บทที่ 10 การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สิบ

การเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึง

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนเรียก เสวี่ยหย่งฝูก็ถือเคียวเดินมาข้างที่นา ขณะผ่านแปลงผักด้านข้าง เขาใช้เคียวตัดแตงไทยมาด้วยสองลูก

เสวี่ยเจียเยว่ตักข้าวต้มใส่ถั่วเขียวให้เขาเรียบร้อยแล้ว

แต่เธอกลับไม่ได้เชื่อฟังคำที่ซุนซิ่งฮวาบอกว่าต้องตักข้าวต้มให้เสวี่ยหย่งฝูมากๆ เพราะถ้าตักให้เขาหมดแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจะได้กินแค่น้ำข้าวต้มจางๆ

เธอจึงตักข้าวต้มไม่น้อยไม่มากเกินไปส่งให้เสวี่ยหย่งฝู แล้วส่งตะเกียบคู่หนึ่งให้ด้วย

เสวี่ยหย่งฝูรับถ้วยข้าวต้มกับตะเกียบมา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากิน ก่อนจะนำแผ่นแป้งปิ้งมาม้วนกับยำแตงกวาและถั่วฝักยาวตากแห้งส่งเข้าปากต่อ

จากนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็ถือเคียวเดินขึ้นมาจากที่นา แต่เขายังไม่กินข้าวในทันที เด็กหนุ่มเดินไปที่ลำธารสายเล็กเพื่อล้างมือล้างหน้า และเขาไม่ได้นั่งตรงไหนก็ได้ตามใจชอบเหมือนเสวี่ยหย่งฝู กลับเลือกบริเวณที่มีหญ้าสะอาดพอสมควร ก่อนจะนั่งแหมะลงไป

เมื่อเสวี่ยหย่งฝูเห็นดังนั้นจึงกล่าวติเตียนขึ้นมา “ข้าไม่ชอบที่เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงรักความสะอาดนักหนา แม้แต่กินข้าวก็ยังต้องล้างมือก่อนอย่างนั้นหรือ ท่าทางอย่างกับแม่ของเจ้า คนอื่นเห็นมีแต่จะหัวเราะเยาะ”

เขากัดแผ่นแป้งปิ้งเข้าไปคำใหญ่ ก่อนจะพูดงึมงำต่อ “แม่ของเจ้ามักจะรักษาความสะอาดเสมอ นางจึงสอนเจ้าให้มีนิสัยเหมือนนาง ต่อไปอย่าเป็นเช่นนี้อีก”

เสวี่ยหยวนจิ้งไม่กล่าวอะไร เพียงยื่นมือไปรับถ้วยดินเผาเนื้อหยาบที่เสวี่ยเจียเยว่ส่งให้

เมื่อรับถ้วยมาแล้ว เขาถึงกับตะลึงงันไปครู่หนึ่ง เพราะข้าวต้มในถ้วยใบนี้เข้มข้นเป็นอย่างมาก

คนในหมู่บ้านนิยมกินข้าวต้ม ประการแรกคือ… พวกเขารู้สึกว่าการกินข้าวต้มสามารถบำรุงร่างกายให้มีน้ำมีนวล ประการที่สอง… กินข้าวต้มดีกว่าข้าวสวยเพราะประหยัดกว่า แต่หลังจากซุนซิ่งฮวาแต่งงานกับเสวี่ยหย่งฝู ทุกครั้งที่เสวี่ยหยวนจิ้งกินข้าวต้มในถ้วยนั้นก็จะมีน้ำมาก และมีเมล็ดข้าวอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าครั้งนี้…

เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้ามองเสวี่ยเจียเยว่ เห็นอีกฝ่ายกำลังยุ่งอยู่กับการตักข้าวต้มให้ตัวเองอยู่ อีกทั้งข้าวต้มในถ้วยนั้นก็ดูเหมือนจะน้อยกว่าในถ้วยของเขา

เขาหยิบตะเกียบในตะกร้าขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าลงค่อยๆ กินข้าว

หลังจากกินไปได้สองคำ แผ่นแป้งปิ้งหนึ่งแผ่นก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าคนที่ส่งให้เขาคือเสวี่ยเจียเยว่

เด็กหนุ่มก้มหน้าลงมองมือของอีกฝ่ายทันที

เขายังจำมือที่สกปรกของลูกติดแม่เลี้ยงได้ เล็บที่เต็มไปด้วยโคลนไม่เคยล้างให้สะอาด แต่ตอนนี้มือของอีกฝ่ายกลับดูสะอาดหมดจด อีกทั้งเล็บสิบนิ้วยังตัดและขัดจนเรียบ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่คือมือของเอ้อร์ยา

เกิดความย้อนแย้งขึ้นในใจของเขาอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็ยื่นมือไปรับแผ่นแป้งปิ้งที่เสวี่ยเจียเยว่ส่งให้

