แปด

หัวอกเดียวกัน

ช่วงเวลาที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่ทำดีต่อเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่รับความหวังดีเอาไว้ หรือต่อให้เธอสนทนากับเขากี่ครา เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่เคยสนใจ เพียงประโยคเดียวเขาก็ไม่พูดคุยกับเธอ เสวี่ยเจียเยว่นับถือเขาจริงๆ

เป็นเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นเช่นนี้ เกรงว่าการสะสางความเกลียดชังคงกลายเป็นเรื่องยากเสียแล้ว ดังนั้นเสวี่ยเจียเยว่จึงไม่คิดจะไปยุ่งวุ่นวายกับเขามากนัก แต่เมื่อคิดว่าถึงอย่างไรก็หัวอกเดียวกัน และเธอยังสนใจเรื่องของเขาอยู่ไม่น้อย จึงหวังดีเอ่ยเตือนออกมา

เธอหันไปมองเสวี่ยหยวนจิ้ง ทว่าไม่เห็นความตกใจ เจ็บปวด หรือประหลาดใจเหมือนที่คาดเอาไว้เลย สีหน้าเขายังคงราบเรียบนิ่งสงบ ราวกับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่คิดทบทวนครู่หนึ่งก็เข้าใจ

ซุนซิ่งฮวากล้าขายน้องสาวของเสวี่ยหยวนจิ้งทั้งที่เพิ่งอายุสามขวบ มีหรือนางจะยอมเสียเงินให้เขาไปเล่าเรียน การให้เขาหยุดเรียนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว และเด็กหนุ่มคงรู้มาก่อนแล้ว สีหน้าของเขาจึงเย็นชาเช่นนี้

เขากลับมาทุกวันก็ต้องกังวลว่าพรุ่งนี้จะได้ไปเรียนอีกหรือไม่ เสวี่ยหยวนจิ้งคงเป็นทุกข์ไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงชีวิตในภพก่อนของเธอ ตอนที่สอบผ่านแล้วแม่เลี้ยงไม่อยากให้เธอเรียนต่อ ในเวลานั้นเธอทั้งเสียใจและสับสน จนต้องแอบร้องไห้อยู่หลายวัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ โชคดีที่ตากับยายมารับตัวเธอกลับบ้านแล้วส่งเสียให้เรียนหนังสือต่อ ดังนั้นการศึกษาของเธอจึงเป็นไปอย่างต่อเนื่อง

ตอนนั้นเธออายุสิบสี่ปีเหมือนกัน ไม่ว่าในภายภาคหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งจะได้เป็นขุนนางใจดำอำมหิต มีอำนาจมากมายในราชสำนักหรือไม่ ตอนนี้เขาก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีที่ถูกคนกดขี่ข่มเหงเท่านั้น

สถานภาพของเขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากเธอในตอนนั้น เพราะเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงอดเห็นใจเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้

“ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียนมาห้าหกปีแล้วใช่หรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องอ่านออกแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาอีก แต่เจ้าก็อ่านเขียนอยู่ที่เรือนได้ ต่อไปหากเจ้าอยากจะสอบขุนนาง ก็สามารถไปสอบได้เช่นกัน”

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องสอบขุนนางผ่านอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าท้อแท้เด็ดขาด”

ในเมื่อเป็นพระเอกของเรื่องนี้ เช่นนั้นเขาย่อมมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ อีกอย่าง… ตามที่เสวี่ยเจียเยว่เฝ้าจับตามองในหลายวันที่ผ่านมานี้ เสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนฉลาด เธอคิดว่าในบรรดานิยายทั้งหมดที่เคยอ่านมา เขาเรียนเก่งที่สุดแล้ว

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ และมองเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง

