หลินเมิ้งหยาทำเพียงยิ้มเล็กน้อยขณะมองดูกิริยาท่าทางอ่อนช้อยของหลินเมิ้งหวู่
ตอนที่ยังอาศัยอยู่ในชายคาบ้านสกุลหลิน หลินเมิ้งหวู่มักจะเข้ามาหาเรื่องทะเลาะตบตีพี่สาวซื่อบื้อของตนเองไม่เว้นวัน แล้วไหนจะมอบพุทราอาบยาพิษให้กับนางก่อนขึ้นเกี้ยวนั่นอีก
จิตใจที่อาบไปด้วยอาบยาพิษของนางมิเหมือนหญิงสาวที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น นับตั้งแต่ตอนที่เดินเข้าประตูมาจนกระทั่งเวลานี้ ดวงตาของหลินเมิ้งหวู่กลับชมดชม้อยชายตาไปทางท่านอ๋องอวี้ตลอดเวลา
หรือนี่จะเป็นวิธีหว่านเสน่ห์ของน้องเมียในสมัยโบราณ? น่าเสียดาย หลงเทียนอวี้มิได้ดูเป็นผู้ชายโง่เขลามักง่ายเช่นนั้น
“จริงหรือ? ข้าเองก็คิดถึงน้องและท่านแม่มากเช่นกัน”
หลินเมิ้งหยาผุดยิ้มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังเหมือนการประชดประชันเสียมากกว่า คนที่คิดจะเอาชีวิตของนางกำลังพร่ำพรรณนาว่าคิดถึงนางอย่างนั้นหรือ เกรงว่าจะอยากให้นางตายตั้งแต่ตอนที่อยู่ในเกี้ยวเสียมากกว่า
“ท่านอ๋องคงเดินทางมาลำบากมาก เชิญเสด็จด้านในเถิดเพคะ ท่านแม่ได้เตรียมชาหอมเอาไว้ ขอเชิญท่านอ๋องลองไปลิ้มรสดูเพคะ”
อีกเพียงนิดเดียวหลินเมิ้งหยาก็เกือบจะหลุดขำพรืดออกมา ปากเพิ่งจะบอกว่าคิดถึงนางแท้ๆ แต่เจตนาที่แท้จริงน่าจะเป็นการหว่านเสน่ห์ใส่พระสวามีของนางเสียมากกว่า!
ท่านแม่ที่นางอ้างถึงเองก็พยักหน้าผงกๆ พร้อมทั้งรอยยิ้ม
ช่างเป็นแม่ลูกที่เหมือนกันเสียนี่กระไร เจ้าเล่ห์มิมีผู้ใดเทียบเทียม!
ทว่าหลงเทียนอวี้กลับขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย เขามิได้สนใจไยดีสองแม่ลูกตรงหน้า แต่กลับหันศีรษะมาทางหลินเมิ้งหยาพร้อมทั้งขยับกายประชิดตัวนางพลางกระซิบที่ข้างหูเบาๆ
“พวกเราไปยังที่ที่เจ้าเคยอาศัยอยู่เถิด ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเจ้าเคยใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นไร”
ราวกับถูกตบหน้าฉาดใหญ่ สีหน้าของหลินเมิ้งหวู่และซ่างกวนฉิงแปรเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง
นัยน์ตาของหลินเมิ้งหวู่เปี่ยมไปด้วยความริษยา นังคนหยาบช้ามีดีตรงไหนกัน นางก็แค่สวยขึ้นนิดเดียวเท่านั้น
ตอนแรกยังเทียบไม่ได้อะไรกับฝ่าเท้าของนางเลยด้วยซ้ำ!
