บทที่ 6 คำขอโทษใต้แสงจันทร์

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

หก

คำขอโทษใต้แสงจันทร์

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เธอพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงเป็นเวลานานสองนาน

เวลาดึกสงัดผู้คนมักจะรู้สึกหดหู่ได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไปกว่านั้น เธอเพิ่งพบกับเหตุการณ์ที่เป็นละครฉากหนึ่งก็ว่าได้

เมื่อหมู่บ้านในชนบทเข้าสู่ยามราตรี บางครั้งจะได้ยินเสียงหมาหอน บางคราก็ได้ยินเสียงนกฮูกลอยมาตามลมชวนวังเวง

เสวี่ยเจียเยว่พลิกตัวหันหน้าไปทางหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงอนาคตที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังเปิดประตู

เธอสะดุ้งด้วยความตกใจ รีบหยัดกายลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงทันที ก่อนจะไปยืนชิดหน้าต่าง

หน้าต่างบานนี้ทำขึ้นมาอย่างง่ายๆ กรอบด้านบนทำจากไม้สามท่อนซึ่งไม่ได้สวยงามหรือเรียบร้อยมากนัก ด้านนอกใช้กระดาษสาปิดเอาไว้แผ่นหนึ่งก็เป็นอันเสร็จสิ้น ทว่ากระดาษสาแผ่นนี้น่าจะผ่านกาลเวลามานานพอสมควร โดนลมโดนแดดมามาก จึงมีหลายจุดที่ขาดเป็นรู

เสวี่ยเจียเยว่หรี่ตามองไปด้านนอกผ่านรูที่อยู่บนหน้าต่าง และเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังเปิดประตูเรือนเก็บฟืนออกมา

วันนี้เป็นวันที่สิบหกตามปฏิทินจันทรคติ แสงจันทร์จึงดูงดงามเป็นอย่างมาก สามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่อยู่ด้านนอกได้อย่างชัดเจน

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนนิ่งอยู่กลางลานเรือน เงยหน้ามองพระจันทร์ที่ลอยอยู่บนนภาครู่หนึ่ง และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เขาก้าวเท้าไปหยุดข้างต้นท้อที่อยู่ตรงมุมหนึ่งของเรือนหลัก

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ทันใดนั้นเธอก็เห็นเขาเอื้อมมือไปเด็ดดอกท้อลงมาหนึ่งดอก ก่อนจะมองอย่างละเอียด

‘ความงามดั่งดอกไม้ในกลีบเมฆ’ ถ้อยคำเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวเธอ

ใบหน้าของเสวี่ยหยวนจิ้งช่างงดงามมากจริงๆ อีกทั้งยังดูสง่าไม่น้อย ราวกับต้นไผ่บนเทือกเขาต้องแสงจันทร์ก็มิปาน ดูน่าหลงใหลไม่มีผู้ใดเปรียบ

น่าเสียดายที่จิตใจเขาอำมหิตและเหี้ยมโหด เมื่อคิดถึงภาพที่เขาดึงปลิงตัวนั้นออกต่อหน้าต่อตาเธอ ก่อนจะบดหัวแล้วนำมันไปตากแดดด้วยสีหน้าเฉยชา เสวี่ยเจียเยว่ก็อดรู้สึกสั่นสะท้านในใจไม่ได้

พลันเสวี่ยหยวนจิ้งยัดดอกท้อเข้าปากตัวเอง!

