บทที่ 6.3 สังเวยทุรมาลิน กำเนิดไพฑูรย์ตาแมวสองสี (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

ทันทีที่เขาเริ่มวิ่ง โจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเขา เมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อก่อน ดูเหมือนว่าร่างกายของเขาตอนนี้เบากว่าเดิมถึงสิบเท่า และทุกย่างก้าวของเขานั้นพาเขาไปได้ไกลกว่า 5-6 เมตร ยิ่งไปกว่านั้น ความปวดเมื่อยจากการวิ่งในวันก่อนหน้าก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็นึกถึงสาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างเกิดขึ้นเมื่อคืน จากนั้นก็คร่ำครวญออกมา โอ้ ไม่นะ!! เขาลืมคัมภีร์วิชาเทพอมตะไว้ที่กระโจม!!

ในไม่ช้าความกลัวของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความสุข เนื่องจากเขาเพิ่งจะนึกบางอย่างได้ นี่ข้าฝึกวิชาเทพอมตะสำเร็จหรือ? เขาคิดพลางวิ่งออกจากค่ายทหารแล้วมุ่งตรงไปยังทิศทางหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาก็มุ่งความสนใจไปที่จุดตายบนกระดูกไหปลาร้าด้วย

โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ว่าจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าของเขานั้นดูเหมือนกับมีหลุมดำเกิดขึ้น หลังจากเมื่อคืนเขาได้ทำการทะลวงมันสำเร็จ มันก็ได้ดูดกลืนพลังชีวิตของเขาเข้าไป แต่ทว่าตอนนี้หลุมดำนั้นกลับกำลังดูดกลืนพลังจากโลกภายนอกเข้าไปแทน นี่มันช่างน่าทึ่งเป็นอย่างมาก!!

เมื่อเขาจดจ่ออยู่กับหลุมดำนั้น โจวเหว่ยชิงรู้สึกได้ทันทีว่าพลังการดูดกลืนนั้นแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ และไอพลังความเย็นจากธรรมชาติรอบตัวเขาก็ไหลเข้าสู่ร่างกายไปยังจุดตันเถียนอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากนี้เขายังรับรู้การเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาจดจ่อกับจุดตายที่เหลืออีก 3 จุด เขาก็พลันรู้สึกว่าพวกมันก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ กัน

จุดแรกอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง แม้ว่าโจวเหว่ยชิงยังไม่สามารถจดจำวิชาเทพอมตะได้ทั้งหมด แต่เขาได้อ่านหน้าแรกมาผ่านๆ หลายครั้ง และจำได้อย่างชัดเจนว่านี่เป็นจุดตายจุดที่สองในการฝึกวิชาเทพอมตะส่วนแรก ซึ่งจุดตายนี้เรียกว่าจุดไท่หยวน เมื่อทะลวงจุดนี้ มันส่งผลต่อเส้นชีพจรนับร้อย ซึ่งนั่นทำให้เกิดอาการบาดเจ็บภายในได้ จุดตายไท่หยวนนั้นมีส่วนคล้ายกับจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าเนื่องจากมันเป็นเส้นชีพจรคู่เหมือนกัน จุดหนึ่งอยู่ ณ ข้อมือฝั่งซ้าย และอีกจุดอยู่ฝั่งขวา

นอกจากจุดไท่หยวนแล้ว ก็ยังมีจุดตายอื่นๆ อีกก็คือจุดซูซานหลี่ตรงหัวเข่า และจุดซานหยินเจียวตรงข้อเท้า ตอนนี้ทั้ง 3 จุดตายนั้นก็ให้ความรู้สึกเดียวกันกับจุดตายบนกระดูกไหปลาร้าที่ถูกทะลวง แต่ละจุดปรากฏหลุมดำซึ่งกำลังดูดกลืนพลังจากภายนอกเข้ามาสู่ร่างกายของเขา

โจวเหว่ยชิงรู้ว่านี่เป็นผลมาจากพลังของไข่มุกสีดำ ยิ่งไปกว่านั้นไข่มุกนี้ยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาทะลวงจุดตายทั้งสี่ได้สำเร็จ ไม่น่าเชื่อว่าในพริบตาเดียว เขาก็เกือบจะทะลวงจุดตายส่วนแรกของวิชาเทพอมตะจนครบ ขาดก็เพียงแค่จุดสุดท้ายเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ปราณสวรรค์ของเขาพุ่งพรวดไปยังระดับ 4 อย่างน่าพึงพอใจ!!

ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกสมองช้า ก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดจากการทำร้ายซ่างกวนปิงเอ๋อร์ ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งรู้สึกตื่นเต้นที่ฝึกฝนวิชาเทพอมตะสำเร็จ

ปราณสวรรค์ระดับ 4? นั่นแปลว่าตอนนี้ข้าปลุกพลังมณีได้แล้วหรือ??!!

โจวเหว่ยชิงตระหนักได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็มองลงไปยังข้อมือ และทันทีที่ทำเช่นนั้น จู่ๆ เขาก็หยุดวิ่งและยกมือขึ้นปิดหน้าร้องไห้เสียงดังอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่าๆ! วะฮะฮ่า! มณีสวรรค์! ในที่สุดข้าก็มีมณีสวรรค์!! ข้าเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว!!!! วะฮะฮ่า! ตอนนี้ใครจะกล้าด่าข้าว่าเป็นเศษสวะอีก!!!!”

การหัวเราะอย่างบ้าคลั่งนี้ทำให้เขาแทบไม่เหลือน้ำลาย ความรู้สึกอัปยศอดสูในหลายปีที่ผ่านมาถูกปลดปล่อยออกมาโดยฉับพลัน และเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจออกมาอย่างลิงโลด

ข้อมือขวาของโจวเหว่ยชิงคือไข่มุกสีขาววาววับและโปร่งแสงราวกับผลึกน้ำแข็ง มณีนั้นไร้สิ่งเจือปน มันเป็นหยกบริสุทธิ์ของจ้าวมณีสวรรค์ ทว่ามันก็ยังแตกต่างจากหยกหินมังกรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เนื่องจากมันคือหยกน้ำแข็ง ซึ่งนั่นจะเสริมให้เขามีพละกำลังที่แข็งแกร่ง

เมื่อมองที่ข้อมือซ้ายของเขา มันเป็นอัญมณีที่แปลกประหลาด และไม่เหมือนใคร มันมีสีน้ำเงินเข้ม แต่ตรงกลางกลับมีจุดสีขาวส่องแสงเป็นประกาย ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่ามันจะเคลื่อนไหวไปตามข้อมือของโจวเหว่ยชิง เมื่อเขาขยับข้อมือ มันก็จะพยายามขยับมาอยู่ด้านบนสุดเสมอ  และเมื่อเทียบกับตอนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็น ในเวลานั้นไพฑูรย์นี้เป็นสีแดงกุหลาบ แต่ทว่าตอนนี้สิ่งที่โจวเว่ยชิงเห็นกลับเป็นสีน้ำเงินเข้ม และตรงกลางภายในแสงสีขาวนั้นก็ยังมีร่องรอยของสีเทาปะปนอยู่ด้วย

นี่มันมณีธาตุไหนกันแน่?? หรือว่าจะเป็นมณีธาตุมิติ? โจวเหว่ยชิงรู้ว่าไพฑูรย์นั้นมีทักษะธาตุมิติ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะรู้เรื่องของมณีสวรรค์ไม่มากเท่ากับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่เขาก็รู้ว่าปกติแล้วไพฑูรย์ไม่ได้มีสีเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าแม่ทัพโจวมีทักษะธาตุมืด โจวเหว่ยชิงในฐานะลูกชายของเขาก็ควรจะได้รับการสืบทอดทักษะธาตุนั้นด้วย แต่ทำไมเขามณีของเขาถึงกลายเป็นไพฑูรย์สีแปลกประหลาดเช่นนี้ น่าเสียดายที่ข้าไม่กล้าพอจะย้อนกลับไปถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์

ดูเหมือนแผนการในการเข้าร่วมกองทัพของข้าจะล้มเหลว ดังนั้น ตอนนี้ข้าควรรีบเผ่นหนีก่อน!!! สำหรับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ข้าจะหาวิธีตอบแทนและชดเชยให้แก่เธอ ท้ายที่สุด ตอนนี้ข้าก็กลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว ใครจะรู้ว่าครั้งหน้าเราอาจจะคู่ควรกันก็ได้ ฮ่าๆ!