“เพคะ จริงสิ ท่านแม่ เม่ยเม่ย1 ตอนที่ข้าอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาววันนั้น ข้ารู้สึกราวกับว่าตนเองหมดสติไปอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง สติปัญญาของข้าก็กลับมาสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว ข้าหวังเหลือเกินว่าท่านแม่จะเล่าสถานการณ์ของข้าให้ท่านพ่อและท่านพี่ฟัง เมิ้งหยาไม่ขอรบกวนทั้งสองท่านแล้ว เชิญท่านอ๋องเสด็จทางนี้เถิดเพคะ”
ในเมื่อหลงเทียนอวี้เปิดฉากตบหน้าสองแม่ลูกคู่นั้นให้แล้ว นางผู้เป็นตัวละครหลักจะไม่ยกมีดขึ้นจ้วงให้ตายคามือได้อย่างไรเล่า
นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาดั่งปุยนุ่น แม้แต่น้ำเสียงยังเจือไว้ซึ่งความอ่อนโยนและไร้เดียงสา ทว่ามันกลับแทงใจหลินเมิ้งหวู่และซ่างกวนฉิงอย่างจัง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสองแม่ลูกคู่นั้นในเวลานี้กำลังกระอักเลือด
คิดหรือว่าโดนตอกกลับเพียงเท่านี้จะชดเชยความผิดที่เคยกระทำไว้กับนางได้?
ฝันไปเถอะ!
นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น!
“ท่านแม่ดูท่าทางยโสโอหังของนังแพศยานั่นสิ!”
ภายในห้อง หลินเมิ้งหวู่โกรธจนแทบเสียสติ ใบหน้านวลในเวลานี้บิดเบี้ยวเพราะอารมณ์ที่กำลังคุกรุ่น
หลินเมิ้งหยาไม่ตายไม่พิการยังพอทน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่หลงเทียนอวี้เองก็เข้าข้างหลินเมิ้งหยา
“เพราะใบหน้านั้นอีกแล้ว เหมือนกับแม่นางไม่มีผิด พวกนางล้วนเป็นนังปีศาจจอมยั่วยวน” ภายในห้อง ซ่างกวนฉิงเองก็ฉีกหน้ากากจอมปลอมของตนเองออก
ใบหน้างดงามทรงเสน่ห์บัดนี้บูดเบี้ยวไม่น่ามอง ตอนแรกนางคิดว่าใบหน้านั้นจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาลแล้วเสียอีก ไยถึงต้องเจออีกครา
อีกทั้งยังปรากฏในช่วงเวลาที่นางไม่อาจยอมรับได้และไม่อยากจะเชื่ออีกด้วย
“ท่านแม่ ลูกต่างหากที่เหมาะสมจะเป็นพระชายาของท่านอ๋องอวี้ นังแพศยานั่นช่วงชิงทุกอย่างจากลูกไป! ท่านแม่ ท่านแม่จะต้องออกหน้าแทนข้า!”
หลินเมิ้งหวู่โผตัวเข้าหาอ้อมกอดของซ่างกวนฉิง หยาดน้ำตาพลันรินไหลดั่งสายฝน
“วางใจเถิด หวู่เอ๋อร์ของแม่ แม่จะทำให้เจ้าสมหวัง สิ่งไหนที่แม่ไม่เคยได้ ลูกจะต้องได้ไปครอบครองทั้งหมด!”
ซ่างกวนฉิงตัดสินใจ คราวนี้นางจะไม่ยอมให้ใบหน้านั้นเข้ามาแย่งชิงความสุขของลูกสาวนางไปด้วยอย่างแน่นอน
“แม่นมหลี่ นี่คือชาเหอเหอซานที่ได้รับมาจากพระราชวัง เจ้าจงนำมันไปชงใหม่ให้ท่านอ๋อง”
ซ่างกวนฉิงได้ตัดสินใจแล้ว แม้ฮองเฮาจะบอกว่าให้เก็บหวู่เอ๋อร์เอาไว้ก็ตาม
แต่นางมีหวู่เอ๋อร์เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ความสุขของหวู่เอ๋อร์สำคัญกว่าอะไรทั้งสิ้น
“เจ้าค่ะฮูหยิน”
จับจ้องมองแววตาปรารถนาดีของแม่นมหลี่ นางคือแม่นมของซ่างกวนฉิง
นางติดตามซ่างกวนฉิงเข้ามายังบ้านสกุลหลิน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้ทำเรื่องดีเลวลงไปไม่น้อย
ดังนั้นนางจึงไม่เอ่ยถามสิ่งใด ก่อนจะหยิบขวดหยกสีขาวออกไป
“หวู่เอ๋อร์ อีกเดี๋ยวหากยาออกฤทธิ์ เจ้าจงไปทำตามดั่งที่ใจปรารถนาเถิด”
นางลูบไล้ใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่ด้วยความรัก หวู่เอ๋อร์ของนาง อัญมณีอันแสนเลอค่าของนาง ขอเพียงเป็นความต้องการของหวู่เอ๋อร์ นางจะพยายามสุดความสามารถเพื่อให้ลูกสาวคนนี้สมปรารถนา
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านแม่ แต่ลูกไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร?”