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น เธออดตกใจไม่ได้ แต่ก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ได้อย่างรวดเร็ว

เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีเท่านั้น ร่างกายกำลังเติบโต อีกทั้งเมื่อตอนกลางวันเขายังทำงานหนัก แต่ดูสิ่งที่ซุนซิ่งฮวาให้เขากินมีอะไรบ้างเล่า มีเพียงโจ๊กซึ่งแทบไม่มีเมล็ดข้าวฟ่างกับหมั่นโถวธัญพืชที่บิออกเป็นชิ้นเล็กเท่านั้น สำหรับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว กินเพียงเท่านี้มันจะไปอิ่มอะไร เขาจะต้องหิวขึ้นมากลางดึกอย่างแน่นอน

ตอนกลางวันเขาไม่แสดงท่าทีใดออกมา แต่พอตกดึกกลับทนความหิวไม่ไหว ถึงได้เดินออกมาเด็ดดอกท้อกินเช่นนี้ เพื่อให้มีอะไรตกถึงท้องให้หายหิวได้บ้างเท่านั้น

แม้จะบอกว่าเป็นภาพที่งดงามสมบูรณ์แบบภายใต้แสงจันทรา ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกเวทนายิ่งนัก

ในภพที่จากมาแม่เลี้ยงก็ทำเช่นนี้กับเธออยู่บ่อยครั้ง เธอจึงเข้าใจความรู้สึกของคนที่กำลังหิวโหยและทุกข์ทรมานเป็นอย่างดี แม้จะบอกว่ามีบิดาแท้ๆ แต่เมื่อมีแม่เลี้ยง บิดาแท้ก็ย่อมกลายเป็นพ่อเลี้ยง บิดาของเธอเป็นเหมือนคำกล่าวนั้น และบิดาของเสวี่ยหยวนจิ้งในภพนี้ก็เช่นกัน

เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งกินดอกท้อไปหลายสิบดอกแล้ว เมื่อเห็นว่าเขาไม่เด็ดมันลงมากินอีก จึงย่องออกไปเปิดประตูเรือนอย่างเบามือ

ดูจากการกระทำทั้งหมดของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาจะต้องเป็นคนทะนงตัวมาก เพราะเขาไม่เคยแสดงด้านที่อ่อนแอของตนต่อหน้าผู้อื่นแม้แต่น้อย เธอจึงไม่ออกไปตอนที่เขากำลังใช้ดอกท้อคลายความหิว เกรงว่าเขาจะอับอายจนกลายเป็นความโกรธ และจะยิ่งจงใจทำตัวห่างเหินกับเธอมากกว่าเดิม

เสวี่ยหยวนจิ้งทอดตามองภูเขาที่ทอดยาวไปไกล ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันไปมอง พบว่าเป็นเอ้อร์ยาที่เดินออกมาจากเรือน

เขาเบื่อหน่ายน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้ยิ่งนัก ถึงขั้นเกลียดชังเลยทีเดียว

หากไม่มีเอ้อร์ยากับมารดาของนาง น้องสาวเขามีหรือจะถูกขายให้พ่อค้ามนุษย์ อีกทั้งไม่รู้ว่าชะตากรรมของนางจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะไปตกระกำลำบากที่ไหน เขาเกลียดที่ตัวเองไม่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นชีวิตเขาคงไม่พลิกผันมาเป็นเช่นนี้ได้ และเขาไม่มีทางยอมให้ซุนซิ่งฮวาขายน้องสาวที่มีอายุเพียงสามขวบให้คนอื่นอย่างแน่นอน

ส่วนบิดาของเขานั้น…

เสวี่ยหยวนจิ้งหรี่ตาลงพลางยิ้มเยาะ

ตอนที่มารดาเขายังมีชีวิตอยู่ เมื่อบิดาดื่มสุราจนเมามายก็มักจะทำร้ายและด่าทอพวกเขาสามแม่ลูก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากมารดาตายไปไม่ถึงสามเดือน บิดาก็รีบร้อนไปขอหญิงอื่นแต่งงานทันที อีกทั้งเมื่อซุนซิ่งฮวาไม่พอใจอะไรขึ้นมาแล้วต้องการกลับบ้านเกิดของนาง ก็มักจะขู่ว่าให้ขายน้องสาวเขาออกไป คิดไม่ถึงเลยว่าบิดาจะตอบตกลงอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

