บทที่ 12 กินของคนอื่นแล้ว

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

สิบสอง

กินของคนอื่นแล้ว

แม้ว่าน้ำเสียงของเสวี่ยหยวนจิ้งจะฟังดูเย็นชาตอนที่พูดประโยคนั้นออกมา ทว่าเสวี่ยเจียเยว่กลับรู้สึกเหมือนได้รับความเมตตาทั้งที่ยังคงตกตะลึง

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่เสวี่ยหยวนจิ้งพูดมาเมื่อครู่นี้ ก็ถือว่าเป็นคำเตือนด้วยความหวังดี

เธออยากจะตามไปสนทนากับเขา ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเร็วขึ้น เท้าเล็กๆ ของเธอก้าวอย่างไรก็ตามไม่ทัน ในที่สุดเธอก็ทำได้เพียงเดินตามเขาไปด้วยอาการกระหืดกระหอบ

ผ่านแยกข้างหน้าไป และเดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงเรือนของยายหานแล้ว

พวกเขาเห็นเรือนทำด้วยอิฐหลังใหญ่เป็นเรือนหลัก และมีเรือนย่อยอยู่สามหลัง ล้อมรอบด้วยกำแพงดิน ประตูลานและประตูใหญ่หน้าเรือนเปิดอ้าออกทั้งสองบาน ทำให้มองเห็นความสะอาดและเป็นระเบียบภายในเรือนได้เป็นอย่างดี ด้านข้างของตัวเรือนยังมีต้นทับทิมที่กำลังออกดอกสีแดงสดบานสะพรั่งอยู่หนึ่งต้น

แม้ว่าประตูใหญ่หน้าเรือนจะเปิดอยู่ ทว่าเสวี่ยหยวนจิ้งไม่ได้เดินเข้าไปทันที กลับหยุดตรงหน้าประตู ก่อนจะยื่นมือไปเคาะสองครั้งพลางเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านยายหาน?”

เพียงชั่วอึดใจเดียวก็มีเสียงเอ่ยถามดังออกมาจากตัวเรือน “ใคร”

จากนั้นก็มีสตรีสูงวัยผู้หนึ่งเดินออกมา

ชุดสีครามที่นางสวมนั้นซักอย่างสะอาดสะอ้าน ดูก็รู้ว่าเป็นคนรักความสะอาดเพียงใด บนศีรษะโพกด้วยผ้าสีฟ้าเข้มปักลวดลายดอกไม้สีขาว รูปร่างไม่เตี้ยไม่สูงจนเกินไป หน้าตาดูเป็นคนอัธยาศัยดีไม่น้อย

เมื่อเห็นว่าเป็นเสวี่ยหยวนจิ้ง ใบหน้าของนางก็พลันระบายยิ้มทันที ก่อนจะกล่าว “ไอหยา ที่แท้ก็หลานจิ้งนี่เอง เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมีเวลาว่างมาหาข้าที่นี่ได้เล่า รีบเข้ามาๆ”

นางเรียกเด็กหนุ่มเข้าไปในเรือนอย่างสนิทสนม

หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งเดินเข้าไปแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็อยากจะเดินตามเข้าไปด้วย จึงเอ่ยปากเรียกเจ้าของเรือนอย่างสนิทสนม “ท่านยายหานเจ้าคะ”

ทว่าท่าทีของยายหานไม่ได้ดูสนิทสนมกับเธอเหมือนเสวี่ยหยวนจิ้ง เพียงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อ้อ เอ้อร์ยาหรือ เจ้ามากับหลานจิ้งสินะ เช่นนั้นก็เข้ามาสิ”

เสวี่ยเจียเยว่ตอบรับด้วยเสียงอันไพเราะ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจ้องเธอเขม็งด้วยสายตาเย็นชา เขาคงคิดว่าเธอหน้าด้านสินะ

มุมปากเสวี่ยเจียเยว่พลันกระตุกอย่างอดไม่ได้

เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งยากจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่แล้ว เมื่อคิดถึงการกระทำของยายหาน ก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ชอบเธอยิ่งนัก แต่ถ้าเสวี่ยเจียเยว่อยากจะออกไปชมเมืองด้านนอก เกรงว่าคงเลี่ยงที่จะขอความช่วยเหลือจากยายหานผู้นี้มิได้

เฮ้อ… ช่างลำบากใจจริงๆ

ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ขณะสนทนากับยายหานและเดินตามนางเข้าไปในเรือน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เข้ามาในห้องโถงก็พบว่าเก้าอี้ โต๊ะ หรือแม้แต่ตั่งล้วนได้รับการเช็ดถูจนสะอาด ในมุมห้องมีถั่วเหลืองถุงใหญ่วางเอาไว้หลายใบ ด้านข้างมีอุปกรณ์ทำไร่ทำนาอีกจำนวนหนึ่ง

ยายหานเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งให้นั่งลง ก่อนจะเข้าไปยกเต้าฮวยในครัวออกมาสองถ้วย จากนั้นก็ยกถ้วยหนึ่งให้เด็กหนุ่มพลางเอ่ย “เต้าฮวยนี้ข้าเพิ่งทำเสร็จเมื่อเช้านี่เอง เจ้าลองดื่มดูสิ”

เสวี่ยหยวนจิ้งผุดลุกขึ้นทันที ปากก็เอ่ยปฏิเสธ ทว่ากลับถูกยายหานตำหนิ

“เจ้าเกรงใจข้าเช่นนี้ตลอด ไม่ว่าจดหมายฉบับไหนที่ลูกชายของข้าส่งมา ก็มิใช่เจ้าอ่านให้ข้าฟังหรอกหรือ จดหมายที่ข้าส่งให้ลูกชาย ก็เป็นเจ้าที่เขียนให้ แต่ไหนแต่ไรเจ้าไม่เคยเรียกร้องค่าหมึกจากยายแก่เช่นข้าสักหยด ตอนนี้ข้าขอให้เจ้าดื่มเต้าฮวยสักถ้วย เจ้ายังเกรงใจข้าขนาดนี้เชียวหรือ หากยังเกรงใจข้าอีก ข้าจะโกรธเจ้าแล้วนะ”

นางกล่าวจบก็ยื่นเต้าฮวยถ้วยนั้นใส่มือของเสวี่ยหยวนจิ้งทันที เด็กหนุ่มทำได้เพียงรับมาพลางกล่าวขอบคุณนาง ทว่าเขาไม่ได้ดื่มทันที กลับวางเอาไว้บนโต๊ะด้านข้าง

ขณะเดียวกันยายหานก็ส่งเต้าฮวยอีกถ้วยให้เสวี่ยเจียเยว่ที่อยู่ตรงหน้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้านิ่งขรึม “ให้เจ้า”

เสวี่ยเจียเยว่คิดครู่หนึ่ง ในที่สุดเธอก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด ก่อนจะลุกขึ้นและยื่นสองมือไปรับถ้วยเต้าฮวยมา จากนั้นจึงเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มหวาน “ขอบคุณท่านยายหานเจ้าค่ะ”

ยายหานแค่นเสียง “ฮึ” ขึ้นจมูก จากนั้นก็มิได้สนใจเสวี่ยเจียเยว่มากนัก ก่อนจะหันไปสนทนากับเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยเจียเยว่ดื่มเต้าฮวยพลางคิดในใจไปด้วย ยายหานผู้นี้ดูแล้วก็เป็นคนน่าคบหา ทว่าซุนซิ่งฮวาบอกว่าตอนที่นางมายืมล่อกลับถูกปฏิเสธ เมื่อเห็นท่าทีที่ยายหานทำกับเธอในตอนนี้ เสวี่ยเจียเยว่ก็สรุปได้ว่าสตรีสูงวัยคงไม่ชอบเธอกับซุนซิ่งฮวาเป็นอย่างมาก

จากนั้นไม่นานก็เป็นเช่นที่เธอคิด ยายหานกล่าวกับเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ไม่รู้ว่าพ่อเจ้าคิดอะไรอยู่ แม่เจ้าจากไปได้ไม่ทันถึงร้อยวัน เขาก็รีบแต่งงานใหม่เสียแล้ว หากแม่เลี้ยงที่แต่งเข้ามาทำดีกับพวกเจ้าสองพี่น้องก็แล้วไป แต่แต่งเข้ามาได้ไม่ทันไรก็ส่งน้องสาวของเจ้าให้คนอื่นเสียแล้ว น้องสาวเจ้าเพิ่งสามขวบเอง หากแม่ของเจ้าที่อยู่ในหลุมฝังศพรู้เข้า นางจะเสียใจเพียงใด อีกทั้งพ่อของเจ้าและสตรีใจร้ายไร้คุณธรรมผู้นั้นสามารถข่มตาหลับได้อย่างไร ไม่กลัวว่าแม่เจ้าจะมาหาพวกเขากลางดึกเลยหรือ”

เสวี่ยเจียเยว่พลันนึกในใจ ดูเหมือนว่าในสายตาของยายหาน เอ้อร์ยาก็เป็นคนไร้คุณธรรมเช่นเดียวกับมารดา

ทว่าหากพูดถึงเรื่องที่เสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาได้กระทำนั้น ที่ยายหานพูดมาก็ไม่ผิด พวกเขาเป็นคนไร้คุณธรรมจริงๆ และควรลงโทษคนเช่นนั้นอย่างสาสม