ละทิ้งความขวยเขิน หลินเมิ้งหวู่ดีใจมากเสียจนจะบินได้
ขอเพียงนางเข้าไปอยู่ในตำหนักของท่านอ๋องได้ นังแพศยาหลินเมิ้งหยาจะไม่มีที่ยืนอีกต่อไป!
“เด็กโง่ มานี่สิ แม่จะให้เจ้าดูตัวอย่าง”
ซ่างกวนฉิงเคาะหน้าผากลูกสาว นัยน์ตาของนางแฝงไว้ซึ่งความห่วงหา
นางจูงมือลูกสาวไปดูทาสรับใช้ของนาง ก่อนจะสอนทักษะให้ ใบหน้าของหลินเมิ้งหวู่เริ่มแดงจัด ทว่าแววตากลับเปล่งประกายไปด้วยความหวังมากขึ้นถึงสามเท่าตัว
“ท่านแม่วางใจเถิด ลูกจะกลายเป็นพระชายาเพียงองค์เดียวของท่านอ๋องให้จงได้ ส่วนนังแพศยานั่นจะต้องพบจุดจบเหมือนแม่ของนาง แม้ท่าทางของนางวันนี้จะกลับมาเป็นดั่งเช่นคนปกติแล้ว ทว่านางกลับลืมเลือนเรื่องราวในอดีต ต่อจากนี้ไปข้าจะกลายเป็นพี่น้องที่แสนใจดีของนาง”
ความเกลียดชังถูกวาดลงบนใบหน้าสวยงามรูปไข่
พวกนางสามารถทำร้ายหลินเมิ้งหยาได้หนึ่งครั้ง เหตุใดจะไม่มีครั้งที่สองเล่า!
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่เจ้าเติบโตอย่างนั้นหรือ?”
ภายในเรือนขนาดเล็ก หลงเทียนอวี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แม้เรือนหลังนี้จะไม่ใหญ่ ทว่ากลับตกแต่งเอาไว้อย่างสวยงาม
เมื่อเดินเข้ามาจะเหยียบเข้ากับหินกรวดแม่น้ำที่ถูกปูเป็นทางเดิน ต้นไผ่ถูกปลูกเรียงรายทั้งสองฟากฝั่ง
บริเวณรอบๆ เต็มไปด้วยดอกไม้ที่ไม่รู้จักชื่อ
เมื่อเดินตรงไปเรื่อยๆ จะเจอเข้ากับเรือนสองชั้นหลังหนึ่งอยู่ด้านหน้า
“เพคะ ท่านพ่อเคยพูดว่าท่านแม่เป็นผู้ออกแบบสวนแห่งนี้เองกับมือ ท่านแม่เป็นผู้ขอให้สร้างเรือนหยาเตียให้กับหม่อมฉัน”
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงหันไปมองบริเวณรอบๆ ด้วยความคิดถึง
ความรู้สึกนี้ช่างประหลาดนัก ทั้งที่เพิ่งจะมาเป็นครั้งแรก ทว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ปรากฏขึ้นกลับทำให้รู้สึกเหมือนเคยมายังที่แห่งนี้แล้วหลายพันหลายหมื่นครั้ง
อีกทั้งนางยังสามารถบอกได้อีกว่าภายใต้ก้อนหินแต่ละก้อนมีแมลงอะไรซุกซ่อนอยู่
“ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากจากที่นี่ไป?”