โจวเหว่ยชิงคิดขณะที่วิ่งไปด้วย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายของซ่างกวนปิงเอ๋อร์บอบช้ำมาก สิ่งที่เขาทำกับเธอนั้นย่อมทำให้ทั้งมนุษย์และสวรรค์รุมเกลียดเขา! ในขณะที่กำลังต่อว่าตัวเองอยู่นั้น โจวเหว่ยชิงก็พลันคิดอย่างมีเลศนัย เฮ้อ ช่างน่าเสียดายจริงๆ…ถ้าเพียงข้าตื่นขึ้นมากลางคันตอนนั้น…

ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังจะก้าวเดินต่อ เขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ด้านหลังคอของเขา และความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาในเสี้ยววิ ร่างกายของเขาแข็งทื่อทันที

“อ้วนน้อยโจว เจ้าข่มเหงข้า และตอนนี้เจ้าคิดจะหนีไปไหน?!” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธทำให้โจว เหว่ยชิงตัวสั่นด้วยความกลัว เขายกมือขึ้นยอมแพ้อย่างรวดเร็ว “ปะ เปล่า ข้าไม่ได้วิ่ง ข้าไม่ได้วิ่งหนีนะ! ท่านผู้บัญชาการกองพัน ค่อยพูดค่อยจากันดีหรือไม่ อย่ารีบด่วนตัดสินใจเลย ให้ข้าอธิบายก่อน !!”

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อ้อมมาด้านหน้าของโจวเหว่ยชิง ลูกศรในมือเธอกำลังจ่ออยู่ที่คอของเขา แม้ว่าสภาพของเธอตอนนี้จะยังไม่เรียบร้อยมากนัก แต่ตอนนี้เธอก็สวมชุดทหารที่โจวเหว่ยชิงเพิ่งซักเมื่อวานไว้อย่างหลวมๆ อยู่

ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ และร่างกายของเธอก็แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามาก หากผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งถูกทารุณเหมือนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ประสบเมื่อวาน แม้ว่าเธอจะไม่ตาย แต่เธอก็ย่อมจะต้องล้มป่วยเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อครู่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้รับการเยียวยาจากมณีสวรรค์ทั้ง 2 ของเธอแล้ว หลังจากพักชั่วครู่หนึ่ง เธอก็ฟื้นพลังปราณสวรรค์ และสามารถเคลื่อนไหวได้ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงกำลังจะหลบหนี เธอจะพอใจได้อย่างไร? เธอซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงรีบคว้าเสื้อผ้าที่ถูกทิ้งไว้ในกระโจมขึ้นมาใส่เพื่อปกปิดร่างกายตัวเอง ก่อนออกจะไล่ล่าตามหาโจวเหว่ยชิง

ขณะที่เธอพบโจวเหว่ยชิง เธอก็เห็นเขากำลังยกมือขึ้นมา ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลังเลอยู่พักหนึ่งเมื่อเห็นมณีบนข้อมือของเขาอีกครั้ง นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้มาถึงตัวเขาช้า

“ยกข้อมือซ้ายให้ข้าดู” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา ดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยงดงาม และอ่อนโยนตอนนี้กลับกลายเป็นสีแดงฉาน พวกมันเต็มไปด้วยความเย็นชา และโกรธเกรี้ยว หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามณีที่ข้อมือซ้ายของเขาทำให้เธอประหลาดใจมาก เธอก็อาจจะแทงเขาด้วยลูกธนูไปแล้ว

……………………………………………………………….