บทที่ 9 ปัญหาการเรียกขาน

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

เก้า

ปัญหาการเรียกขาน

เสวี่ยเจียเยว่รู้ดีว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรักความสะอาด แม้จะเหนื่อยล้าเพียงใด ในช่วงค่ำเขาต้องล้างหน้าบ้วนปากให้สะอาดก่อนเข้านอน การที่เขาถือถังไม้เข้ามาน่าจะเป็นเพราะต้องการตักน้ำนั่นเอง

ทว่าหม้อน้ำร้อนวางอยู่ข้างผนัง และตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ ทั้งยังขวางทางเขาพอดี

เสวี่ยเจียเยว่มองเสวี่ยหยวนจิ้งครู่หนึ่ง ก่อนจะลงจากเก้าอี้แล้วหลีกไปด้านข้างอย่างเงียบๆ

ถึงแม้เธอจะพูดอะไร เสวี่ยหยวนจิ้งก็ไม่เคยตอบ เขามักจะทำสีหน้าเย็นชาซึ่งเธอเห็นแล้วอึดอัดเป็นอย่างมาก เช่นนั้นหากต่างคนต่างไม่พูดอะไรคงดีที่สุดแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ปรายตามองเขา แม้ว่าร่างนั้นจะสวมเสื้อผ้าธรรมดาๆ ทว่าท่าทางของเขากลับดูสง่างามเป็นอย่างมาก ราวกับก้อนเมฆสีขาวที่เกาะกลุ่มกันอยู่บนท้องฟ้า หุบเขาเปลี่ยวร้างภายใต้แสงจันทร์ที่ล้วนสูงเกินเอื้อม และเหมือนคุณชายที่ล้ำค่าดุจหยกเนื้อดี

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังตะลึงกับความสง่างามของเขานั้น จู่ๆ เธอก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งมองมา ดวงตาใต้แสงตะเกียงคู่นั้นมืดทะมึนและเย็นชาราวกับหยกดำที่แช่อยู่ในน้ำเย็นก็มิปาน เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ รีบหันไปมองทางอื่นทันที

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้พูดอะไร เขาตักน้ำร้อนใส่ถังครึ่งหนึ่งแล้วยกออกไปจากห้องครัวด้วยสีหน้าเย็นชาเช่นเคย

เมื่อเขาเดินผ่านห้องโถง สัญชาตญาณสั่งให้เด็กหนุ่มหันไปมองห้องครึ่งหนึ่งที่ตนเคยอาศัยมาสิบกว่าปี

ประตูห้องเปิดกว้าง แม้จะไม่มีแสงไฟ ทว่าในค่ำคืนนี้ก็พอมีแสงสว่างจากพระจันทร์ แสงที่งดงามดุจผิวน้ำสาดส่องผ่านหน้าต่างเรียบง่ายบานนั้น ทำให้มองเห็นภายในห้องที่เก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน บนโต๊ะข้างเตียงที่ทั้งเก่าและชำรุดยังมีขวดดินเผาสีเทาอ่อนใบเล็ก พร้อมกับดอกไม้ที่ปักอยู่ในขวด

เป็นดอกไม้ป่าที่พบเห็นได้มากในทุ่งนา มีสีฟ้าอ่อน สีเหลืองอ่อน และสีชมพูอ่อน ดอกไม้เหล่านี้จะเกิดในที่เดียวกัน เมื่อรวมกับใบไม้สีเขียว ก็ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกมีชีวิตชีวายิ่งนัก

เสวี่ยหยวนจิ้งยังคงรู้สึกตกตะลึงไม่น้อย

เขาจำได้ว่าเอ้อร์ยาในอดีตเป็นคนสกปรก ดังนั้นในห้องนี้จึงไม่ต่างอะไรจากคอกหมูหนึ่งคอก แต่เหตุใดในยามนี้ถึงได้เก็บกวาดจนสะอาดและเป็นระเบียบเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ในห้องยังมีขวดดอกไม้ด้วย…