ความคลางแคลงใจสุดท้ายที่มีต่อนางถูกลบออกไปจนหมด หลงเทียนอวี้จ้องมองหญิงสาวตรงหน้า
หากนางปลอมแปลงตัวเป็นแม่นางหลินแล้วละก็ นางคงไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อสถานที่แห่งนี้
มีเพียงคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เท่านั้นจึงจะรู้สึกคุ้นเคยและเผยให้เห็นถึงท่าทางรำลึกความหลังเช่นนี้
เดินมาจนถึงศาลาเล็กๆ ในสวน แม้จะมีรอยดำด่างมากมาย ทว่าหลินเมิ้งหยากลับไม่นึกรังเกียจ สายตาพลันเหลือบมองขึ้นไปบนยอดแหลมของศาลา
“ท่านแม่จากไปตั้งแต่หม่อมฉันยังเด็ก ต่อมาท่านพ่อทำตามคำขอของท่านแม่และสร้างเรือนหยาเตียแห่งนี้ขึ้น ส่วนลวดลายผีเสื้อเหล่านั้นเป็นพี่ชายที่วาดขึ้นเองกับมือ ตอนที่หม่อมฉันยังเด็กมักจะโวยวายอยากได้ผีเสื้อ พี่ชายกลัวว่าหม่อมฉันจะเสียใจ ท่านพี่จึงวาดผีเสื้อร้อยตัวไว้ที่ด้านบนศาลาแห่งนี้”
ผีเสื้อเสมือนจริงเหล่านั้นถูกลมแดดลมฝนชะล้างจนเริ่มเลือนราง
ทว่าหลินเมิ้งหยากลับมองมันอย่างตั้งใจ สิ่งเหล่านี้คือความรัก ความเอ็นดูและความรู้สึกอยากปกป้องน้องสาวของพี่ชาย
ความรู้สึกนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาไปได้
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้หญิงสาวสติฟั่นเฟือนอย่างหลินเมิ้งหยายังอยากมีชีวิตอยู่กระมัง
“พี่ชายของเจ้าช่างใส่ใจยิ่งนัก ตอนที่ข้ายังเด็ก พี่ใหญ่ก็มักจะแอบพาข้าออกไปนอกวัง ต่อมาถูกหมู่เฟยจับได้ สุดท้ายพี่ใหญ่ก็คุกเข่าต่อหน้าหมู่เฟยเพื่อขอรับความผิดแทนข้า”
ราวกับว่าหัวใจของหลงเทียนอวี้กำลังสั่นไหว
เขาที่ยืนอยู่ด้านนอกศาลาหวนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาที่เคยคิดว่าตนเองได้ลืมเลือนไปนานแล้ว
ตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้เรื่องการแก่งแย่งชิงบัลลังก์ อีกทั้งยังไม่เข้าใจเรื่องการช่วงชิงอำนาจ
แต่เพราะเกิดมาเป็นเชื้อพระวงศ์ ฉะนั้นจะมีสักกี่คนกันเล่าที่จริงใจ
ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่างทั้งนั้น
“หม่อมฉันพาพระองค์ไปดูในตัวเรือนแล้วกันเพคะ ด้านหลังมีสระน้ำเล็กๆ ทุกคืนหม่อมฉันมักจะได้ยินเสียงของกังหันน้ำ”
หลินเมิ้งหยามีความสุขราวกับผีเสื้อกำลังโผบิน นางยื่นมือเข้าไปจับมือของหลงเทียนอวี้ ก่อนจะแนะนำทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาได้เห็น
ฝ่ามือเล็กนุ่มนิ่มกุมมือของหลงเทียนอวี้เอาไว้แน่น นางคงไม่รู้เลยว่ามือข้างนั้นกำลังกุมหัวใจของเขาเอาไว้เช่นเดียวกัน
เขาไม่รู้เลยว่าใบหน้าของตนเองในเวลานี้กำลังอ่อนโยนลงหลายเท่า
เขากับหลินเมิ้งหยาเองก็มีจุดที่คล้ายกัน
ตลอดทั้งวัน หลินเมิ้งหยากลายเป็นนกน้อยส่งเสียงเจื้อยแจ้วบอกเล่าเรื่องที่น่าสนใจในเรือนหยาเตียให้กับหลงเทียนอวี้ฟัง
ส่วนใหญ่หลงเทียนอวี้จะรับฟังเงียบๆ ขนาดเขายังนึกไม่ถึงเลยว่าเรือนเล็กๆ หลังนี้จะมีเรื่องราวแห่งความสุขมากมายขนาดนี้
แต่ถึงกระนั้นเขาก็พอมองออกแล้วว่า อันที่จริงหลินเมิ้งหยามีเพียงฐานะลูกสาวคนโตแห่งบ้านสกุลหลินเท่านั้น
ทว่าคนที่ได้รับความสำคัญและเฉิดฉายจริงๆ กลับเป็นคุณหนูรองหลินเมิ้งหวู่
ความเจ็บปวดบางอย่างพลันปรากฏขึ้นในหัวใจ
คนที่ต้องใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แต่ยังคงยิ้มแย้มอย่างสดใสเช่นนี้ได้ ไม่มีทางเป็นคนสอดแนมของฮองเฮาแน่นอน!