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ครุ่นคิดอยู่นั้น เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเรียบเฉย นั่งอยู่โดยสนใจเพียงแค่การดื่มเต้าฮวย ทำราวกับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน เขาก็อดแปลกใจไม่ได้

ซุนซิ่งฮวาเป็นม่ายก่อนจะแต่งงานกับบิดาของเขา อีกทั้งนางยังเป็นคนจากหมู่บ้านข้างๆ และพาตัวภาระมาด้วยหนึ่งคน ตั้งแต่นางแต่งเข้ามามีคนในหมู่บ้านหลายคนแอบหัวเราะเยาะ เมื่อเด็กๆ ได้ยินพวกผู้ใหญ่นินทาซุนซิ่งฮวา ก็วิ่งไปเยาะเย้ยเอ้อร์ยาทันที เสวี่ยหยวนจิ้งเคยเห็นเอ้อร์ยาเลียนแบบท่าทางการด่าคนจากซุนซิ่งฮวาครั้งหนึ่ง สองมือเท้าสะเอวพลางด่าเด็กเหล่านั้นเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นเมื่อได้ยินคนนินทาตนกับซุนซิ่งฮวาลับหลัง ก็จะด่ากราดทันที หากด่าไม่ได้จะแอบโยนโคลนเข้าไปในเรือนของคนที่นินทา ยากนักที่จะไม่ตอบโต้ ทว่าเมื่อได้ยินยายหานด่าซุนซิ่งฮวาว่าเป็นหญิงไร้คุณธรรม กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับไม่รู้สึกโกรธเคืองอย่างไรอย่างนั้น

อาจเป็นเพราะเต้าฮวยอยู่ในปากอีกฝ่ายแล้ว หรือกินของยายหานเข้าไปแล้วนั่นเอง จึงไม่ลุกขึ้นมาด่าแทนซุนซิ่งฮวา

เสวี่ยหยวนจิ้งดูถูกน้องสาวลูกติดแม่เลี้ยงในใจ ก่อนจะถอนสายตากลับมา แล้วกล่าวกับยายหานอย่างนอบน้อม

เมื่อสนทนากันได้สักพัก เขาก็พูดถึงจุดประสงค์ที่ตนมาในครั้งนี้ “ไม่ทราบว่าวันนี้ท่านยายหานต้องการใช้ล่อหรือไม่ หากท่านต้องใช้เช่นนั้นก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้ใช้ ข้าอยากจะยืมล่อของท่านไปตีข้าวสักหนึ่งวัน ไม่ทราบว่าท่านยายหานสะดวกให้ยืมหรือไม่ขอรับ”

“มีอะไรไม่สะดวกเล่า” ยายหานรีบตกปากรับคำทันที “เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปหลังเรือนแล้วจูงล่อมาให้เจ้า”

นางเอ่ยจบก็ออกจากเรือนไปทันที เหลือเพียงเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่อยู่ในห้องโถง

เสวี่ยเจียเยว่ปรายตามองเสวี่ยหยวนจิ้ง เห็นว่าเต้าฮวยส่วนของเขายังเหลืออยู่เต็มถ้วย ไม่หายไปแม้แต่หยดเดียว เมื่อมองถ้วยของตนเองอีกครั้ง ก็พบว่าเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น…

เธอเลื่อมใสในตัวเสวี่ยหยวนจิ้งยิ่งนัก

ในชนบทของยุคสมัยนี้ เต้าฮวยถือเป็นของที่หาได้ยาก เด็กทั่วไปหนึ่งปีจะได้ดื่มเพียงไม่กี่หน โดยเฉพาะเสวี่ยหยวนจิ้งที่มักได้กินไม่อิ่มท้องจากการกระทำโหดร้ายของซุนซิ่งฮวา ทั้งที่เต้าฮวยหอมหวานอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ กลับไม่ดื่มแม้แต่หยดเดียว…

ต้องมีความอดทนขนาดไหนกันถึงจะทำได้ขนาดนี้

ไม่นานยายหานก็จูงล่อเข้ามาในเรือน ก่อนจะส่งเชือกจูงให้เด็กหนุ่มพลางเอ่ยขึ้น

“เมื่อครู่แม่เลี้ยงของเจ้าก็มายืมล่อตัวนี้กับข้า แต่เรื่องที่นางส่งน้องสาวของเจ้าให้ผู้อื่นข้าไม่อาจยอมรับได้ จึงจงใจไม่ให้นางยืม ตอนนี้เจ้าเป็นฝ่ายมายืมข้าเอง มีหรือข้าจะไม่ตกปากรับคำ”