ยามนี้ดวงดาวส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า ใบหน้าแม่นางน้อยดูสะอาดสะอ้านมากเมื่ออยู่ภายใต้แสงดาวอันอ่อนโยน ราวกับเครื่องลายครามสีขาวบริสุทธิ์ก็มิปาน อีกทั้งรอยยิ้มที่ทอประกายอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย ก็ดูเหมือนว่าจะห่วงใยเขาจากใจจริง

แต่เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายห่วงใยเขาอย่างแท้จริงหรอก เขายังจำวันที่น้องสาวถูกขายได้ คนที่อยู่ตรงหน้านี้ยืนเท้าสะเอวพร้อมกับหัวเราะเยาะให้แก่ความโชคร้ายของเขา

“แม่ข้าบอกว่านางไม่อยากเลี้ยงลูกคนอื่นโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้เอาน้องสาวของเจ้าไปขายแล้วจะอย่างไร เจ้าคิดว่าเจ้าจะอยู่ในเรือนนี้ได้อีกนานแค่ไหน ไม่ช้าก็เร็วแม่ข้าต้องขายเจ้าออกไปเช่นกัน ต่อไปเรือนหลังนี้จะกลายเป็นของข้ากับแม่ข้า ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าอีกต่อไป”

ซุนซิ่งฮวายึดครองตำแหน่งของมารดาเขา ส่วนคนลูกยึดห้องที่เคยเป็นของเขาไป แม้ว่าตอนนี้คนตรงหน้าไม่ได้หัวเราะเยาะให้แก่ความโชคร้ายของเขา แต่กำลังล้อเล่นกับเขาอยู่ใช่หรือไม่

สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาเดินไปยืนให้ห่างจากอีกฝ่ายและหันหลังให้โดยไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะทอดตามองไปยังหุบเขาที่อยู่ในความมืดมิด

เขาไม่อยากเห็นหน้าเอ้อร์ยาเป็นที่สุด เดิมทีเคยคิดอยากไล่ซุนซิ่งฮวากับลูกสาวของนางออกจากเรือนนี้ เพราะที่นี่คือเรือนของเขา ทว่าตอนนี้เมื่อมารดาเขาตายแล้ว น้องสาวก็ถูกขายออกไป ส่วนบิดาเชื่อฟังแต่สตรีผู้นั้นทุกอย่าง เขาก็รู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่เรือนของตนอีกต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่เห็นมือทั้งสองข้างของเสวี่ยหยวนจิ้งกำแน่นอย่างฉับพลัน เส้นเลือดดำปูดโปนขึ้นมาบนหลังมือที่ขาวผ่อง เธอก็รู้ทันทีว่าในใจเขาขณะนี้เต็มไปด้วยความโกรธแค้น และเธอคงเป็นส่วนหนึ่งในความแค้นนั้น

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าหัวใจของเสวี่ยหยวนจิ้งถูกโอบล้อมด้วยเหล็กกล้าที่แข็งแกร่งชั้นหนึ่ง แม้เธอจะทำดีกับเขาอย่างไร ก็ไม่สามารถทำลายเหล็กกล้านั้นได้ แต่ไม่เป็นไร เสวี่ยเจียเยว่แหงนหน้ามองดวงดาวที่ส่องแสงอยู่เต็มท้องฟ้าพลางครุ่นคิดในใจ เธอก็ไม่อยากอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้นานนัก

เธอต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้ง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาก็จะหายไปจากโลกนี้ หายไปจากชีวิตของเธอ

คนหนึ่งยืน อีกคนนั่ง ทว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว ต่างคนต่างคิดเรื่องของตัวเอง มีเพียงเสียงแมลงร้องดังออกมาจากพงหญ้าฝั่งตรงข้าม

เวลาผ่านไปชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย[1] เสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งหมุนกายเดินไปทางตัวเรือน เธอมองตามไป พบว่าประตูเรือนเปิดออกแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ค่อยๆ ดึงผ้าที่ยัดอยู่ในหูทั้งสองข้างออก ลุกขึ้นจากก้อนหิน ก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนอย่างช้าๆ

เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินตามกันเข้ามาในเรือน เสวี่ยหย่งฝูก็ถามขึ้นประโยคหนึ่ง แน่นอนว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่มีทางบอกว่าตนกับเด็กหนุ่มรออยู่ด้านนอกมาตลอด แม้ว่าเสวี่ยหย่งฝูจะไม่ละอายที่ไล่เธอออกไป เพื่อที่เขาจะได้ทำเรื่องอย่างว่ากับซุนซิ่งฮวาโดยสะดวก แต่ถ้าเขารู้ว่าทั้งสองรออยู่ด้านนอก เขาอาจจะโกรธเพราะความอับอาย เดิมทีเสวี่ยเจียเยว่กับเสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันอยู่แล้ว เธอจึงบอกว่าตนเจออีกฝ่ายที่หน้าหมู่บ้าน และได้พูดคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ทั้งสองจะเดินกลับมาด้วยกัน และเพิ่งถึงประตูลานเรือนเมื่อครู่นี้

เสวี่ยหย่งฝูไม่ได้เอ่ยถามต่อ เพียงบอกให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปกินข้าวเย็น และให้เสวี่ยเจียเยว่ไปจุดตะเกียง

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับคำหนึ่ง และเดินไปหยิบตะบันไฟ แต่พอหันกลับมาก็พบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองเธอด้วยแววตาลึกล้ำสุดจะหยั่ง ทว่าเมื่อประสานสายตากัน เขารีบหันไปทางอื่นทันที ไม่คิดจะมองเธออีก

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น มุมปากของเธอพลันกระตุกเล็กน้อย

เรื่องที่เสวี่ยหยวนจิ้งเดินมาที่หน้าเรือนเมื่อครู่นี้ หากเธอมีเจตนาชั่วร้าย คงฟ้องต่อหน้าเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาไปแล้ว และเมื่อทั้งสองคนโกรธเพราะความอับอาย พวกเขาจะทำอย่างไรกับเด็กหนุ่มเล่า แต่เธอไม่เพียงไม่ฟ้องเท่านั้น ยังปกปิดเพื่อเขาอีกด้วย เช่นนั้นเขาคงตกใจกับเรื่องนี้อยู่กระมัง

ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมาก สักวันเขาจะรู้ว่าเธอไม่คิดอยากทำร้ายเขาอีกต่อไปแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่เดินไปจุดตะเกียงอย่างอารมณ์ดี ทั้งสี่คนล้อมวงกินข้าวเย็นที่ยังกินไม่เสร็จก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกินไม่อิ่ม เพราะข้าวต้มใส่ถั่วเขียวที่ซุนซิ่งฮวาตักให้เขานั้นมีแต่น้ำที่มีข้าวอยู่เพียงไม่กี่เม็ด

แต่นี่ถือว่าดีแล้ว บางวันกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะกลับมาจากสำนักศึกษาก็ค่ำแล้ว ทั้งสามคนกินข้าวเย็นจนหมดก่อน เด็กหนุ่มรู้ดีว่าซุนซิ่งฮวาไม่มีทางเหลือข้าวให้เขาอย่างแน่นอน เขาจึงได้แต่นอนท้องร้องด้วยความหิวโหยทั้งคืน

เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ซุนซิ่งฮวาก็ส่งสายตาให้เสวี่ยหย่งฝู ซึ่งฝ่ายสามีเข้าใจทันทีจึงเอ่ยกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