หลังจากได้เที่ยวเล่นทั้งวัน สุดท้ายหลินเมิ้งหยาและหลงเทียนอวี้ก็ได้พักผ่อนด้วยกันในเรือนหยาเตียในช่วงเวลายามค่ำคืน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทันทีที่จุดไฟในตะเกียง แขกที่ไม่ได้รับเชิญจะปรากฏตัวขึ้น
“ท่านอ๋องมาจวนของพวกเราเป็นครั้งแรกคงจะยังไม่คุ้นชินสินะเพคะ?”
ซ่างกวนฉิงส่งยิ้มกว้าง นางถือกล่องข้าวมาที่เรือนหยาเตียพร้อมกับแม่นมหลี่เพียงคนเดียว
เหตุเพราะอาการไม่ปกติของหลินเมิ้งหยา ดังนั้นเรือนหยาเตียจึงไม่มีห้องครัว
อีกทั้งหลงเทียนอวี้ยังไม่ไว้หน้า เขานั่งกินข้าวกับหลินเมิ้งหยาที่เรือนเล็กหลังนี่ เพราะฉะนั้นซ่างกวนฉิงจึงต้องแบกหน้ามาหาเขาถึงที่นี่ด้วยตนเอง ถึงอย่างไรเขาก็จะเป็นคนที่มีความเกี่ยวพันกับหลินเมิ้งหวู่ในอนาคต
“ก็ดี”
สำหรับแขกที่เข้ามาวุ่นวายโดยไม่ได้รับเชิญเช่นนี้ ปกติแล้วหลงเทียนอวี้มักจะตอบเพียงสั้นๆ
อันที่จริงนอกจากหลินเมิ้งหยาแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกสนใจใครอื่นในจวนแห่งนี้เลย
“ล้วนเป็นความผิดของหม่อมฉันเอง ท่านอ๋องอวี้และพระชายาจึงต้องมาเห็นเรื่องตลกเช่นนี้ นี่เป็นขนมที่หม่อมฉันทำขึ้นในครัวเล็กๆ ที่เรือน หากกลางดึกเกิดหิวขึ้นมาจะได้มีอาหารรองท้องเพคะ”
หลงเทียนอวี้ไม่หันไปมองเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาในเวลานี้จับจ้องอยู่ที่ว่าวซึ่งกำลังถืออยู่ในมือ
หลินเมิ้งหยาบอกกับเขาว่านี่เป็นว่าวที่นางทำเองตอนอายุได้ห้าขวบ
นางเก็บรักษาสิ่งของเอาไว้ได้เป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีส่วนชำรุดบ้างเล็กน้อย
แต่เด็กผู้หญิงที่สามารถทำว่าวตอนอายุห้าขวบขึ้นมาได้ช่างหายากยิ่ง
ตกลงแล้วเพราะเหตุอันใดจึงทำให้นางกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนในเวลาต่อมากันแน่?
*********************
1 เม่ยเม่ยคือน้องสาว