เสวี่ยหยวนจิ้งคิดว่าอีกฝ่ายดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ

แต่เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีๆ ต่อเอ้อร์ยาสักนิด เขาจึงไม่คิดจะใส่ใจ

วันรุ่งขึ้นเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้ไปสำนักศึกษา แต่นำเคียวไปเกี่ยวข้าวสาลีในทุ่งนากับเสวี่ยหย่งฝู ส่วนเสวี่ยเจียเยว่ตามซุนซิ่งฮวาไปตีมัดผักกาดก้านขาวที่ลานบนเนินเขา

ก่อนหน้านี้มีการเก็บเกี่ยวต้นผักกาดก้านขาวและนำไปตากไว้ที่ลานตากข้าวบนเนินเขา ซึ่งตากไว้เป็นเวลาหลายวันแล้ว จนเปลือกนอกของเมล็ดผักกลายเป็นสีเหลืองและแห้งกรอบ ต้องใช้ไม้ตีข้าวที่ทำจากไม้ไผ่ตีวนไปอย่างต่อเนื่อง เปลือกของเมล็ดผักก็จะหลุดออกมา

การทำเช่นนี้ต้องใช้แรงมหาศาล เสวี่ยเจียเยว่ยังเด็กนัก เรี่ยวแรงไม่มากพอ จึงช่วยแค่งานที่เธอพอจะทำได้เท่านั้น

พระอาทิตย์ใกล้จะตรงศีรษะแล้ว ซุนซิ่งฮวาจึงสั่งเสวี่ยเจียเยว่ “กลับไปทำอาหาร เสร็จแล้วก็นำมาให้ข้าก่อน ค่อยนำไปให้พ่อของเจ้าทีหลัง”

จากนั้นนางส่งลูกกุญแจให้เสวี่ยเจียเยว่ พร้อมทั้งสั่งว่าต้องทำอะไรบ้าง

เสวี่ยเจียเยว่ตอบรับเพียงหนึ่งเสียงไม่เยิ่นเย้อ ก่อนจะรับลูกกุญแจแล้วหมุนกายเดินจากไป

ตอนที่เพิ่งข้ามภพมานั้น เธอกลัวว่าจะพูดอะไรผิดจึงไม่กล้าพูด ปล่อยให้เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาคิดว่าการล้มป่วยในครั้งนั้นทำให้เจ้าของร่างนี้หรือเอ้อร์ยากลายเป็นใบ้ เมื่อวันเวลาผ่านไปเธอก็ค่อยๆ คุ้นชินกับที่แห่งนี้ จึงเริ่มพูดออกมาบ้าง ทว่าเป็นคำสั้นๆ ได้ใจความ และตอนที่ไม่ควรพูดเธอก็จะไม่พูด เพราะกลัวว่าจะถูกคนจับผิดได้

เสวี่ยเจียเยว่ใช้ลูกกุญแจไขประตูลานและประตูเรือน ก่อนจะเข้าไปในห้องของซุนซิ่งฮวา นำวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการทำอาหารกลางวันออกมา

ข้าวต้มใส่ถั่วเขียวหม้อใหญ่ แผ่นแป้งปิ้งอีกหลายแผ่น ทั้งยังมียำแตงกวาหนึ่งถ้วย และถั่วฝักยาวตากแห้งหนึ่งถ้วย เมื่อทำเสร็จแล้วเธอก็นำอาหารเหล่านี้ใส่ลงไปในตะกร้าหวาย และใช้ผ้าหยาบสีขาวคลุมเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ฝุ่นเข้าไปด้านใน

จากนั้นเธอถือตะกร้าไปส่งข้าวให้แก่ซุนซิ่งฮวาที่ลานบนเนินเขา

ซุนซิ่งฮวาเปิดผ้าหยาบสีขาวออกแล้วมองดูของด้านใน ก่อนจะเอ่ยถามเสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าทำข้าวกลางวันมามากขนาดนี้ คงไม่ได้แอบกินแอบหยิบไปกระมัง”

เสวี่ยเจียเยว่ยังไม่ทันได้ตอบคำถาม จู่ๆ สตรีผู้หนึ่งที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“ซุนซิ่งฮวา เอ้อร์ยามิใช่ลูกแท้ๆ ของเจ้าหรือ เหตุใดเจ้าถึงระแวงนางราวกับขโมยอย่างนั้นเล่า”

เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าคนผู้นี้ได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจเธอออกมาแล้ว จึงไม่ได้เอ่ยตอบอะไร เพียงมองปฏิกิริยาตอบโต้ของซุนซิ่งฮวา

แน่นอนว่าในใจซุนซิ่งฮวากำลังโกรธ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น นางจะต้องทำตัวเป็นคนอ่อนโยนไร้พิษภัย อยู่ที่เรือนหยาบคายไร้เหตุผล พอออกมาก็เปลี่ยนไปประดุจหอยทากไร้กระดูก ฉะนั้นแม้ในใจนางจะเดือดดาลเพียงใด แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาทางสีหน้า

นางเพียงเอ่ยตอบไป “ป้าจ้าว ท่านไม่รู้อะไร เอ้อร์ยาลูกข้าชอบขโมยจนเคยตัว อีกทั้งยังขี้เกียจตัวเป็นขน ข้าเลยอบรมนางเสียหน่อย”

นัยของประโยคนี้คือ… ‘ข้ากำลังอบรมลูกสาวตัวเอง คนนอกอย่างเจ้าอย่าสอด’

“เป็นเช่นนั้นหรือ” ป้าจ้าวพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าช่วงนี้เอ้อร์ยาทำตัวดีขึ้นไม่น้อย ทั้งขยัน ทั้งอ่อนโยน เนื้อตัวก็ดูสะอาดสะอ้านขึ้นมาก”

ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเรียกสตรีที่กำลังพักผ่อนอยู่รอบๆ มาดูด้วย “พวกเจ้าๆ ดูหน้าตาเอ้อร์ยาสิ น่ารักใช้ได้เลยใช่หรือไม่ พอนางโตเป็นสาวแล้ว เกรงว่าคงมีคนอยากมาสู่ขอไม่หวาดไม่ไหวกระมัง ซุนซิ่งฮวา เจ้าช่างบุญหนาจริงๆ”

เมื่อมีคนชื่นชมว่าลูกสาวของตนน่ารัก ซุนซิ่งฮวาก็มักจะดีอกดีใจเสมอ ทว่าไม่นานรอยยิ้มก็หุบลง เมื่อได้ยินเสียงคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น

“ให้กำเนิดลูกสาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูแล้วจะมีประโยชน์อันใด แต่ไหนแต่ไรการเลี้ยงลูกชายจะทำให้คนในเรือนอบอุ่น หากเลี้ยงลูกสาวในเรือนจะเงียบเหงา สุดท้ายลูกสาวก็ต้องกลายเป็นคนของครอบครัวอื่นไม่ใช่หรือ ตามที่ข้าพูดมา ไม่ว่าจะให้กำเนิดลูกสาวหน้าตาน่ารักมากเพียงใด ก็สู้ให้กำเนิดลูกชายคนเดียวไม่ได้ เมื่อมีลูกชาย คำพูดของคนเป็นแม่ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น”

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าสตรีผู้นี้แต่งเข้าบ้านสามีได้ห้าปีก็ให้กำเนิดลูกสาวถึงสามคน ยามปกตินางสนทนากับใครก็มีโอกาสพูดได้ไม่เกินสองประโยค

นางกล่าวออกมาโดยไม่สนใจเหล่าสตรีสิบกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งมีสองครอบครัวที่มีเพียงลูกสาว เดิมทีคนผู้นี้ก็มักจะทำให้ผู้อื่นโกรธเคืองอยู่เสมอ เมื่อนางพูดยืดยาวเช่นนี้ คนเหล่านั้นจึงไม่พอใจนางขึ้นมาทันที

