การสู้รบกลางแดนรกร้างดุเดือดเลือดพล่าน กองกำลังส่วนตัวไม่ได้คาดการณ์ว่าพวกตนจะปะทะเข้ากับฝูงหมาป่า พวกหมาป่าโหดเหี้ยมเจ้าเล่ห์ ราวกับว่าพวกมันรอซุ่มโจมตีอยู่ก่อนแล้ว

ตอนแรกเหล่าทหารคิดว่าแค่ยิงปืนคงไล่พวกมันไปได้ แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาคิดผิด ฝูงหมาป่าไม่ตกใจกับเสียงปืนเลย!

พอพวกหมาป่ามาถึงตรงหน้า เหล่าทหารพลันต้องตะลึงไปกับขนาดร่างกายพวกมันที่ใหญ่กว่าจินตนาการไว้มาก นี่มันตัวเท่าควายป่าแล้ว!

เดี๋ยวนะ! พอพวกหมาป่าโจมตีเสร็จ พวกมันยังจะมาดักรอบนถนนเส้นเดียวที่ทางทหารจะเคลื่อนพลผ่านอีก ทำไมเหมือนพวกมันวางแผนจะโจมตีกองกำลังส่วนตัวตั้งแต่แรกเลยล่ะ

ถึงอย่างนั้นกองกำลังส่วนตัวนี้ก็เป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝนมา ก่อนที่จะมีทหารบาดเจ็บล้มตายมากไปกว่านี้ พวกเขาก็ตั้งตัวตั้งรับไว้ได้ทัน หากเทียบอาวุธปืนไฟของมนุษย์และเขี้ยวกรงเล็บแหลมของสัตว์แล้ว อาวุธปืนดูจะเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง

กองกำลังส่วนตัวเคยสู้รบปรบมือกับฝูงหมาป่ามาหลายครั้ง ช่วงหลายปีมานี้หลังจากถูกเบื้องบนสั่งมา พวกเขาค่อยๆ ร่างแผนจัดการปราบพวกหมาป่า แต่ก็เพราะเช่นนี้ พวกหมาป่าจึงมีจังหวะให้พักหายใจไปด้วย

ด้วยเหตุอะไรก็ไม่ทราบ ขณะเริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงปืนดังปัง ก็รู้สึกเสนาะหูยิ่ง อะดรีนาลินไหลเอ่อทั่วร่าง เสียงปืนนี่ทำเอาเขาตื่นเต้นขึ้นมาสุดๆ ไปเลย!

เขาไม่ได้เข้าไปดูใกล้สนามรบ เพราะได้รู้แล้วว่าพวกหมาป่ากำลังปะทะกับกองกำลังส่วนตัวอยู่ ดังนั้นตรงไปโรงงานเลยน่าจะปลอดภัยกว่า

เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งผ่านแดนรกร้างด้วยความรวดเร็วปราดเปรียวราวเสือชีตาห์ เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสถึงพละกำลังและความว่องไวที่ได้มาใหม่นี้

ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ใกล้ถึงโรงงานนั้น เขาชะลอฝีเท้าลง ซ่อนตัวเองในความมืด ค่อยๆ ลอบเข้าใกล้โรงงานอย่างเงียบเชียบ เริ่นเสี่ยวซู่มองศพของคนงานอย่างประหลาดใจ เหมือนว่าพวกเขาพยายามจะวิ่งหนีกลับไปที่เมืองแล้ว แต่ก็โดนหมาป่าเข้ามาจัดการไปทีละคนสองคน

มีเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่โชคดีหนีออกไปได้ โดยมีชีวิตของเพื่อนร่วมงานเป็นเครื่องสังเวย

เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปสำรวจแผลพวกเขาอย่างระมัดระวัง ดูแล้วน่าจะถูกหมาป่ากระโจนเข้ากัดคอดับคาที่ในทีเดียว แต่พวกหมาป่ากลับไม่ได้กินซาก และเหมือนจะจากไปอย่างรีบร้อน

เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่ง เขาไม่ได้เข้าโรงงานทางประตูหลัก แต่ปีนท่อนอกโรงงานขึ้นไป ทุกครั้งที่ผ่านหน้าต่าง จะคอยตั้งใจสำรวจดูด้วยว่ามีผู้รอดชีวิตข้างในไหม

พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงชั้นบนสุดของอาคาร ใจเขาก็กระตุกวูบ ดูเหมือนจะไม่มีผู้เหลือรอดชีวิตสักคนเดียวในโรงงานแห่งนี้ ฝูงหมาป่ากวาดทั่วโรงงาน ไม่ปล่อยให้เหยื่อรอดแม้แต่รายเดียว

ปืนมันซ่อนอยู่ตรงไหนนะ เริ่นเสี่ยวซู่คิด ผู้จัดการโรงงานคงไม่วางไว้ที่ที่ปล่อยให้ผู้อื่นหยิบได้สะดวกแน่นอน

เริ่นเสี่ยวซู่ทุบกระจกหน้าต่างชั้นบนสุดและกระโดดเข้าไปในตัวอาคาร เขากวาดตามองไปรอบๆ ก็เห็นทางเดินมีเลือดไหลนอง กองซากศพเต็มไปหมด โรงงานใหญ่โตกลับกลายเป็นนรกภูมิไป

ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ศพทุกร่างราวกับกำลังเคลื่อนตัวไปทิศทางเดียวกัน เหมือนกับว่ามีคนสั่งให้ไปทางนั้นอย่างไรอย่างนั้น

ช่วงวิกฤตขนาดนี้อะไรกันที่นำพาผู้คนไปยังที่เดียวกันได้

เริ่นเสี่ยวซู่สรุปได้ทันที สถานที่แห่งนั้นไม่เป็นที่ซ่อนตัวก็ต้องเป็นที่เก็บอาวุธ!

เขาเดินตามทางนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นใต้ดิน…หลุมหลบภัยฉุกเฉิน?

ยิ่งเดินตรงไป ยิ่งมีซากศพมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่นเสี่ยวซู่เห็นภาพคนต่างแตกตื่นหนีตายจากฝูงหมาป่า พวกเขาอยากจะหนีไปยังที่ปลอดภัย แต่กลับไม่เร็วพอจะวิ่งหนีพวกหมาป่าพ้น

เริ่นเสี่ยวซู่มาถึงประตูเหล็กบานหนึ่ง ทุกคนหนีมาทางนี้เพราะอยากเข้าไปในนี้จริงๆ ด้วย ไม่ว่าจะมีหมาป่ามากเพียงไร ก็ยังเป็นสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อ ยากที่จะทะลุผ่านประตูเหล็กหนาหลายนิ้วได้

เริ่นเสี่ยวซู่กำลังสงสัยว่าหลังประตูมีใครอยู่หรือเปล่า เขารีๆ รอๆ อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยกมือเคาะไปที่ประตูสามครั้ง

มีคนหลังประตูตะโกนมาอย่างยินดี “ทหารหรือเปล่า ในที่สุดพวกคุณก็มาช่วยผมแล้ว จะเปิดประตูให้เดี๋ยวนี้แหละ!”

เคาะประตูเป็นจังหวะแบบนี้ย่อมไม่ใช่ฝีมือสัตว์ป่า เพราะงั้นคนด้านในประตูจึงคิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่เป็นทหารจากกองกำลังส่วนตัวที่ถูกส่งมาช่วย

เกิดเสียงดังบาดหูตอนประตูเหล็กเปิดออก เผยให้เห็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งอยู่ข้างใน ขาเขาบาดเจ็บ กางเกงย้อมไปด้วยเลือด ตอนเปิดประตูจึงต้องยืนด้วยขาข้างเดียว

ทว่าพอประตูเปิดออกปุ๊บ ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือกัน เริ่นเสี่ยวซู่โค้งตัวเตรียมกระโจนเข้าใส่ ขณะที่ชายวัยกลางคนเห็นบุคคลตรงหน้าไม่ใช่ทหารก็ยกปืนพกในมือขึ้นทันที!