ขนาดเสือมันยังไม่กินลูกตัวเอง เสวี่ยหยวนจิ้งรู้สึกว่าแม้แต่สัตว์เดรัจฉาน บิดาเขาก็ยังเทียบไม่ได้ ส่วนซุนซิ่งฮวากับลูกสาวของนาง สำหรับเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว… ก็เปรียบเสมือนสัตว์เดรัจฉาน

ดังนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งจึงไม่อยากเห็นหน้าน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงนัก เมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินออกมา เขาก็หันกลับโดยคิดจะเดินไปที่เรือนเก็บฟืนของตน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น เธอก็รีบสาวเท้ามาขวางเขาไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ที่ข้ามาไม่ได้มีเจตนาอื่น เพียงอยากจะขอโทษเจ้า ขอพูดคำว่าขอโทษสักครั้ง เมื่อตอนกลางวันข้าไม่ควรเข้าไปในเรือนของเจ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้าขอสาบานว่า ข้าแค่ยืนมองอยู่หน้าประตูเท่านั้น ไม่ได้เหยียบย่ำเข้าไปภายในแม้แต่ครึ่งก้าว”

เธอมองเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยสายตาจริงใจ

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ต้องการพบหน้าเธอ หากพูดอ้อมค้อมกับเขา เกรงว่าเขาคงไม่มีทางสนใจ จึงพูดถึงจุดประสงค์ที่ตนมาให้ชัดเจน

เสวี่ยหยวนจิ้งหยุดชะงัก…

การอยู่ร่วมกันในสามเดือนมานี้ ทำให้เขารู้ว่าเอ้อร์ยาเป็นคนพูดมาก สกปรก และชอบสร้างเรื่องไปฟ้องซุนซิ่งฮวา ทว่าวันนี้กลับมีท่าทีต่างจากทุกวัน คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะขอโทษเขาด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นนี้ อีกทั้งเมื่อตอนกลางวันยังล้างเนื้อล้างตัวจนสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ปริปากบอกซุนซิ่งฮวากับบิดาเขาสักคำ…

เสวี่ยหยวนจิ้งอดสงสัยไม่ได้จริงๆ แต่พอเขาคิดอีกที เอ้อร์ยาผู้นี้มีความสำคัญสำหรับเขาด้วยหรือ

ในที่สุดเขาก็ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และเดินอ้อมอีกฝ่ายไป

เมื่อเข้ามาในเรือนเก็บฟืนแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนา จากนั้นก็ถอดเสื้อตัวนอกออก ก่อนจะเลิกผ้าห่มแล้วขึ้นไปนอนบนเตียง

เสวี่ยเจียเยว่เห็นประตูไม้เรียบง่ายปิดลงต่อหน้า ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

ไม่ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะให้อภัยหรือไม่ ถึงอย่างไรเธอก็ได้พูดคำขอโทษออกไปแล้ว อีกอย่าง… ชีวิตหลังจากนี้ยังอีกยาวนาน เธอจะพยายามทำให้เขาปล่อยวางอคติให้ได้

เสวี่ยเจียเยว่ไม่ได้หวังว่าเขาจะปฏิบัติกับเธอเหมือนน้องสาว เพียงต้องการให้ความเกลียดชังภายในใจของเขาลดน้อยลงบ้าง ต่อไปเมื่อเขามีอำนาจแล้ว ขอเพียงอย่าเอาเธอไปตัดแขนตัดขาก็พอ

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เดินกลับเรือนได้อย่างสบายใจ เธอนอนอยู่บนเตียงไม่นานก็ผล็อยหลับไป

เมื่อฝนสุดท้ายหยาดลงใส่ไร่นา เวลาผ่านไปข้าวสาลีก็เริ่มสุกแก่จนพร้อมเก็บเกี่ยว

เดือนสามเดือนสี่คือฤดูแห่งการดำนาหว่านข้าว ปลูกแตง ปลูกถั่ว เมื่อถึงเดือนห้าก็ต้องเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิต

เย็นวันนี้ซุนซิ่งฮวากำลังเกรี้ยวกราดอยู่ที่โต๊ะอาหาร

วันเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เสวี่ยเจียเยว่ข้ามภพมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว แต่เธอก็มักจะเห็นซุนซิ่งฮวาอารมณ์เสียเช่นนี้เป็นประจำ ในตอนนี้เธอจึงชินชาจนไม่ใส่ใจ และยกถ้วยข้าวของตนขึ้นมากินต่อ

ตอนนี้เข้าเดือนห้าแล้ว อากาศร้อนขึ้น อาหารที่เสวี่ยเจียเยว่ทำในวันนี้จึงได้แก่ ข้าวต้มใส่ถั่วเขียว ยำแตงกวา และหมั่นโถวที่ทำจากแป้งข้าวโพดสามลูก

คนที่นั่งกินอาหารในตอนนี้มีเพียงเสวี่ยหย่งฝู ซุนซิ่งฮวา และเสวี่ยเจียเยว่ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งออกไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาตั้งแต่เช้า

หมู่บ้านชนบทบนภูเขาลูกใหญ่ใช่ว่าจะมีสำนักศึกษาทุกหมู่บ้าน กว่าจะเดินทางไปถึงต้องข้ามภูเขาอีกลูก ดังนั้นทุกวันเสวี่ยหยวนจิ้งจึงต้องออกจากเรือนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง เมื่อเรียนเสร็จแล้วต้องรีบกลับ โดยระหว่างเดินทางฟ้าก็มืดลงแล้ว เมื่อกล่าวถึงการเล่าเรียนของเขาก็ดูลำบากไม่น้อย ทว่าหลายวันมานี้ที่เสวี่ยเจียเยว่จับตาดู ก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดคำว่าเหนื่อยออกมาสักครั้ง อีกทั้งเมื่อหยิบตำราขึ้นมาอ่าน สีหน้าของเขายังดูมีความสุขและพอใจเป็นอย่างมาก… ดูอ่อนโยนกว่าเวลาปกติ

ดูเหมือนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะชอบการอ่านตำรา ในอนาคตเขาจะได้เป็นขุนนางในราชสำนักตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นความรู้ก็ย่อมมากอย่างแน่นอน

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ ก็ได้ยินเสียงแหลมของซุนซิ่งฮวาดังขึ้น

“ตอนนี้เข้าเดือนห้าแล้ว ผักกาดก้านขาวเพิ่งเก็บเกี่ยวเสร็จ กองอยู่บนลานยังไม่ได้ตากและตีเมล็ด ข้าวสาลีในนาก็สุกแก่เต็มที่แล้ว หากตอนนี้ฝนตกลงมา ผักกาดก้านขาวกับข้าวสาลีต้องเน่าแน่นอน เจ้ายังให้เขาไปเล่าเรียนที่สำนักศึกษาอีก เจ้ายังมีความหวังว่าภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นขุนนางหรือ ข้าว่าต้นหญ้าต้นนี้คงไม่มีทางเติบโตขึ้นมาบนหลุมฝังศพตระกูลเสวี่ยของพวกเจ้าหรอก ให้เขาเลิกเรียนแล้วกลับมาช่วยทำงานยังประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้บ้าง ไปเรียนที่สำนักศึกษาไม่ต้องใช้เงินหรืออย่างไรกัน”

“เมื่อถึงฤดูกาลเพาะปลูก สำนักศึกษาของพวกเขาก็จะมีวันหยุดให้ เมื่อวานข้าถามแล้ว วันนี้เรียน แล้วก็หยุดห้าวัน หยุดห้าวันยังไม่พอมาตากกับตีเมล็ดผักและเก็บเกี่ยวข้าวสาลีอีกหรือ”

เสวี่ยหย่งฝูโบกมือให้เสวี่ยเจียเยว่รินสุราให้เขาหนึ่งจอกก่อนจะยกขึ้นดื่ม จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างเนิบนาบ