ซุนซิ่งฮวาตักข้าวต้มแล้วรินน้ำออก ก่อนจะหยิบแผ่นแป้งปิ้งออกมาสองแผ่น แบ่งยำแตงกวาและถั่วฝักยาวตากแห้งออกมาส่วนหนึ่ง จากนั้นสั่งเสวี่ยเจียเยว่พลางชี้ตะกร้า “เอาของพวกนี้ไปส่งให้พ่อของเจ้ากินซะ”

ทั้งยังบอกอีก “ข้าวต้มของพ่อเจ้าต้องเข้มข้น ส่วนพี่ชายของเจ้าผู้นั้นก็ให้เพียงน้ำข้าวต้มจางๆ พอ แผ่นแป้งปิ้งให้ได้มากสุดเพียงหนึ่งแผ่นเท่านั้น”

เสวี่ยเจียเยว่พึมพำตอบรับ ถือตะกร้าขึ้นมาแล้วหมุนตัวเดินจากไป

เดินออกมาได้ระยะหนึ่ง เธอก็หันกลับไปมอง เห็นสตรีนางหนึ่งลุกขึ้นยืน และที่น่าตื่นเต้นก็คือ สตรีผู้นั้นกำลังจะทะเลาะกับสตรีที่ถากถางว่าลูกสาวไม่มีประโยชน์ ท่าทางของนางราวกับจะพุ่งเข้าไปหาเรื่อง ทว่ากลับถูกสตรีที่อยู่ข้างๆ ดึงตัวเอาไว้เสียก่อน

เสวี่ยเจียเยว่ส่ายหน้า เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเป็นประจำในชนบท แม่สามีไม่รักหลานสาว รักเพียงหลานชายเท่านั้น ส่วนผู้เป็นมารดาก็ไม่ชอบลูกสาว ชอบเพียงลูกชายเท่านั้น เอาแต่คิดว่าลูกสาวเป็นเพียงสินค้าที่ขาดทุน เรื่องการตบตีหรือบ่นว่าจึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่พวกนางมิใช่สตรีเช่นกันหรอกหรือ สตรีดูถูกสตรีด้วยกันเอง จะให้คนอื่นพูดอย่างไรได้เล่า ช่างน่าเวทนายิ่งนัก

ลานตากข้าวบนเนินเขาอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ส่วนทุ่งนาอยู่ทิศตะวันตก มีเส้นทางหลายสายที่เชื่อมต่อกัน เสวี่ยเจียเยว่เปลี่ยนมาถือตะกร้าด้วยมืออีกข้าง แล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก

ช่วงนี้คือฤดูกาลทำไร่ทำนา ชาวบ้านต่างทำงานอยู่ในทุ่งนา เรือนแต่ละหลังคล้องโซ่ใส่กุญแจเอาไว้ ทำให้หมู่บ้านเงียบสงบเป็นพิเศษ แต่ย่อมมีคนที่เป็นข้อยกเว้น อย่างเช่นเสวี่ยเหล่าซาน

เสวี่ยเหล่าซานคือชายไม่มีงานทำคนหนึ่งในหมู่บ้าน หลายปีก่อนครอบครัวเขามีที่นาอยู่หลายไร่ เขามีนิสัยตะกละตะกลามและเกียจคร้าน โชคดีที่บิดามารดามีที่นาให้เก็บเกี่ยวข้าวและพืชอื่นๆ ฐานะของครอบครัวเขาจึงมั่นคงขึ้น ทว่าหลังจากบิดาของเขาสิ้นใจ มารดาก็ตรอมใจตายตามในเวลาไล่เลี่ยกัน เสวี่ยเหล่าซานที่ขี้เกียจจนตัวจะกลายเป็นหนอน มีหรือจะไปเหยียบที่นาของตัวเอง เขาขายที่นาทั้งหมดเพื่อนำเงินมาใช้จ่าย แม้กระทั่งของในเรือนที่พอจะขายได้ เขาก็ล้วนนำมันไปเปลี่ยนเป็นซาลาเปาไส้เนื้อมากิน สุดท้ายเขาก็มีสภาพเหมือนอย่างตอนนี้ กลายเป็นบุรุษหนุ่มยากจนที่สุดในหมู่บ้าน