เสวี่ยหยวนจิ้งกล่าวขอบคุณนางอย่างเกรงใจ และบอกอีกว่าเมื่อเสร็จงานแล้วจะให้ล่อตัวนี้กินอิ่มก่อนค่อยส่งคืน จากนั้นเขาก็จูงล่อตัวนี้ออกไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะรอเสวี่ยเจียเยว่เลย

เสวี่ยเจียเยว่ทำได้เพียงกล่าวอำลายายหาน ทั้งยังเอ่ยชื่นชม “ท่านยายหาน เต้าฮวยที่ท่านทำช่างอร่อยจริงๆ ทั้งหอมทั้งหวาน อร่อยจนข้าแทบจะกลืนลิ้นตัวเองเข้าไปเลยเจ้าค่ะ”

ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ผู้ใดบ้างจะไม่ชอบฟังคำชื่นชม แม้ยายหานจะไม่ชอบเสวี่ยเจียเยว่ตั้งแต่แรกเพราะไม่ชอบซุนซิ่งฮวา ทว่าเมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยชมเช่นนี้ นางก็ดีใจไม่น้อย พลางพินิจมองคนร่างเล็ก นางพบว่าร่างกายของแม่นางน้อยผู้นี้ล้วนชำระล้างจนสะอาดสะอ้าน เมื่อมองรอยยิ้มบนใบหน้าก็ดูน่ารักน่าเอ็นดูและจริงใจไม่น้อย หน้าตาไม่ละม้ายคล้ายคลึงกับซุนซิ่งฮวาผู้ใจดำคนนั้นสักนิด ในใจจึงอดรู้สึกดีกับแม่นางน้อยขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักพูดประจบสอพลอคนอื่น” นางตำหนิเสวี่ยเจียเยว่ “แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เป็นเพียงเต้าฮวยถ้วยหนึ่งเท่านั้น เจ้าก็พูดอย่างกับมันเป็นอาหารอันโอชะ”

ยังดีที่นางไม่ได้มีท่าทางเย็นชาเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก และรีบกล่าวอย่างนอบน้อม “เช่นนั้นข้าไปก่อนนะเจ้าคะท่านยายหาน วันหน้าข้าจะมาเยี่ยมมาสนทนากับท่านอีก”

เมื่อเดินพ้นประตูเรือน เธอเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนจูงล่อรออยู่ พอเขาเห็นว่าเธอออกมาแล้ว ก็จูงล่อมุ่งหน้าไปตามทางที่จะกลับเรือน

ไม่รู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างเธอกับยายหานหรือไม่ เสวี่ยเจียเยว่มองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ตั้งตรงราวต้นสนก็มิปาน พลางครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ แต่ถึงแม้เขาจะได้ยินแล้วอย่างไร จะห้ามให้เธอพูดจาไพเราะกับผู้อื่นอย่างนั้นหรือ

ตลอดทางก่อนถึงเรือน ระหว่างคนทั้งสองมีล่อตัวหนึ่งขวางกั้นอยู่ และยังไม่ทันก้าวเข้าประตูลานเรือน ก็ได้ยินเสียงตวาดของซุนซิ่งฮวา

“ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าครอบครัวของพวกข้าไม่มีเงิน ส่งเสียให้เขาเรียนไม่ได้ เหตุใดเจ้าถึงยังไม่ยอมไป แล้วยังมาพูดจาไม่รู้เรื่องอยู่ที่นี่อีก!”

หลังจากเสวี่ยเจียเยว่ก้าวเข้าไป ก็เห็นคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนลานเรือน

เสื้อผ้าที่ชาวบ้านสวมล้วนเป็นผ้าป่านเนื้อหยาบ เพื่อให้สะดวกต่อการทำนา ทว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้กลับสวมชุดฉีผาว[1] สีน้ำเงินเข้มทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความรู้

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัดเจน ก็รีบทิ้งเชือกจูงล่อในมือทิ้งทันที และสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว ยกมือประสานคำนับคนผู้นั้นอย่างนอบน้อม ก่อนจะเอ่ยเรียก “ท่านอาจารย์”

เสวี่ยเจียเยว่ถึงได้รู้ว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าคืออาจารย์ในสำนักศึกษาที่เสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียน แต่อาจารย์ผู้นี้มาที่เรือนของเขาทำไม เมื่อนึกถึงประโยคที่ซุนซิ่งฮวาพูดเมื่อครู่นี้… หรือว่าอีกฝ่ายมาตามเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไปเรียนที่สำนักศึกษาด้วยตัวเอง

[1] ชุดฉีผาว คือชุดคอจีนที่คล้ายกี่เพ้าแต่เป็นชุดของผู้ชายสวม