“เจ้าเองก็รู้ว่าตอนแม่ของเจ้ายังมีชีวิตอยู่ นางสุขภาพไม่ดีนัก จึงต้องใช้เงินในการรักษาตัวนางไม่น้อย ในเรือนเดิมทีก็ไม่ได้มีเงินมาก ตอนนี้การเก็บเกี่ยวได้ผลไม่ดีเท่าไร การที่จะให้คนในเรือนได้กินอิ่มถือว่าเป็นเรื่องยากแล้ว ไหนเลยจะมีเงินส่งเจ้าไปเล่าเรียน ข้าเลยปรึกษากับซิ่งฮวาและตกลงกันว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าไม่ต้องไปสำนักศึกษาอีกแล้ว ให้มาช่วยกันทำงานในไร่นาก่อน พอผ่านช่วงนี้ไป ข้าจะไหว้วานคนส่งเจ้าไปฝึกทำงานที่ร้านค้าในเมือง ต่อไปเจ้าจะได้มีวิชาติดตัว”

ซุนซิ่งฮวาที่อยู่ข้างๆ ช่วยพูดอีกแรง “ไม่ใช่ว่าข้ากับพ่อของเจ้าอยากจะถ่วงอนาคตของเจ้าหรอกนะ แต่ในเรือนนี้มีสี่คน สี่ปากต้องกินข้าว มีวันไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เงิน มีเพียงลูกคนมีเงินถึงจะเรียนได้ แต่พวกเราเป็นแค่ครอบครัวที่ยากจน ไม่ต้องฝันอยากจะเป็นขุนนางหรอก ไปฝึกทำงานในร้านค้าจนชำนาญ ต่อไปในอนาคตค่อยแต่งภรรยาสักคน มีครอบครัวที่สมบูรณ์ ดีกว่าไม่มีอะไรเลยใช่หรือไม่ หากแม่ของเจ้าที่ล่วงลับไปรู้เข้า นางจะต้องดีใจกับเจ้าอย่างแน่นอน”

ซุนซิ่งฮวาเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมามองนาง

นางเห็นดวงตาสีดำสดใสคู่นั้นได้อย่างชัดเจน แต่ในยามนี้แม้จะอยู่ภายใต้แสงไฟจากตะเกียง กลับรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับสัมผัสก้อนน้ำแข็งในช่วงที่หนาวที่สุดของวสันตฤดู

ซุนซิ่งฮวาอดรู้สึกใจเต้นแรงไม่ได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้หวาดกลัวและไม่กล้ามองเสวี่ยหยวนจิ้งอีก นางรีบเบือนหน้าหนีไปมองกระด้งใบหนึ่งที่แขวนอยู่บนผนัง เมื่อหันกลับมาอีกที ก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งก้มหน้าลงพลางกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา

“ที่ท่านพ่อพูดมาข้าล้วนเข้าใจดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ไปเรียนอีก”

เสวี่ยหย่งฝูเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งไม่เพียงไม่เถียงเขากับซุนซิ่งฮวา ยังเข้าใจง่ายดายเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนแข็งกระด้างเพียงใด ยามนี้กลับอดละอายใจต่อลูกชายไม่ได้

เขาพูดขึ้นมาอีก “ก่อนที่แม่ของเจ้าจะจากไป นางได้กำชับให้ข้าดูแลเจ้ากับน้องสาวให้ดี น้องสาวของเจ้า… เฮ้อ ไม่พูดถึงนางดีกว่า แต่เจ้าวางใจเถอะ ข้าจะต้องไหว้วานคนหาร้านค้าให้เจ้าไปฝึกทำงานให้ได้ เพื่อให้แม่ของเจ้าสบายใจ”

“เช่นนั้นข้าก็ขอขอบคุณท่านพ่อล่วงหน้า” เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวด้วยท่าทางนอบน้อม