“ที่จิ้งเอ๋อร์ต้องเล่าเรียนก็เพราะว่าตอนที่แม่เขายังอยู่นางขอร้องข้าไว้ อีกอย่าง… การที่เขาไปสำนักศึกษาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เขาเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่อ่านตำราได้ และภายในสองปีจะต้องมีคนมาขอให้เขาช่วยเขียนบัญชีในงานศพกับคำอวยพรในงานแต่ง เมื่อถึงวันตรุษจีนคนทั้งหมู่บ้านต้องมาขอให้เขาเขียนคำอวยพรติดหน้าประตูอย่างแน่นอน แม้แต่จดหมายธรรมดาก็ต้องมาขอความช่วยเหลือจากเขา อย่างนั้นก็ต้องได้ค่าหมึกค่ากระดาษมาบ้าง ดังนั้นข้าจึงยืนยันว่าจะให้เขาเรียนต่อ”

“เหรียญทองแดงเหรียญสองเหรียญ ค่าหมึกเล็กน้อยแค่นั้นมันจะไปพอใช้อะไร” ซุนซิ่งฮวากล่าวอย่างดูถูก “บางทีข้าว่าแม้แต่เหรียญทองแดงสักเหรียญก็คงไม่มี ให้ไข่ไก่ฟองหนึ่งก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังไม่พอซื้อหมึกเลย”

เสวี่ยหย่งฝูอารมณ์ร้อนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อถูกภรรยาโต้กลับมาเช่นนั้น เส้นโลหิตก็ปูดโปนบนลำคอเขา ก่อนจะเชิดหน้ากล่าว

“แล้วจะอย่างไรเล่า แม้จะไม่มีเงินสักอีแปะเดียวก็ไม่เป็นไร ทั้งหมู่บ้านนี้มีเพียงลูกชายของข้าที่ได้เรียนในสำนักศึกษา เพราะลูกคนอื่นต้องออกมาทำไร่ทำนาแล้ว ไปที่ไหนข้าก็มีหน้ามีตาไปด้วย ข้ายังพูดคำเดิม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะยังได้เล่าเรียนต่อไป ใครจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์”

เมื่อซุนซิ่งฮวาได้ยินดังนั้น มือทั้งสองข้างก็พลันสั่นเทาขึ้นมาทันที สีหน้าของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นทะมึนลง จากนั้นก็มีเสียง ‘เผียะ!’ ดังขึ้น พร้อมกับที่นางฟาดตะเกียบในมือทั้งสองข้างลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง

จากนั้นนางก็ลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิบนพื้น มือหนึ่งตบเข่า อีกมือชี้หน้าด่าเสวี่ยหย่งฝูเป็นการใหญ่

“ดี! ดีมาก ในเมื่อใครพูดก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าฟังแต่เมียที่ตายไปแล้วของเจ้า เช่นนั้นเจ้าจะมาขอข้าแต่งงานทำไมตั้งแต่แรก พอเจ้าแต่งข้าเข้าเรือนก็ต้องการให้ข้าเป็นวัวตัวหนึ่งของตระกูลเสวี่ยเท่านั้น แม้แต่จะพูดก็ยังไม่ให้พูดสักคำอย่างนั้นหรือ เจ้าคนแซ่เสวี่ย วันนี้ข้าก็จะยังบอกเจ้าคำเดิม หากตั้งแต่วันพรุ่งนี้เจ้ายังให้ลูกชายไปเรียนที่สำนักศึกษา ข้าจะกลับบ้านเกิดของข้า ข้าจะแห้งเหี่ยวจนไม่มีผู้ใดต้องการเลยหรือ แต่งงานก็เหมือนไม่ได้แต่ง เหตุใดต้องทนเป็นวัวเป็นม้าเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดทุกวัน แม้แต่เรื่องในเรือนข้าก็ยังไม่มีอำนาจตัดสินใจ”

นางพูดจบก็ลุกพรวดพราดขึ้นมา ก่อนพุ่งตัวเข้าไปในห้อง เก็บข้าวของใส่ถุงผ้าเตรียมจะกลับบ้านเกิดของตน