื่อครู่นี้ทําให้เขารู้สึกอับอาย เขาก็ยื่นขาจะไปถีบ 

 

 

จูซื่อร้องไห้ เดินหน้าเข้าไปห้ามพร้อมตะโกน “ท่านพี่ พวกเราก็มีเขาเพียงแค่คนนี้คนเดียว อย่าตีอีกเลย ข้าขอร้องท่านล่ะ ถ้าท่านจะตีก็ตีข้าเถอะ”  

 

 

ด้านนี้เด็กร้องไห้ ผู้หญิงร้องไห้ ดูวุ่นวายไปหมด 

 

 

ขณะเดียวกันตรงหน้าประตู พี่ใหญ่ก็กำลังสาละวนอยู่กับการดัดแปลงรถลากเทียมลา แล้วก็ถีบภรรยาของเขาไปสองที 

 

 

พี่ใหญ่รู้สึกว่าภรรยาเขาช่างไม่มีความคิดเสียจริงๆ เมื่อเจอสถานการณ์คับขันก็ไม่รู้จักใช้สมอง กลับคิดถึงแต่คนอื่น ไม่ช่วยเหลือตัวเองก่อน 

 

 

นี่ร้อนรนกันแค่ไหนแล้ว เขาเร่งดัดแปลงให้รถเข็นสามารถวางไว้บนล่อได้ เพียงชั่วครู่ มือก็ขึ้นตุ่มพองหลายตุ่ม ยิ่งมืดก็ยิ่งมองไม่เห็นชัดเจน ลูกชายคนโตช่วยจับท่อนไม้ไว้ มือและแขนก็ถูกเสี้ยนทิ่ม เลือดไหลออกมาหลายแผล 

 

 

พวกเขายุ่งหัวหมุนจนจะเป็นลูกข่าง เพียงหันไปมอง ภรรยาเขาก็เข้ามายืนใกล้ข้างบุตรชายคนเล็ก กล่อมให้บุตรชายคนที่สองที่มีอายุสิบสองปีใ ห้แอบเดินทางหลายลี้เพื่อไปส่งข่าวให้กับบ้านตระกูลเหอ 

 

 

นี่เป็นแม่แท้ๆ แบบไหนกัน ไม่สนใจว่าลูกจะเป็นหรือตาย 

 

 

เหอซื่อถูกถีบ นางเดินโซเซไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนจะล้มลงกับพื้น ใช้มือตบพื้นไปและร้องไห้อย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่อยากคิด แต่ท่านพ่อท่านแม่ข้าจะทําอย่างไร พวกเขาไม่รู้ข่าวสาร น้องชายทั้งสามคนของข้าจะทําเช่นไร มิเช่นนั้นก็ต้องถูกจับไปเป็นทหาร เข้าสู่สนามรบจะมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างไร นั่นเหมือนเอาชีวิตพ่อแม่ของข้าไป” 

 

 

“ชีวิตของพ่อแม่เจ้าสำคัญ แล้วชีวิตลูกชายเจ้าคนที่สอง ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขหลุดมาจากร่างของเจ้าหรอกหรือ?” 

 

 

เหอซื่อได้ยินสามีตอบนางกลับมา ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทั้งน้ำตา มีความคาดหวังอยู่ในใจ 

 

 

“หากข้าไปส่งข่าวเอง ท่านย่าคงไม่สนใจว่าข้าจะเป็นหรือตาย แต่ถ้าให้ลูกสองไป ย่าของเขาคงไม่สามารถทิ้งเขาได้ จะต้องรอจนเขากลับมา ใช่ ท่านพี่ ข้าขอร้องท่านล่ะ ข้าโขกศีรษะให้ท่านเลย ให้ลูกสองรีบวิ่งไปเถอะ พวกเราจะรอเขา รอครอบครัวแม่ข้า ข้าขอร้องนะ…” 

 

 

พี่ใหญ่เดินเข้าไปถีบอีกครั้ง ครั้งนี้ถีบไปตรงหัวใจเหอซื่อ 

 

 

นางทำไมถึงไม่คิดให้ดีว่า น้องสองกับน้องสามจะยอมเสี่ยงชีวิตรอหรือไม่ 

 

 

เขาถีบเหอซื่อไปนอนราบบนพื้นอีกครั้ง หากไม่ใช่เพราะบุตรชายสองคนขวางไว้ เหอซื่อยังไม่ทันได้วิ่งก็คงได้รับบาดเจ็บสาหัส 

 

 

