บทที่ 11 อึดอัดใจต่อไป

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สิบเอ็ด

อึดอัดใจต่อไป

เสวี่ยเจียเยว่กอดตะกร้าใส่ถ้วยแตงไทยกลับเรือนด้วยความซาบซึ้งเต็มหัวใจ

เธอไม่ได้กินมันสักคำ แต่นำถ้วยมาจากในครัวสองใบ แบ่งแตงไทยครึ่งหนึ่งใส่ถ้วยใบหนึ่ง แล้วใช้อีกใบครอบปิดวางไว้บนโต๊ะในห้องนอน ก่อนถือถ้วยดินเผาเนื้อหยาบที่มีแตงไทยอยู่อีกครึ่งเข้าไปทำอะไรบางอย่างในครัว และแอบนำไปวางไว้บนโต๊ะตัวเล็กในเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง

ขณะที่เดินออกมาเสวี่ยเจียเยว่พลันเหลือบเห็นผลผีผาที่สุกงอมบนต้นจำนวนหนึ่ง เธอคิดชั่วครู่ก่อนจะยกเก้าอี้มาวางใต้ต้นผีผา และหยิบไม้ไผ่ลำยาวขึ้นมา ใช้ไม้ไผ่กดกิ่งผีผาให้ต่ำลง และเขย่งเท้าเอื้อมมือขึ้นไปเด็ดผลที่สุกงอม

เธอเก็บผลผีผาหลายลูกลงมาได้อย่างง่ายดาย แต่กินไปเพียงหนึ่งลูกเพื่อคลายความหิวเท่านั้น ส่วนที่เหลือนำกลับไปวางไว้บนโต๊ะในเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้ง

‘ถือว่าเป็นของตอบแทนสำหรับแตงไทยก็แล้วกัน’

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังวางผลผีผาลงนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นตำราสองสามเล่มวางอยู่บนหมอนของเสวี่ยหยวนจิ้ง ตำราเหล่านั้นทั้งชำรุดและเก่า กระนั้นด้านในกลับดูเรียบ ไม่มีรอยยับเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเขารักและทะนุถนอมตำราของตนเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นเช่นนั้น จู่ๆ เธอก็รู้สึกหดหู่ในหัวใจทันที

เธอเข้าใจความรู้สึกของคนที่อยากเรียนหนังสือ แต่กลับถูกสั่งให้หยุดเรียนกลางคัน ในภพก่อนแม่เลี้ยงก็เคยทำกับเธอเช่นนี้ แต่โชคดีมีตากับยายคอยช่วยเหลือ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่มีผู้ใดสนับสนุน…

เสวี่ยเจียเยว่เดินออกจากเรือนของเสวี่ยหยวนจิ้งด้วยความหดหู่ ก่อนนำฟางสองเส้นมาเสียบบนรอยแยกของประตูแล้วปิดไว้อย่างระมัดระวัง

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกลับมาที่เรือน เขาก็พบว่าบนโต๊ะของตนนั้นมีแตงไทยครึ่งถ้วยกับผลผีผาสุกงอมหลายลูก

เขามองไปทั่วเรือนอย่างละเอียด ก็พบว่าไม่มีใครมาขยับเขยื้อนข้าวของของตน มีเพียงฟางสองมัดที่ถูกย้ายไปไว้ครึ่งหลังของเรือน

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าคนที่เข้ามาคือน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยง เมื่อก่อนตอนที่ซุนซิ่งฮวาเข้ามาเอาฟางไปก่อไฟ นางมักจะค้นของของเขาอยู่เสมอ ทำราวกับว่าเขาซ่อนของมีค่าอะไร หรือไม่ก็แอบขโมยของมาซ่อนไว้ในนี้ก็มิปาน มีหรือนางจะให้แตงไทยกับผลผีผาแก่เขา

เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งลงข้างโต๊ะ พลางมองแตงไทยกับผลผีผาที่อยู่บนนั้น

เมื่อมองแตงไทยถ้วยนี้อย่างละเอียด ก็พบว่ามันหมักด้วยเกลือและโรยด้วยกระเทียมสับ มีน้ำมันงาเล็กน้อย และมีน้ำผึ้งด้วย เมื่อกินเข้าไปแล้วจะรู้สึกถึงรสชาติหวานเล็กน้อย

