บทที่ 7 เรื่องการศึกษาเล่าเรียน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เจ็ด

เรื่องการศึกษาเล่าเรียน

เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่นั่งมองซุนซิ่งฮวากับเสวี่ยหย่งฝูทะเลาะกันด้วยสีหน้าเฉยชา แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง

เมื่อก่อนก็ใช่ว่าเธอจะไม่เคยเห็นพวกเขาทะเลาะกัน แต่การที่ซุนซิ่งฮวาเอะอะโวยวายเสียงดังอย่างเมื่อครู่นั้น เธอเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก หลังจากนางตีโพยตีพาย ขั้นตอนต่อไปก็คงจะเป็นการแขวนคอฆ่าตัวตายกระมัง

ส่วนเสวี่ยหย่งฝูเมื่อเห็นซุนซิ่งฮวาเข้าไปเก็บข้าวของเตรียมจะกลับบ้านเกิด เขาก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที จึงรีบโผไปโอบกอดนางจากด้านหลังพลางเอ่ยขึ้น

“มีอะไรพูดจากันดีๆ ก็ได้ เรื่องเล็กน้อยเจ้าก็เอาแต่จะกลับบ้านอย่างนั้นหรือ”

แต่กลับถูกซุนซิ่งฮวาใช้รองเท้าที่นางเพิ่งหยิบออกมาจากตู้ ทุบไปที่แผ่นหลังของเขาอย่างรุนแรงหลายที พร้อมกับด่าเสียงดัง

“ในใจของเจ้ามิใช่มีเพียงเมียเก่าที่ตายไปแล้วผู้นั้นหรอกหรือ ไม่รู้ว่านางไปอยู่โลกไหนแล้ว เจ้าก็ยังเอาแต่เชื่อฟังนาง คำพูดของนางมันคือราชโองการของฮ่องเต้หรืออย่างไร ส่วนคำพูดของข้าก็แค่ผายลมครั้งหนึ่งอย่างนั้นใช่หรือไม่ ข้าคงใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับเจ้าต่อไปไม่ได้แล้ว ข้ากับเจ้าขาดกันเสียตั้งแต่วันนี้เถอะ”

เสวี่ยหย่งฝูไหนเลยจะยังมีความหยิ่งยโสเหมือนก่อนหน้านี้ เขารีบร้อนเอ่ยขอโทษด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“จะมีเรื่องเช่นนี้ที่ไหนกัน ตลอดทั้งวันหากเจ้าไม่พอใจที่ข้าไร้มารยาท ก็ต้องไม่พอใจที่เรือนสกปรก ข้าย่อมต้องเชื่อฟังคำเจ้าที่สุดอยู่แล้ว เจ้าห้ามไปไหนเด็ดขาด หากเจ้าไปแล้ว ข้าจะไปหาเมียดีๆ เช่นเจ้าจากไหนได้อีกเล่า”

คำหวานไม่กี่ประโยคทำให้ซุนซิ่งฮวาใจเย็นลงได้ แต่สีหน้าของนางก็ยังบึ้งตึงเช่นเดิม “แล้วเรื่องของลูกชายเจ้า ยังจะให้เขาเรียนอยู่หรือไม่”

“ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่กับเจ้าไม่ใช่หรือ” ใบหน้าของเสวี่ยหย่งฝูประดับไปด้วยรอยยิ้มประจบประแจง ก่อนจะหัวเราะคิกคักพลางหอมแก้มซุนซิ่งฮวา “คืนก่อนข้ายังทำได้ไม่ดีพอ ตอนนี้ให้ข้าลองอีกครั้งได้หรือไม่ ขอแค่เจ้าให้ข้าอีกครั้ง ข้ารับรองเลยว่าเรื่องในเรือนต่อจากนี้จะให้เจ้าเป็นคนตัดสินใจ ดีหรือไม่”

ซุนซิ่งฮวายิ้มพลางอุทานออกมา ทั้งสองกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่เมื่อฝ่ายภรรยาหันไปเห็นประตูห้องที่ยังเปิดอยู่ ก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบา

“ประตูห้องเจ้าก็ไม่ปิดหรือ เอ้อร์ยายังอยู่ข้างนอก ระวังนางจะได้ยินเข้า ตอนนี้พอก่อน ดึกๆ ค่อยว่ากัน”

เสวี่ยหย่งฝูยามนี้ร่างกายกำลังเร่าร้อนดุจไฟ และปรารถนาซุนซิ่งฮวายิ่งนัก มีหรือจะทนรอจนถึงคืนนี้ไหว

เขารีบเอ่ยขึ้น “นางก็เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบ จะเข้าใจเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ถึงได้ยินข้าก็ไม่สนใจ เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปพูดกับนางเสียหน่อย”

เขารีบสาวเท้าไปจับประตูเอาไว้ และยื่นหน้าออกไปตะโกน “เอ้อร์ยา ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับแม่เจ้า เจ้าออกไปเล่นข้างนอกสักประเดี๋ยว พอฟ้ามืดเจ้าค่อยกลับมา”

เมื่อเขากล่าวจบ เสียงปิดประตูก็ดังขึ้น จากนั้นเป็นเสียงหอบกระเส่าหยอกเย้าที่ไม่เหมาะจะให้เด็กได้ยิน พร้อมกับเสียงเอี๊ยดอ๊าดแผ่วเบาของขาเตียงแกะสลักหลังนั้น

เสวี่ยเจียเยว่ประสานมือเข้าด้วยกัน ก่อนจะเดินออกไปนอกเรือนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ช่วงที่ผ่านมาเธอได้รู้นิสัยของพ่อเลี้ยงจากการพูดคุยของชาวบ้านเวลาไม่มีอะไรทำ เสวี่ยหย่งฝูเป็นคนเอ้อระเหยไปวันๆ ชอบดื่มสุราเป็นชีวิตจิตใจ พอดื่มจนเมาก็ต่อยตีกับใครเขาไปทั่ว ทั้งยังเป็นคนที่ขาดสตรีไม่ได้อีกด้วย

ภรรยาคนแรกของเขาคือมารดาเสวี่ยหยวนจิ้ง เดิมทีนางเป็นบุตรสาวของบัณฑิตผู้หนึ่งในหมู่บ้านใกล้เคียง ทว่าครอบครัวยากจนข้นแค้นยิ่งนัก เขาอยากสอบขุนนางจนคล้อยตามคำพูดโน้มน้าวของแม่สื่อ ยอมขายบุตรสาวเพียงคนเดียวของตนให้คนของตระกูลเสวี่ยเลี้ยงดู เพื่อให้เติบโตมาเป็นลูกสะใภ้ของตระกูล ส่วนตนก็นำเงินที่ขายบุตรสาวได้ไปสอบขุนนาง จากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินข่าวคราวของเขาอีกเลย ไม่รู้ว่าเขาได้เป็นขุนนางหรือไม่ หรือตายเพราะความยากจนไปแล้ว

มารดาของเสวี่ยหยวนจิ้งนั้น โชคดีที่บิดาของนางเป็นบัณฑิต นางจึงได้เรียนรู้มาบ้าง หลังจากให้กำเนิดเสวี่ยหยวนจิ้งแล้ว เมื่อเขาอายุครบแปดขวบ นางก็ยอมประหยัดค่าเสื้อผ้าและอาหารการกินเพื่อให้เขาได้ไปเรียนที่สำนักศึกษา ทว่าร่างกายของนางกลับอ่อนแอนัก เสวี่ยหย่งฝูเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่รู้จักความเจ็บปวดของคน ดังนั้นฤดูหนาวของปีที่แล้ว นางจึงตายเพราะป่วยเป็นโรคบางอย่าง