ในเรือนกำลังตีเด็ก ส่วนตรงหน้าประตูก็กำลังตีลูกสะใภ้ ท่านย่าหม่าก็รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างในวินาทีต่อมา เบื้องหน้าก็มืดคล้ำลง นางรีบนั่งตรงหน้าประตู แหงนหน้ามองเฉียนเพ่ยอิง หลุดพูดออกมาด้วยความโมโห “สะใภ้สาม เจ้าพอใจแล้วไหม?!” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงคำพูดเดิมในใจ ปฏิกิริยาแรกคือ โอ้? ยายเฒ่าคนนี้ไม่มีเหตุผล นางจะพอใจอะไร? นางเป็นต้นเหตุให้ท่านอ๋องทั้งสองท่านต้องมาทำสงครามกันหรืออย่างไง? นางปล่อยให้หนานเมี่ยนเกิดภัยแล้งหรืออย่างไร? หากนางมีอิทธิพลขนาดนั้นก็คงจะดี 

 

 

“หากท่านถามข้า ข้าไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่ได้มีเวลาพอที่จะมาทะเลาะด้วยในตอนนี้” เฉียนเพ่ยอิงยื่นมือไปและเอ่ย “นำกุญแจตู้ห้องครัวมาให้ข้า” 

 

 

ท่านย่าหม่าเอามือบังเอวอย่างระแวง “ต้องการกุญแจไปทําอะไร?” 

 

 

“ท่านว่าข้าจะทำอะไรล่ะ ข้าสามารถทิ้งท่านไว้ได้หรือ ทิ้งพวกเขาไว้? ท่านยอม? ไปกันให้หมดนี่แหละ ระหว่างทางจะกินอะไรดื่มอะไร น้ำมันกับเกลือของท่านถูกล็อคอยู่ในตู้นั้นใช่ไหม มา เอามาให้ข้า! ” 

 

 

ท่านย่าหม่าก้มหน้าปลดกุญแจออกจากเอว แล้วยื่นออกไป เมื่อส่งไปให้แล้ว กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง มือที่ยื่นไปจึงหยุดชะงัก 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงคว้ากุญแจออกมา ก่อนที่จะหันกลับไปยังห้องครัว นางก็ชําเลืองมองที่เรือนกับที่ประตูและเอ่ยขึ้น “แต่ละคนคงว่างมาก ยังมีเวลาคิดที่จะทะเลาะวิวาทกัน” 

 

 

“เจ้า?” ท่านย่าหม่ามองหลังสะใภ้สามที่กำลังปลดล็อคตู้ อดกลั้นความโกรธไว้ในใจ ก่อนหน้าเพียงครู่เดียวนางก็ถูกต่อว่าไปหลายประโยค 

 

 

เมื่อก่อน ลูกสะใภ้ไม่เห็นกล้าทำขนาดนี้ ตอนพูดกับนางจะเชื่องเหมือนลูกแมว แต่ดูสถานการณ์ในตอนนี้สิ อีกแล้ว? 

 

 

ท่านย่าหม่าใช้มือใหญ่เสมือนพัดตบพื้นอย่างแรง นางสบถด่าเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคนว่างกันหรือไง ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้! ถ้าอยากไปพร้อมกับรถ ก็ไสหัวกลับเข้าเรือน มาจากทางไหนก็กลับเข้าไปซะ!” 

 

 

ท่านย่าหม่าด่าจบ เดิมทีอยากจะนั่งบนพื้นเพื่อสงบสติอารมณ์ บ้านที่นางอาศัยใช้ชีวิตมาหลายสิบปีจะไม่มีแล้ว สมองเบลอ และรู้สึกอึดอัดใจราวกับถูกไฟแผดเผาก็ไม่ปาน แต่เวลานี้บ้านของลุงใหญ่ เรือนที่อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออก ก็ทะเลาะกันขึ้นมาอีก เสียงดังกึกก้อง 

 

 

นี่สิ ก่อนหน้านี้ป้าใหญ่ใช้บุตรสาวคนเล็กของนางมาคอยดูเหตุการณ์ อยากรู้ว่าซ่งฝูเซิงกลับมาบ้านกระทันหันเพราะอะไร เมื่อแอบได้ยินแล้วที่บ้านก็วุ่นวายทันที 

 

 

คนที่ทะเลาะกันคือซ่งฝูโซ่ว คนที่ชอบแอบด่าซ่งฝูเซิงว่าเขาเป็นคนที่ไร้ทายาทสืบสกุลกับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขา 

 

 

น้องสามีกับพี่สะใภ้ทะเลาะกัน ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าคงทะเลาะกันอย่างรุนแรง 

 

 

สาเหตุมาจากภรรยาของซ่งฝูโซ่วที่ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนเพื่อหลบเลี่ยงการเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง จะได้ไม่ต้องทํางานให้เหน็ดเหนื่อย ทั้งสองคนได้ปรึกษากันลับหลัง ที่บ้านยังไม่ได้แยกกันอยู่ ทํามากทำน้อยก็ไม่เป็นไร แต่จะกลับไปบ้านแม่เพื่อหนีงาน โดยบอกว่าทางบ้านแม่คิดถึงบุตรสาว 

 

 

ตอนนี้ซ่งฝูโซ่วร้อนใจมาก บ้านพ่อตาของเขาอยู่ห่างไกลออกไป เขาต้องรีบไปรับภรรยา อยากให้ทุกคนคอยเขา  