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น ก็ตื่นเต้นจนแทบจะผุดลุกขึ้นวิ่งรอบทุ่งนาสักสองรอบ

คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะรับแผ่นแป้งปิ้งที่เธอส่งให้! ตอนแรกเธอนึกในใจว่าเขาคงไม่รับมันไป แต่ตอนนี้…

เสวี่ยเจียเยว่ดีใจจนเผลอยิ้มออกมา แม้ว่ารูปร่างของเธอในตอนนี้จะผอมกะหร่อง สีผิวไม่ขาวผุดผ่องนัก ทว่าด้วยองค์ประกอบบนใบหน้าที่งดงาม เมื่อรวมกับรอยยิ้ม ก็ทำให้ดวงตาเรียวเล็กทอประกายดูสดใสมีชีวิตชีวาจนหาคำใดมาอธิบายได้ยากยิ่ง

ทันใดนั้นเสวี่ยหยวนจิ้งก็นึกถึงคำพูดกระเซ้าของเด็กหนุ่มหลายคนในหมู่บ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ซึ่งบอกว่าเขามีน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงที่หน้าตางดงามหมดจดไร้ตำหนิ ไม่เท่ากับว่าเด็กคนนั้นจะเป็นภรรยาของเขาในอนาคตหรอกหรือ เมื่อนางโตขึ้นก็ต้องแต่งงานเป็นภรรยาของเขาอย่างแน่นอน เขาช่างมีวาสนาจริงๆ

เขารู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที แผ่นแป้งปิ้งที่อยู่ในมือพลันร้อนผ่าวในชั่วพริบตา สุดท้ายเขาก็วางกลับลงไปในตะกร้าดังเดิม ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวต้มโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา

รอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ได้ไม่นานมลายไปในชั่วพริบตา

ฮึ่ม บอกได้เลยว่าหัวใจของพระเอกยากจะหยั่งถึง รับไปได้ไม่นานก็วางลงเสียแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่เธอไม่อยากจะคิดมาก ก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนเสียยังจะดีกว่า

แผ่นแป้งปิ้งในตะกร้ามีทั้งหมดสี่แผ่น เสวี่ยหย่งฝูกินไปแล้วสองแผ่น เมื่อเห็นว่าอีกสองแผ่นยังไม่มีผู้ใดแตะ เขาก็เอ่ยถามเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่

“พวกเจ้าสองคนไม่กินแผ่นแป้งปิ้งกันหรือ”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองหน้าเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง เขายังจำเอ้อร์ยาคนนั้นได้ นางไม่เพียงขี้เกียจ แต่ยังตะกละตะกลาม ไม่ว่าจะเป็นของกินอะไร นางจะวิ่งเร็วกว่าผู้ใด ทว่าเหตุใดตอนนี้แม่นางน้อยถึงไม่กินแผ่นแป้งปิ้ง หากเป็นเมื่อก่อนคงแย่งไปกินราวกับเสือหิวขย้ำเหยื่อตั้งนานแล้ว อีกทั้งเมื่อครู่นี้ยังเป็นฝ่ายยื่นแผ่นแป้งปิ้งให้เขาเอง…

ริมฝีปากได้รูปของเสวี่ยหยวนจิ้งเม้มเข้าหากัน

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ ข้าไม่กิน ท่านกับ… ท่านพี่เกี่ยวข้าวสาลีมาตั้งแต่เช้าคงเหนื่อยล้าและหิวมาก ข้าวกลางวันพวกท่านทั้งสองจึงควรกินให้มากหน่อย แผ่นแป้งปิ้งที่เหลืออยู่สองแผ่นนี้ก็ให้ท่านพี่เขากินเถิด”

ตลอดเวลาที่ผ่านมา เสวี่ยเจียเยว่ไม่เคยเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งว่า ‘ท่านพี่’ ทว่าเมื่อครู่ที่เรียกออกมาก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องยากเลย

เมื่อได้เรียกครั้งแรกแล้ว ครั้งต่อไปก็ย่อมง่ายดายกว่าเดิมแน่นอน

เสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินเสวี่ยเจียเยว่เรียกตนว่าท่านพี่ ในใจของเขาย่อมรู้สึกแปลกขัด เมื่อก่อนไหนเลยอีกฝ่ายจะเคยเรียกเขาเช่นนี้ ตั้งแต่แรกก็เรียกเขาว่า ‘ผีอายุสั้น’ เหมือนกับซุนซิ่งฮวา และช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ก็เรียกเขา ‘นี่เจ้า’ มาตลอด ทว่าตอนนี้…

ริมฝีปากของเสวี่ยหยวนจิ้งที่เดิมทีเม้มอยู่แล้วยิ่งเม้มแน่นกว่าเดิม ในใจก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย

มีเพียงเสวี่ยหย่งฝูที่ดีใจเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขากับซุนซิ่งฮวาจะเป็นสามีภรรยากันได้ไม่นาน และเอ้อร์ยาเป็นลูกสาวที่ซุนซิ่งฮวาพามาด้วย ทว่าเขาก็หวังว่าความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวจะกลมเกลียวกันมากขึ้น

เขายิ้มพลางเอ่ยชมเสวี่ยเจียเยว่ “เอ้อร์ยาช่างรู้ความนัก มาๆ พ่อจะหั่นแตงให้เจ้ากิน”

เขาพูดจบก็หยิบเคียวกับแตงไทยที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้นมา ก่อนจะใช้เคียวเล่มนั้นปอกเปลือกแตงไทย

เสวี่ยเจียเยว่มองเคียวในมือเขาครู่หนึ่ง เคียวดำปี๋เล่มนั้นมันเพิ่งเกี่ยวข้าวสาลีมาไม่ใช่หรือ ทั้งยังไม่ได้ล้างทำความสะอาด นำมาหั่นแตงไทยเช่นนี้จะกินได้อย่างไร อีกอย่าง… เคียวเล่มนั้นก็ทำให้เนื้อด้านในของแตงไทยไม่สะอาดไปด้วย

เธอไม่อยากรับแตงไทยที่เสวี่ยหย่งฝูมอบให้ จึงเอ่ยปฏิเสธออกไป “ท่านพ่อ ท่านกินเถิด ข้าไม่อยากกิน”

ทว่าเสวี่ยหย่งฝูยังคงยืนยันคำเดิม “พ่อหั่นให้เจ้ากิน รีบเอาไปกินเร็วเข้า”

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อยากรับมาเลยจริงๆ ทว่าเสวี่ยหย่งฝูยังคงดึงดัน อีกทั้งในขณะที่เขาส่งแตงไทยมา มืออีกข้างของเขาก็จับมือเธอเอาไว้แน่น ไม่ว่าเธอจะดึงกลับอย่างไรก็ทำไม่ได้ และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เสวี่ยเจียเยว่ไม่ชอบการที่เสวี่ยหย่งฝูมาแตะเนื้อต้องตัวเธอเป็นอย่างมาก บางทีอาจเป็นเพราะสายตาที่เขามองมานั้นทำให้เธอรู้สึกไม่ดีกระมัง

เธอคิดว่าจะรับแตงไทยมากินให้มันสิ้นเรื่องไป เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่ทำให้ตาย แต่ทันใดนั้นกลับได้ยินเสียงเสวี่ยหยวนจิ้งดังขึ้นอย่างราบเรียบ

“ท่านพ่อ แตงไทยลูกเล็กๆ เช่นนี้ ท่านก็กินเองเถิด ประเดี๋ยวข้าจะหั่นอีกลูกแล้วแบ่งให้เอ้อร์ยากิน”

เสวี่ยหย่งฝูเห็นว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่รับมันไปเสียที อีกทั้งยังได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวเช่นนี้ เขาก็ไม่ดึงดันอีกต่อไป “ก็ได้ เช่นนั้นแตงไทยลูกนี้ข้ากินเองก็ได้”

ก่อนที่เขาจะชักมือกลับไปก็ยังลูบคลำมือลูกเลี้ยงครู่หนึ่ง เสวี่ยเจียเยว่พลันขมวดคิ้วแน่น ทว่าเธอไม่รู้ว่าเสวี่ยหย่งฝูตั้งใจหรือไม่ คงเป็นเรื่องไม่ดีนักหากเธอพูดอะไรออกไป จึงได้แต่ขยับออกไปด้านข้าง นั่งให้ห่างจากเขาสักนิดก็ยังดี

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจประโยคที่เสวี่ยหยวนจิ้งพูดแทนเมื่อครู่แล้ว เขาแก้สถานการณ์ที่น่าอึดอัดให้เธอ ไม่ว่าเขาจะเจตนาหรือไม่ก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องขอบคุณเขา เพราะเหตุนี้เธอจึงหันไปยิ้มให้เสวี่ยหยวนจิ้ง

แม่นางผู้หนึ่งแม้ว่าอายุยังน้อย ทว่าร่างกายผ่านการขัดถูจนสะอาดสะอ้าน ทำให้ใบหน้าดูดีขึ้นไม่น้อย ราวกับดอกชาสีชมพูที่เปื้อนน้ำค้างในยามเช้าตรู่ก็มิปาน ทำให้คนที่เห็นเอ็นดูและอยากทะนุถนอมยิ่ง

ทว่าเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าขาวเนียน กลับรีบเบือนหน้าหนีอย่างไร้เยื่อใย จากนั้นก็ยื่นมือไปหยิบแผ่นแป้งปิ้งแผ่นหนึ่งขึ้นมา ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วกินมันเข้าไปอย่างช้าๆ