เสวี่ยเจียเยว่ยืนมองอยู่ข้างๆ พลางคิดว่า เสวี่ยหยวนจิ้งผู้นี้ไม่เพียงมีสติปัญญาสูงเท่านั้น ความฉลาดทางอารมณ์ยังสูงมากอีกด้วย หากคนทั่วไปได้เจอกับเรื่องเช่นนี้จะต้องโทษฟ้าโทษดินอย่างแน่นอน เหตุใดเขาไม่หาเหตุผลดีๆ มาอธิบายให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเปลี่ยนใจ ถ้าไม่สำเร็จก็แค่ทะเลาะกันครั้งใหญ่เท่านั้น แต่กลับไม่มีคำพูดที่แสดงถึงความโกรธเคืองใดๆ ออกมาจากปากเขาแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งยังโอนอ่อนผ่อนตามคำพูดของพวกเขาทันที ในใจของเสวี่ยหย่งฝูยามนี้คงละอายต่อเขาไม่น้อยแล้ว ในเวลาสั้นๆ นี้เธอคงต้องชดเชยด้วยการปฏิบัติต่อเขาให้ดีสักหน่อยแล้วกระมัง

การรู้จักวางตัวในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดต้องมีคนที่มากความสามารถไร้ผู้ใดเปรียบ คอยควบคุมหลี่ว์ไทเฮาให้อยู่ใต้อาณัติ ดูเหมือนในภายภาคหน้าเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องเป็นบุรุษที่มีความรู้ความสามารถมากอย่างแน่นอน แต่ถ้าวันใดที่เขามีอำนาจแล้ว ตามที่เธอได้ล่วงรู้ถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของเขา เช่นนั้นคนที่เคยข่มเหงเขาในช่วงชีวิตที่ผ่านมาจะมีสภาพเช่นไรเล่า…

เสวี่ยเจียเยว่อดรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมาไม่ได้

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงด่าของซุนซิ่งฮวา “เจ้าจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกนานหรือไม่! รู้จักกินข้าว แต่ไม่รู้จักทำงาน ยังไม่รีบไปล้างชามอีก หรือจะให้ข้าไปล้างเอง!”

เมื่อด่าเสร็จนางก็พูดกับเสวี่ยหย่งฝู “เจ้าจะทำท่าทางละอายใจไปเพื่ออะไร ที่พวกเราทำเช่นนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับเขาแล้ว ให้เขาเอาแต่ท่องตำรา แต่ไม่มีฝีมือด้านอื่นเลย หากในภายภาคหน้าเขาสอบขุนนางไม่ผ่าน ฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ได้ เจ้าจะเลี้ยงเขาไปได้ตลอดชีวิตหรือ”

จากนั้นนางลากเสวี่ยหย่งฝูเข้าไปในห้อง เมื่อปิดประตูเรียบร้อยแล้ว นางก็ด่าเขาเป็นการใหญ่

เสวี่ยเจียเยว่มองตามพวกเขา ก่อนจะหันกลับมามองถ้วยชามและตะเกียบที่กระจัดกระจายอยู่บนโต๊ะ พลันขมวดคิ้วฉับและถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็เก็บของเหล่านั้นเดินเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมล้าง

เจ้าของร่างนี้มีอายุแปดขวบ ส่วนสูงเลยแท่นเตาเพียงเล็กน้อย ทำให้การล้างถ้วยชามลำบากอยู่บ้าง แต่เรื่องนี้มิใช่ปัญหาที่แก้ยากอันใด

เสวี่ยเจียเยว่นำตะเกียงมาวางไว้บนแท่นเตา ก่อนจะยกเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กที่อยู่ในห้องโถงเข้ามา จากนั้นเธอก็ขึ้นไปยืนบนเก้าอี้ตัวนั้น และลงมือล้างถ้วยชามภายใต้แสงไฟริบหรี่จากตะเกียง

ตอนที่ล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอเหลือบเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งถือถังไม้ใบหนึ่งเข้ามาในครัว

ขณะเดียวกัน เมื่อเด็กหนุ่มเห็นเสวี่ยเจียเยว่กำลังล้างถ้วยชาม เขาตะลึงงันจนหยุดชะงักทันที จากนั้นก็ยืนอยู่ตรงประตูห้องครัวโดยไม่ขยับเขยื้อน

[1] ชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วย เท่ากับเวลาสิบถึงสิบหน้านาทีโดยประมาณ