เสวี่ยเหล่าซานกำลังนั่งตากแดดอยู่ที่ธรณีประตู อาภรณ์ที่สวมอยู่นั้นทั้งเก่าและขาดวิ่น มีรอยเปื้อนน้ำมันเป็นดวง ไม่รู้ว่าไม่ได้ซักมานานแค่ไหนแล้ว

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินมา แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ชายหนุ่มยิ้มเผยให้เห็นฟันสีเหลืองก่อนจะกล่าว “เอ้อร์ยาใช่หรือไม่ ไม่เห็นหน้าหลายวัน ดูมีน้ำมีนวลขนาดนี้เชียวหรือ”

ทั้งยังถามอีก “เจ้าจะถือตะกร้าไปที่ใด ข้าเพิ่งทำซาลาเปาไส้เนื้อที่ทั้งขาวและนุ่มเสร็จ กำลังจะเอาออกจากเข่งพอดี เจ้าเข้าไปในเรือนกับข้าสิ ข้าจะให้เจ้ากินสองลูก”

เขาหยัดกายลุกขึ้นยืน คิดจะเข้ามาดึงตัวเสวี่ยเจียเยว่เข้าไปในเรือน

เสวี่ยเจียเยว่เคยได้ยินเรื่องนิสัยอันชั่วร้ายของเสวี่ยเหล่าซานผู้นี้มาบ้าง อีกอย่าง… เขายากจนแม้กระทั่งข้าวมื้อหนึ่งก็แทบไม่มีกิน แล้วจะมีซาลาเปาในเรือนได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าเขากำลังโกหก ผู้ใดจะรู้ว่าเขาล่อลวงเธอเข้าเรือนเพื่อแผนการบางอย่าง

เมื่อเห็นเสวี่ยเหล่าซานย่างสามขุมเข้ามา เสวี่ยเจียเยว่ก็รีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร หลังจากวิ่งมาไกลแล้ว เธอหันกลับไปมองก็เห็นเขากวักมือเรียก

“น้องเอ้อร์ยา เจ้าวิ่งทำไมกัน รีบเข้ามากินซาลาเปาไส้เนื้อในเรือนพี่ซานเร็วเข้า”

สำหรับเด็กๆ ในหมู่บ้าน หนึ่งปีจะได้กินเนื้อกับแป้งข้าวสาลีเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นซาลาเปาไส้เนื้อจึงเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจมากที่สุด หากเป็นเอ้อร์ยาในอดีต เมื่อได้ยินเสวี่ยเหล่าซานพูดเช่นนี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะเข้าไปในเรือนของเขาจริงๆ

            เสวี่ยเจียเยว่ไม่พูดอะไร แล้วรีบวิ่งหน้าตั้งจนไปถึงที่นาของครอบครัว

            หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้ว เธอก็วางตะกร้าลงบนพื้นข้างๆ ก่อนจะเรียกเสวี่ยหย่งฝูกับเสวี่ยหยวนจิ้งมากินข้าว

            เรียกเสวี่ยหย่งฝูว่า ‘ท่านพ่อ’ ยังเอ่ยได้อย่างมั่นใจ ทว่าเมื่อต้องเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งว่า ‘ท่านพี่’ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงพูดไม่ออก โดยปกติแล้วเวลาที่เธอพูดกับเขาก็ใช้คำว่า ‘นี่เจ้า’ เท่านั้น