เสวี่ยหย่งฝูเป็นคนที่อยู่ไม่ได้หากขาดสตรีเคียงหมอน เมื่อมารดาของเสวี่ยหยวนจิ้งตายไปได้ไม่กี่วัน เขาก็ให้แม่สื่อหาภรรยาที่เหมาะสมมาให้ เพราะเหตุนี้เวลาผ่านไปไม่ถึงสามเดือน เขาจึงแต่งซุนซิ่งฮวาเข้าตระกูลเสวี่ย แม้ว่านางจะพาลูกติดเข้ามาอยู่ด้วย เขาก็ไม่ถือสาอะไร อีกทั้งแต่งเข้ามาได้ไม่นาน เขาถูกซุนซิ่งฮวาทำให้ยอมจำนนต่อนางแต่โดยดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ภายในเรือน ก็เป็นนางตัดสินใจ เมื่อครู่นี้นางขู่เขาด้วยการบอกว่าจะกลับบ้านเกิด เขาก็รีบเห็นด้วยกับการห้ามเสวี่ยหยวนจิ้งเรียนต่ออย่างว่าง่าย

หากเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เรียนต่อ แล้วในอนาคตเขาจะสอบผ่านระดับต้นและไต่เต้าเป็นขุนนางได้อย่างไร ถ้าเขาไม่ได้ร่ำรวย เช่นนั้นในภายภาคหน้าเขาก็ไม่มีทางลงโทษเธอด้วยการตัดแขนตัดขาใช่หรือไม่

เสวี่ยเจียเยว่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเรือน พลางมองไปยังต้นไม้เก่าแก่ขนาดหนึ่งคนโอบต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก และครุ่นคิดเรื่องนี้ไปด้วย

เวลากินข้าวเย็นในชนบทนั้นเร็วนัก จึงสามารถทำเรื่องต่างๆ ได้เสร็จก่อนฟ้ามืด หลังจากฟ้ามืดทุกคนต่างขึ้นเตียงนอน และการจุดตะเกียงถือเป็นเรื่องสิ้นเปลือง หากตอนกลางคืนไม่มีเรื่องสำคัญอันใด ก็ไม่มีใครออกจากเรือนของตน เพื่อเป็นการประหยัดนั่นเอง

แม้ตอนนี้ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ แต่เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอก กลับเอาหินก้อนหนึ่งมาวางไว้ใกล้ธรณีประตูลานเรือนที่เปิดไว้ ก่อนจะนั่งลง

เหตุผลประการแรกคือ… ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวเย็น เธอจึงไม่อยากแวะไปพูดคุยที่บ้านของผู้อื่น ประการที่สอง… หมู่บ้านแห่งนี้ล้วนล้อมรอบด้วยภูเขา ได้ยินคนเล่ากันว่าในหุบเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยสัตว์ดุร้าย หากเธอออกไปคนเดียวก็คงไม่ปลอดภัยนัก การนั่งรออยู่ตรงประตูลานเรือนจึงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับตอนนี้ เสวี่ยเจียเยว่คิดถึงข้อมูลที่เธอรวบรวมมาได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนหาทางออกในอนาคตได้พอสมควร

ระหว่างที่เธอครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงโดยไม่รู้ตัว ในที่สุดแสงอาทิตย์ก็ลาลับขอบฟ้า

เสวี่ยเจียเยว่ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปหน้าประตูเรือน ยื่นหน้าเข้าไปมองก็เห็นภายในเรือนยังมืดมิด เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวายังไม่ออกมา ดูเหมือนว่าจะยังทำภารกิจไม่เสร็จ

ดูไม่ออกเลยว่ากำลังวังชาของเสวี่ยหย่งฝูจะมากจนทำได้ยาวนานขนาดนี้

เสวี่ยเจียเยว่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะกลับมานั่งลงบนก้อนหินอีกครั้ง พลางครุ่นคิดเรื่องทางออกในอนาคตต่อไป

ยามนี้เริ่มปรากฏดวงดาวพร่างพราวอยู่บนท้องนภา

ทันใดนั้นเธอก็เห็นว่าเบื้องหน้าของตนมีคนผู้หนึ่งเดินมาด้วยฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็วนัก เมื่อคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้พอสมควร เธอจึงมองเห็นชัดว่าเขาคือเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาเพิ่งกลับมาจากสำนักศึกษา

เสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นจากก้อนหิน พลางเหลือบมองเสวี่ยหยวนจิ้งไปด้วย

นัยน์เป็นประกายราวแสงดาวระยิบระยับคู่นั้น สะท้อนเงาร่างสูงโปร่งและซูบผอมของเขา ลมยามค่ำในฤดูร้อนพัดชายเสื้อปลิวไสว ทำให้เด็กหนุ่มดูสง่างามไร้สิ่งใดเปรียบ

เสวี่ยเจียเยว่หวนนึกถึงนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอเคยอ่านในภพก่อน ชายผู้นั้นมาจากดาวดวงหนึ่งในจักรวาล ถ้อยคำนั้นเหมาะที่นำจะมาใช้กับเสวี่ยหยวนจิ้งในยามนี้เป็นอย่างยิ่ง

เสวี่ยหยวนจิ้งเห็นว่าใกล้ๆ ธรณีประตูลานเรือนของตนมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ แต่ในยามนี้มืดแล้ว เขาจึงเห็นไม่ชัดเจนว่าคนผู้นั้นคือใคร เมื่อเดินเข้าไปใกล้ เขาก็รู้ว่าเป็นเสวี่ยเจียเยว่

อีกฝ่ายกำลังแหงนหน้ามองเขาตาไม่กะพริบ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในลานเรือนด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย

จังหวะนั้นเสียงเนิบนาบของเสวี่ยเจียเยว่ก็ดังขึ้น “นี่ ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าเพิ่งเข้าไปตอนนี้จะดีกว่า”

แน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทางฟัง เขายังคงเดินต่อโดยไม่พูดไม่จา ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงเล็ดลอดออกมาจากตัวเรือน

แม้เด็กหนุ่มจะผ่านเรื่องทางโลกมาไม่มากนัก แต่บางเรื่องก็พอรู้มาบ้าง เมื่อได้ยินเสียงนั้นใบหน้าของเขาพลันแดงเรื่อ ก่อนจะหมุนตัวกลับอย่างรวดเร็ว

เมื่อเดินมาถึงประตูลานเรือน เด็กหนุ่มเห็นเสวี่ยเจียเยว่ยังคงนั่งอยู่บนก้อนหินเช่นเดิม และมองเขาด้วยแววตาได้ใจพลางอมยิ้ม

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ว่าน้องสาวอย่างเอ้อร์ยานั้นสกปรกและชั่วร้าย คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังนั่งฟังเสียงที่ไม่น่าฟังซึ่งดังมาถึงตรงนี้ เพราะยิ่งรอบกายเงียบสงัด เสียงนั้นก็ไม่ได้ดังอยู่ภายในตัวเรือนเท่านั้น ไม่รู้จักละอายเลยหรือ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก คนอย่างนั้นมีหรือจะละอายต่อสิ่งใด

จากนั้นเขาก็เห็นว่ามีบางอย่างยัดอยู่ในหูของเสวี่ยเจียเยว่ เมื่อเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นผ้าชิ้นเล็กๆ

เสวี่ยหยวนจิ้งนิ่งอึ้ง เขามักจะรู้สึกเสมอว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตนในตอนนี้ผิดแผกจากเมื่อก่อนมาก ราวกับหลังจากเป็นไข้เมื่อเดือนก่อน เอ้อร์ยาก็ไม่เหมือนคนเดิมอีกแล้ว

ลูกติดแม่เลี้ยงของเขาไม่เพียงรักความสะอาดและพูดน้อยลงเท่านั้น ยังไม่สร้างปัญหาให้เขาแม้แต่ครั้งเดียว บางครั้งก็เป็นฝ่ายทำดีกับเขาด้วย

เสวี่ยเจียเยว่ดูเหมือนคิดบางอย่างออก เธอล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ แล้วหยิบหมั่นโถวที่ทำจากข้าวโพดซึ่งเหลือครึ่งลูกออกมาส่งให้เสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ย “ให้เจ้า”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีทีท่าว่าจะยื่นมือรับไป อีกทั้งยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชาราวกับแสงจันทราในฤดูใบไม้ร่วงก็มิปาน