บรรยากาศหนักอึ้ง เริ่นเสี่ยวซู่ชะงักร่าง ปากกระบอกปืนพกสีดำเมี่ยมชี้อยู่ตรงหน้าผากเขา

“หึๆ” ชายวัยกลางคนหัวเราะ “ที่แท้เป็นโจรน้อยคิดฉวยโอกาสสินะ อ้อ? ฉันจำนายได้ เริ่นเสี่ยวซู่จากในเมือง”

เริ่นเสี่ยวซู่ก็จำเขาได้เช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้นี้คือผู้จัดการของโรงงาน หวังตงหยาง

“ฉันก็จำนายได้เหมือนกัน” เริ่นเสี่ยวซู่พูด ยืดหลังตรง พูดราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทำไมที่นี่มีนายแค่คนเดียวล่ะ ไม่สิ…นายคือคนที่หนีเข้ามาได้เป็นคนแรก จากนั้นก็ปิดประตูทันที ทิ้งคนอื่นไว้ข้างนอก!”

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกถึงความเย็นเยียบแผ่วาบไปทั่วร่าง ถึงว่าทำไมหน้าประตูเหล็กถึงมีรอยฝ่ามือเปื้อนเลือดเต็มไปหมด กลายเป็นว่ามันคือฝีมือเหล่าผู้อพยพที่ทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง ยามประตูเหล็กถูกปิดลงจากข้างใน ก็ไม่มีทางที่ภายนอกจะเปิดออกได้อีก

หวังตงหยางหัวเราะ แล้วพูดขึ้น “ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องสนใจ แบกฉันกลับไปที่เมือง แล้วฉันจะไว้ชีวิต”

“แล้วถ้าฉันไม่แบกนายกลับไป นายจะทำไง” เริ่นเสี่ยวซู่ก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

“งั้นฉันจะยิงแกให้ตายในนัดเดียว หลังจากนั้นก็ปิดล็อกประตูอีกรอบ และรอให้พวกทหารมาช่วย ฉันเป็นผู้อาศัยในป้อมปราการ พวกเขาต้องมาช่วยฉันอยู่แล้ว” หวังตงหยางพูด

“นายคงกลัวว่าฉันจะไปบอกคนอื่นๆ ว่านายปล่อยทุกคนที่นี่ให้ตายสินะ?” เริ่นเสี่ยวซู่พูดกลั้วหัวเราะ

หวังตงหยางเย้ยหยัน มีปืนอยู่จึงขวัญกล้า มีของให้พึ่งย่อมไร้ความกลัว “รู้ได้ยังไง”

เริ่นเสี่ยวซู่คิดแวบหนึ่งแล้วว่า “ผู้เป็นพ่อย่อมรู้จักลูกชายดี”

หวังตงหยางงุนงง ฉับพลันก็เกิดโทสะขึ้นมา “คิดว่าฉันไม่กล้าฆ่าแกเรอะ!!”

“แล้วฉันยังรู้อีกอย่างด้วยนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่าด้วยเสียงสงบนิ่ง

“อะไร” หวังตงหยางรู้สึกใจไม่ดี

“ฉันรู้ว่านายยังไม่ได้ปลดเซฟตี้ และจะปลดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วด้วย”

รูม่านตาของหวังตงหยางหดทันที ตอนแรกเขานึกว่าที่มาคือพวกทหาร เลยไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่พอเห็นว่าเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่พุ่งเข้ามาอย่างดุดัน เขาก็ไม่มีเวลาจะมาปลดเซฟตี้ปืนทัน

ตอนแรกนึกว่าตัวเองจะขู่เริ่นเสี่ยวซู่ได้อย่างง่ายดาย เพราะผู้อพยพแบบเขาต้องไม่เห็นปืนหรือรู้ว่าปืนทำงานอย่างไรมาก่อน คิดแค่ว่าพอโดนปืนชี้หน้าแบบนี้ต้องเกิดความหวาดกลัวอย่างเดียวแน่

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้เรื่องปืนมากกว่าคนส่วนใหญ่ในป้อมปราการ 113 มากทีเดียว!