เด็กหนุ่มทำงานอยู่ในทุ่งนาตั้งแต่เช้าจนพระอาทิตย์ตรงศีรษะ กินข้าวต้มกับแผ่นแป้งปิ้งสองแผ่นก็ไม่น่าจะอิ่มท้องได้ ทว่าน่าแปลกเมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกินแผ่นแป้งปิ้งไปหนึ่งแผ่นแล้วก็ไม่ได้กินอีก และวางถ้วยกับตะเกียบลงพลางมองเสวี่ยเจียเยว่ครู่หนึ่ง เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ คิ้วเรียวได้รูปของเขาก็ขมวดเข้าหากัน

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจถึงความหวังดีของเขาในขณะนี้ เพราะตอนที่เธอทำอาหารอยู่ในครัว ก็กินข้าวต้มถ้วยหนึ่งและแผ่นแป้งปิ้งแผ่นหนึ่งแล้ว ทั้งตอนนี้ยังกินข้าวต้มเข้าไปอีก เธอจึงอิ่มเต็มทีแล้ว

อีกอย่าง… เธออยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งกินแผ่นแป้งปิ้งสองแผ่นนี้ จึงไม่มีทีท่าว่าจะหยิบมันมากินเลย

เมื่อเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดแตะต้องแผ่นแป้งปิ้งแผ่นนั้นเสียที เสวี่ยหย่งฝูก็เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมา “ในเมื่อแผ่นแป้งปิ้งแผ่นนี้พวกเจ้าสองคนไม่กิน เช่นนั้นข้ากินเอง”

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นจึงหยิบแตงไทยที่เหลือและเคียว พร้อมทั้งถ้วยกับตะเกียบที่เขาใช้กินข้าวเมื่อสักครู่ แล้วลุกขึ้นเดินไปยังลำธารสายเล็กที่อยู่ไม่ไกล

แม้สีหน้าของเขาจะเย็นชาตลอดเวลา ทว่าในภพที่จากมา เสวี่ยเจียเยว่เคยอยู่กับแม่เลี้ยงมาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรือการสังเกตสีหน้าเธอก็ล้วนชำนาญ จึงรู้ว่ายามนี้เสวี่ยหยวนจิ้งไม่สบอารมณ์นัก

แต่อะไรที่ทำให้เขาไม่สบอารมณ์เล่า เมื่อครู่นี้เธอมิได้ยุแหย่ให้เขาโกรธสักนิด พูดได้เลยว่าเขาเป็นคนขี้หงุดหงิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ ช่างเอาใจยากจริงๆ คนผู้นี้

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ เธอก็เห็นเสวี่ยหยวนจิ้งเดินกลับมา

ไม่ว่าจะเป็นเคียว ถ้วยดินเผาเนื้อหยาบ หรือแม้กระทั่งแตงไทย เขาก็ล้างจนสะอาดสะอ้านทุกซอกทุกมุม เคียวสะอาดจนสะท้อนแสงสีขาวราวหิมะ ถ้วยดินเผาไม่ว่าจะเป็นข้างนอกหรือข้างในล้วนสะอาดสะอ้านราวกับถ้วยใหม่ ส่วนแตงไทยก็ปอกเปลือกเรียบร้อยและผ่าออกเป็นสองซีก เมล็ดแตงไทยถูกคว้านออกมาและล้างจนสะอาด

เมื่อนั่งลงแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็นำเคียวมาตัดแตงไทยสองซีกนั้นให้กลายเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ก่อนจะวางลงในถ้วยดินเผาเนื้อหยาบ จากนั้นเขาก็ไม่เอ่ยอะไร และวางถ้วยดินเผาใส่แตงไทยลงไปในตะกร้าหวาย ก่อนจะถือเคียวเดินลงไปเกี่ยวข้าวสาลีในนากับเสวี่ยหย่งฝู

เสวี่ยเจียเยว่ก้มลงมองแตงไทยที่ถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ในถ้วยดินเผาเนื้อหยาบ แล้วถอนหายใจออกมาพลางคิดว่า โรครักความสะอาดของเขามันช่างรักษายากเสียจริง

แตงไทยที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเหล่านี้ เธอรู้สึกว่าขนาดของมันล้วนเท่ากันทุกด้าน ส่วนแตงไทยที่ไม่สามารถหั่นให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าเช่นนี้ได้ ก็ถูกเสวี่ยหยวนจิ้งโยนทิ้งไป

แต่เขากลับไม่กินมันสักชิ้น เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาทำให้เธอกินอย่างนั้นหรือ

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก การที่เธอทำดีกับเขาในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นไม่เสียเปล่าเลย