เสวี่ยเจียเยว่คุ้นชินกับท่าทางเช่นนั้นเป็นอย่างดี

ไม่กี่วันก่อนเธอขโมยไข่ไก่สองฟองมาซ่อนเอาไว้อย่างยากลำบากขณะที่ซุนซิ่งฮวาไม่ทันสังเกต จากนั้นก็แอบต้มกินตอนที่นางไม่อยู่ และตั้งใจเหลือเอาไว้ให้เสวี่ยหยวนจิ้งหนึ่งฟอง

เธออยากเป็นฝ่ายแสดงความจริงใจต่อเด็กหนุ่ม เพราะสถานภาพของเธอในภพที่จากมาก็คล้ายกับเขาในตอนนี้ ด้วยความเข้าใจจึงเมตตา เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งทนต่อความหิวโหยทุกวัน ก็รู้สึกเวทนาเขายิ่งนัก

แต่น่าเสียดาย เสวี่ยหยวนจิ้งไม่รับน้ำใจจากเธอ ตอนที่เสวี่ยเจียเยว่มอบไข่ต้มฟองนั้นให้เขา อีกฝ่ายไม่เพียงใช้สายตาเย็นชามองเธอเท่านั้น ยังสาวเท้าเดินหนีไปด้วย

เสวี่ยเจียเยว่โมโหเป็นอย่างมาก เธอรีบปอกเปลือกไข่ฟองนั้น แล้วกลืนกินมันลงไปภายในสองคำ

ต่อมาเธอก็นำของกินที่ขโมยมาซ่อนไว้ไปให้เสวี่ยหยวนจิ้งหลายครั้งหลายครา ทว่าเขาไม่รับเอาไว้แม้แต่ครั้งเดียว เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่าเขาไม่ยอมรับความหวังดีจากเธอ

กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่รู้สึกเสียใจแต่อย่างใด

แม้เพื่อนร่วมห้องจะเขียนบทให้เอ้อร์ยาถูกเสวี่ยหยวนจิ้งสั่งลงโทษด้วยการตัดแขนตัดขาหลังจากเขามีอำนาจแล้ว แต่เสวี่ยเจียเยว่ยังเชื่อในทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก[1]

เรื่องของอนาคตล้วนคาดการณ์ล่วงหน้าไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ อย่างสม่ำเสมอสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ในภายภาคหน้า เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่ทำตัวเหมือนเอ้อร์ยาในอดีต ที่เอาแต่สนับสนุนให้ซุนซิ่งฮวาทำร้ายเด็กหนุ่มทุกวัน บทบาทนั้นควรเปลี่ยนแปลงไป ทว่าปัญหาคือ… เสวี่ยหย่งฝูรับปากซุนซิ่งฮวาว่าจะไม่ให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปสำนักศึกษาอีกแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ภายภาคหน้าเขาจะสอบขุนนางได้อย่างไร ถ้าไม่สอบขุนนางแล้วเขาจะมีอำนาจได้หรือ

เช่นนั้นก็หมายความว่า เรื่องราวทั้งหมดจะต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งไม่รับหมั่นโถวที่เธอส่งให้ เสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความ เธอชักมือกลับมา ก่อนจะกัดหมั่นโถวไปคำหนึ่ง ข้าวเย็นที่กินก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะทำให้อิ่มท้อง เช่นนั้นเธอจะกินหมั่นโถวครึ่งลูกที่แบ่งเอาไว้ให้เขาเอง

เธอกินหมั่นโถวพลางพูดงึมงำ “นี่ ข้าจะบอกเจ้าเรื่องหนึ่ง การเรียนของเจ้า ข้าคิดว่ามันคงเป็นไปไม่ได้อีกแล้วละ”

[1] ทฤษฎีผีเสื้อกระพือปีก หมายถึง การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลต่ออนาคตได้