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ดีว่าในเรือนหลักมีน้ำผึ้งอยู่เพียงครึ่งขวดเท่านั้น ซึ่งเป็นมารดาที่ซื้อมาให้น้องสาวเขากิน ในตอนนั้นบิดาเขาต่อว่ามารดาอย่างรุนแรง จนกระทั่งซุนซิ่งฮวาแต่งเข้ามา นางก็เก็บน้ำผึ้งครึ่งขวดนั้นไว้ในห้องของตนราวกับเป็นของล้ำค่า หากไม่ได้ออกไปทำงานในทุ่งนา นางก็ต้องตรวจดูน้ำผึ้งขวดนั้น เพราะกลัวว่าจะมีคนขโมยกิน ทว่าตอนนี้…

ขนตางอนยาวราวรูปพัดของเสวี่ยหยวนจิ้งพลันพลิ้วลงเมื่อเขาหรี่ตา

เอ้อร์ยาในตอนนี้ช่างกล้าหาญจริงๆ ถึงขั้นแอบไปหยิบน้ำผึ้ง และเหตุผลที่อีกฝ่ายกล้าเสี่ยงอันตรายนั้นดูเหมือนจะทำเพื่อเขา…

เมื่อก่อนเอ้อร์ยามิใช่ชอบพูดมากต่อหน้าซุนซิ่งฮวาหรอกหรือ ทั้งยังชอบยุแยงมารดาของตนให้ด่าเขาอยู่เป็นประจำและให้อดข้าวอดน้ำจนหิวโหย เหตุใดยามนี้ถึงได้ทำดีกับเขาขึ้นมา

เสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองผลผีผาสีเหลืองที่วางอยู่บนโต๊ะ พลันคิ้วเรียวได้รูปก็ขมวดเข้าหากัน เขาครุ่นคิดว่าเอ้อร์ยาเริ่มเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน

ดูเหมือนจะเป็นตอนที่อีกฝ่ายไข้ขึ้นสูงครั้งนั้น ครั้นหายดีก็เปลี่ยนไปมาก ไม่เพียงพูดน้อย แต่ยังขยันทำงาน และกลายเป็นคนรักความสะอาด ยิ่งกว่านั้น… ยังทำดีกับเขาอยู่บ่อยครั้ง รวมทั้งมักจะฉวยโอกาสตอนที่ซุนซิ่งฮวาไม่ทันสังเกตแอบขโมยของกินมาให้เขา ทว่าดูเหมือนทำส่งๆ ไปเท่านั้นเอง

แม้จะคิดเช่นนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ดี

เอ้อร์ยาผู้นี้เปลี่ยนไปมากหลังจากไข้ขึ้นในครั้งนั้น ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน…

หลายวันต่อมาครอบครัวของเสวี่ยหย่งฝูทำงานอย่างขยันขันแข็งเช่นเคย ในที่สุดก็ตีเมล็ดผักกาดก้านขาวที่ลานบนเนินเขาเสร็จแล้ว และข้าวสาลีในนาก็เก็บเกี่ยวเรียบร้อย

หลังจากตากข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการตีข้าวด้วยเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายโม่หิน เพื่อแยกเมล็ดข้าวออกมา

ยามนี้หากครอบครัวใดมีสัตว์เลี้ยง ก็สามารถใช้มันลากเชือกที่ผูกติดกับเครื่องมือสำหรับตีข้าวได้ แต่ถ้าไม่มีสัตว์เลี้ยง หากไม่ไปยืมผู้อื่นก็ต้องใช้คนลากเชือกแทน

เรือนของเสวี่ยหย่งฝูไม่มีสัตว์เลี้ยงสักตัว แม้จะออกไปยืมชาวบ้าน แต่ถ้าไม่ใช่เพราะคนอื่นต้องใช้สัตว์เลี้ยงเช่นกัน ก็เป็นเพราะไม่ยอมให้ยืม ดังนั้นเขาจึงหาไม่ได้สักตัว