 

 

พี่สะใภ้ใหญ่ของเขาไม่ยอม เขาบอกถ้าเช่นนั้นก็ได้ การเดินทางล่วงหน้าไปก่อนของพวกท่านคงเร็วกว่าคนที่เดินทางทีหลัง ถ้าเช่นนั้นเขาจะเป็นผู้รับผิดชอบใช้ควายขนพวกอาหาร ใช้ควายในการเดินทางจะสามารถไปได้อย่างรวดเร็ว ไปรับภรรยามาแล้วค่อยตามทุกคนไป แบบนี้ทั้งสองฝ่ายก็จะได้ไม่เสียเวลา 

 

 

เมื่อพี่สะใภ้ซ่งฝูโซ่วได้ฟังจนจบก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นทันที จะให้เขานำควายกับอาหารไปได้อย่างไร ความไม่พอใจที่อัดแน่นมานานหลายปีก็ประทุออกมาทันที 

 

 

พี่สะใภ้ใหญ่ใช้คำด่าอย่างรุนแรง ด่าจบยังไม่คลายความโกรธ เกลียดความเห็นแก่ตัวของน้องชายสามีคนนี้ นางก็หยิบกลอนไม้ประตูขึ้นมาทุบตี ใครขวางก็ไม่ยอม แต่ในใจก็เข้าใจดี 

 

 

นี่คงจะมีแค่วันนี้ ไม่มีวันพรุ่งนี้อีกแล้ว อย่าว่าแต่เห็นแก่หน้าน้องชายสามีที่เกียจคร้านเลย ถึงเป็นพ่อแม่สามีแล้วจะทําอะไรได้ ความกตัญญู ซื่อสัตย์ ชื่อเสียง เป็นต้น นับแต่นี้ต่อไปต้องหลีกทางให้เพื่อมีชีวิตรอด 

 

 

ท่านย่าหม่าอยู่ห่างจากเรือนนั้นก็ยังได้ยินเสียง พบว่าบ้านพี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อถึงช่วงเวลาสําคัญกลับทะเลาะกันเองในบ้านรุนแรงมากกว่าบ้านของตนเองมาก ตอนนี้นางรู้สึกว่าไม่ต้องเสียเวลาทำใจแล้ว 

 

 

หญิงชรารีบลุกขึ้นยืนอย่างกระฉับกระเฉง และตะโกนไปทางห้องครัวที่อยู่ด้านหลัง “สะใภ้สาม อย่าลืมซอสไหใหญ่และผักดองด้วย” หลังจากเตือนเสร็จ นางก็วิ่งไปยังหลุมเก็บผักหลังบ้าน 

 

 

ท่านย่าหม่าไม่ได้คิดว่าจะเอาผักไปมากเท่าไหร่ แต่แน่นอนว่านางแบกมันไปได้มากเท่าไรก็ยิ่งดี นางยังแอบซ่อนเงินสี่ตำลึงไว้ในหลุมเก็บผักด้วย 

 

 

ส่วนซ่งฝูเซิงที่นั่งอยู่ในห้องมาตลอด ตอนนี้เขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เหงื่อแตกพลั่ก 

 

 

ความจริงเมื่อสักครู่เขาได้ยินเสียงภรรยาด่าคนแล้ว ไม่ใช่เขาไม่อยากออกไป แต่ปลีกตัวออกไปไม่ได้ 

 

 

เพราะท่านลุงหลี่เจิ้งเกือบจะตายต่อหน้าเขา 

 

 

เขากดหน้าอก หยิกคนและไล่กัดมั่วซั่วไปหมด ไม่ค่อยเข้าใจ แต่กลับรู้สึกดีมาก สักพักถึงเรียกสติกลับคืนมาได้ 

 

 

ซ่งฝูเซิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ กระดกน้ำดื่มทีเดียวหมดชาม ก่อนจะเช็ดคราบน้ำที่ริมฝีปากพร้อมกับหันไปมองหลี่เจิ้ง 

 

 

สิ่งนี้ทำให้เขาตกใจ 

 

 

ตาเฒ่านี้ก็แปลกเหมือนกัน หลังจากฟังเขาพูดจบก็กําชับหลานชายคนโตก่อน ให้หลานวิ่งไปส่งข่าวที่บ้านและจัดเก็บสิ่งของ หลานชายคนโตของเขาไม่ได้ออกทางประตู แต่เขากระโดดหน้าต่างทางหลังเรือนแล้ววิ่งออกไป 

 

 

ตาเฒ่าจ้องมองหลายชายของเขาวิ่งไปจนลับตา หลังจากนั้นหันกลับมามองจ้องเขาและล้มลงไปทันที 

 

 

บอกหน่อยสิว่า นี่เป็นการทำให้คนอื่นต้องพลอยเดือดร้อนหรือไม่