ซุนซิ่งฮวาไม่สบอารมณ์นัก สีหน้านางเคร่งเครียดตั้งแต่เช้าและด่าสารพัดไม่ยอมหยุด นางรังเกียจที่เสวี่ยหย่งฝูยากจน แม้แต่สัตว์เลี้ยงสักตัวก็ยังไม่มี เหตุใดตอนนั้นนางถึงได้เชื่อคำของแม่สื่อ คิดว่าตระกูลเสวี่ยมีเรือนหลังใหญ่สามหลัง ที่นาดินดีอีกมาก ล่อ ม้า และวัวก็ล้วนมีหมด ทว่าเมื่อแต่งเข้ามากลับพบว่าเป็นเรือนหลังคามุงหญ้า ที่นาไม่ดีเพียงเล็กน้อย ล่อ วัว และม้า แม้แต่ขนสักเส้นก็ไม่มี

หลังจากฟังนางพูดพล่ามมาตลอดทั้งวัน เสวี่ยหย่งฝูก็เริ่มไม่สบอารมณ์เช่นกัน

หากยืมวัวยืมม้ามาไม่ได้ เขากับเสวี่ยหยวนจิ้งจะเป็นคนลากเชือกแทน นางเองก็ทำเป็นเหมือนกันไม่ใช่หรือ เขาเบื่อเรื่องเช่นนี้เต็มที ในใจก็รำคาญจนแทบทนไม่ไหวแล้ว ทว่าซุนซิ่งฮวากลับยังเอาแต่จู้จี้ขี้บ่นไม่หยุดหย่อน

เพราะเหตุนี้เขาจึงเอ่ยตำหนิซุนซิ่งฮวาออกมาเสียงดัง “พอได้แล้ว! เจ้าห้ามพูดอะไรอีก พูดไปก็รังแต่จะทำให้ข้าอารมณ์เสีย”

เมื่อซุนซิ่งฮวาได้ยินเช่นนั้น นางก็รีบลงมานั่งขัดสมาธิบนพื้น ใช้ท่าไม้ตายคือร้องไห้โวยวายเสียงดังอย่างที่เคยทำ

แต่ครั้งนี้ซุนซิ่งฮวามิได้มีทีท่าว่าจะเก็บข้าวของกลับบ้านเกิดเหมือนครั้งก่อน เสวี่ยหย่งฝูจึงไม่ได้ใส่ใจนาง หลังจากคิดครู่หนึ่งก็เรียกเสวี่ยหยวนจิ้งเข้ามา ก่อนจะสั่งเด็กหนุ่ม

“เจ้าไปที่เรือนของท่านยายหาน ข้าจำได้ว่านางมีล่อตัวหนึ่ง เจ้าไปยืมล่อของนางมาใช้ก่อนสักหนึ่งวัน”

ซุนซิ่งฮวาร้องไห้พลางตะโกน “เมื่อครู่ข้าเพิ่งบากหน้าไปเรือนของท่านยายหานมา ทั้งที่ข้าได้ยินเสียงล่อร้องอยู่หลังเรือนของนางกับหู แต่นางก็บอกว่าให้คนอื่นยืมไปแล้ว ข้าอุตส่าห์บากหน้าไปยังยืมมาไม่ได้ แล้วเขาหน้าใหญ่ขนาดไหนกัน ถึงจะยืมล่อมาใช้ได้”

“พอได้แล้ว! เจ้าอย่าร้องไห้เหมือนอยู่ในงานศพเช่นนี้” เสวี่ยหย่งฝูอดรนทนไม่ได้จึงหันไปตะโกนลั่นใส่นาง “เจ้าคิดว่าเจ้าหน้าใหญ่ขนาดไหนกัน เหตุใดท่านยายหานถึงต้องให้เจ้ายืมล่อ แต่จิ้งเอ๋อร์ไม่ใช่เช่นนั้น จดหมายที่ลูกชายท่านยายหานส่งมา ก็มิใช่จิ้งเอ๋อร์อ่านให้นางฟังหรอกหรือ ไม่ว่าจะเป็นจดหมายตอบกลับลูกของท่านยายหานฉบับไหน ก็มิใช่จิ้งเอ๋อร์เขียนให้หรอกหรือ ตราบใดที่ล่อตัวนั้นยังอยู่ในเรือนของนาง อย่างไรจิ้งเอ๋อร์ก็สามารถยืมมันมาใช้ได้”

เมื่อกล่าวจบเขาก็เร่งเสวี่ยหยวนจิ้งให้รีบออกไปยืมล่อ

เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่ายายหานผู้นั้นอาศัยอยู่หน้าหมู่บ้าน สามีนางตายไปหลายปีแล้ว มีลูกชายเพียงคนเดียวที่ทำงานอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่งในเมือง ปกติแล้วการจะได้กลับบ้านเกิดครั้งหนึ่งถือเป็นเรื่องยากนัก และถึงแม้ยายหานจะมีอายุห้าสิบปีแล้ว ก็ยังขยันขันแข็ง ในทุกสองถึงสามวันนางจะทำเต้าหู้หลายแผ่นเข้าไปขายในเมือง

ชาวบ้านในหมู่บ้านบนเขาลูกนี้ หากไม่มีธุระอะไรก็จะไม่ออกไปข้างนอก ยายหานจึงเป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านที่ออกไปข้างนอกเป็นประจำ

เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของเธอก็พลันสั่นไหวขึ้นมาทันที

เธอข้ามภพมาเกือบสามเดือนแล้ว ทว่ายังไม่เคยออกไปจากหมู่บ้านแม้แต่ก้าวเดียว ไม่ใช่ไม่เคยคิดจะแอบหนีออกไป ทว่าร่างนี้เป็นเพียงเด็กอายุแปดขวบเท่านั้น ภูเขากว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ หากอาศัยแค่ขาทั้งสองข้างแล้วเมื่อไรจะไปถึงในเมือง อีกอย่าง… เธอไม่รู้เลยว่าโลกภายนอกนั้นเป็นอย่างไร ใครจะรู้ว่าหลังจากออกไปแล้วจะพบเจอเรื่องอันใดบ้าง จึงไม่เหมาะที่จะออกไปจากหมู่บ้านนี้สุ่มสี่สุ่มห้า

แต่ยายหานผู้นั้น…

เสวี่ยเจียเยว่หันไปพูดกับเสวี่ยหย่งฝู “ท่านพ่อ ข้าขอไปยืมล่อที่เรือนของท่านยายหานกับท่านพี่นะเจ้าคะ”

เสวี่ยหย่งฝูที่กำลังรำคาญเสียงร้องไห้ของซุนซิ่งฮวา เมื่อได้ยินลูกเลี้ยงพูดขึ้นก็มิได้เอ่ยตอบอันใด เพียงโบกมือให้อย่างเบื่อหน่าย นับว่านั่นเป็นการยินยอมแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งตามเสวี่ยหยวนจิ้งไปทันที

เมื่อเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ตรงหน้า เธอก็ไม่ได้ไปเดินข้างเขาแต่อย่างใด

แม้ว่าก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งเหมือนจะเริ่มทำดีกับเธอด้วยการหั่นแตงไทยให้กิน ทว่าหลังจากนั้นเวลาที่เธอพูดกับเขา เขาก็ยังคงทำหน้าเย็นชาและไม่เอ่ยตอบเช่นเคย เพราะเหตุนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงรู้ว่าต้องทำตัวเช่นไร นั่นคือการไม่หันไปมองใบหน้าเย็นชาของเขา

เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ตัวนานแล้วว่าเสวี่ยเจียเยว่เดินตามเขามา หลังจากชะลอฝีเท้าเล็กน้อย เขาก็เดินไปตามทางมุ่งสู่หน้าหมู่บ้านต่อ ทำราวกับไม่รู้ว่าอีกฝ่ายตามมาอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูเรือนของเสวี่ยเหล่าซาน เขาก็ชะงัก

เขาเคยได้ยินคนในหมู่บ้านพูดกันว่า เสวี่ยเหล่าซานผู้นี้มือเท้าสกปรก ปกติแล้วเมื่อเห็นสตรีในหมู่บ้านก็มักจะมือไม้อยู่ไม่สุข และชอบพูดกระเซ้าพวกนางสารพัด ทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายเหลือแสน ครั้งก่อนก็บอกว่าตนทำซาลาเปาไส้เนื้อน่ากินไว้ หลอกล่อแม่นางน้อยอายุเจ็ดแปดขวบผู้หนึ่งเข้าไปในเรือน โชคดีที่มารดาของเด็กคนนั้นตามมาทันเวลาแล้วพานางกลับไป ไม่เช่นนั้นทุกคนต่างก็รู้ดีว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น

ยามนี้เสวี่ยเหล่าซานก็ยังนั่งอยู่ที่ธรณีประตูตามเคย

เสื้อที่เขาสวมนั้นขาดกะรุ่งกะริ่ง ด้านซ้ายขาดหนึ่งรู ด้านขวาขาดอีกรู ทั้งยังสกปรกจนแทบจะมองสีเดิมของเสื้อตัวนั้นไม่ออก เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่เดินมา มีหรือเขาจะเห็นเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ปีอยู่ในสายตา เขาเพียงยิ้มให้เสวี่ยเจียเยว่พลางเอ่ย

“เอ้อร์ยา ในเรือนพี่ซานมีขนมจีบไส้เนื้ออร่อยๆ เจ้าอยากเข้าไปกินสักชิ้นสองชิ้นหรือไม่”

‘ครั้งก่อนเป็นซาลาเปาไส้เนื้อ ครั้งนี้เป็นขนมจีบไส้เนื้อ เหตุใดถึงต้องใช้ไส้เนื้อมาหลอกล่อทุกครั้ง’ เสวี่ยเจียเยว่จนถ้อยคำจะพูดแล้วจริงๆ

เธอไม่อยากสนใจเสวี่ยเหล่าซาน แต่ถ้าไม่ตอกกลับสักสองประโยคก็คงมิใช่นิสัยของเธอ อีกทั้งครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนซึ่งเธอมาคนเดียว ย่อมต้องวิ่งหนีเตลิดอย่างแน่นอน เมื่อนี้มีเสวี่ยหยวนจิ้งอยู่ข้างหน้า ในใจของเธอก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาไม่น้อย

ดังนั้นเธอจึงตอบกลับไป “ข้าไม่กิน ถ้าเจ้าทำซาลาเปาไส้เนื้อกับขนมจีบไส้เนื้อ เจ้าก็เก็บไว้กินเองเถอะ เจ้าจะได้ไม่ผอมจนหนังหุ้มกระดูกอย่างในตอนนี้”

จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไรกับเสวี่ยเหล่าซานอีก และก้าวเดินต่อไป

เมื่อเดินมาได้ระยะหนึ่ง เธอเห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งหยุดเดินกะทันหัน แต่เขามิได้หันกลับมา ยังคงหันหลังให้เธออยู่เช่นนั้น

เสวี่ยเจียเยว่ไม่เข้าใจจึงไม่เดินตาม จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเย็นยะเยือกของเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ต่อไปอย่าได้พูดอะไรกับเสวี่ยเหล่าซานอีก และอย่าเชื่อคำพูดใดของเขาเป็นอันขาด”

เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินต่อโดยไม่หันกลับไปมองเธอ

เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแม่นางน้อยอายุแปดขวบ อีกทั้งเมื่อก่อนยังตะกละตะกลามมาก จึงอาจหลงเชื่อว่ามีซาลาเปาไส้เนื้อกับขนมจีบไส้เนื้ออะไรนั่น แล้วเดินเข้าไปในเรือนของเสวี่ยเหล่าซาน เมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าใครต่างก็รู้ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น การเอ่ยเตือนสักประโยคถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

แต่เมื่อพูดประโยคนั้นออกไปแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็นึกเสียใจภายหลัง

เขาจะห่วงใยอีกฝ่ายเพื่ออะไร น้องสาวแท้ๆ ของเขาเองยังไม่รู้ว่าถูกขายไปตกระกำลำบากที่ไหน ชีวิตเป็นเช่นไรบ้าง แต่เขากลับมีกะจิตกะใจมาห่วงใยน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงผู้นี้ สนใจว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรอย่างนั้นหรือ

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ก้าวเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว