ตอนที่ 23 วันขึ้นปีใหม่

จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นแล้วก็นึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น “ภรรยา นี่คืองานปักผ้าที่คุณกำลังทำอยู่เหรอ?”

“ใช่ค่ะ” ซูตานหงพยักหน้าตอบ เมื่อเห็นว่าสามีของเธออยากสัมผัสมันแต่กลับยั้งมือเอาไว้แบบนั้น เธอจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณจะลองจับดูก็ได้นะคะ แต่เบามือหน่อยนะคะ”

จี้เจี้ยนอวิ๋นไล่นิ้วไปตามลายปักของซูตานหงอย่างเบามือ ซึ่งคุณภาพงานนั้นเขาไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย “ภรรยา ทำไมผมไม่ยักรู้เลยว่าคุณปักผ้าเป็นด้วย?”

“ก็คุณกลับมาแค่กี่วันต่อหนึ่งปีล่ะคะ?” ซูตานหงอ้างกลับทันควัน

จี้เจี้ยนอวิ๋นได้ยินก็หัวเราะแก้เก้อ หลังจากนั้นเขาก็ดูซูตานหงปักผ้าอย่างเงียบ ๆ ท่วงท่าการปักผ้าของภรรยาของเขาช่างดูสวยงาม เงียบสงบ และสุขุมเป็นอย่างมาก ราวกับคนที่ออกมาจากภาพวาด จนเขาได้แต่มองเธอราวกับคนโง่งมคนหนึ่ง

อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงสายตาร้อนแรงของเขา ซูตานหงจึงรู้ตัวและเหลือบมองมาทางเขา เมื่อเห็นเขามีท่าทางเสียอาการ เธอจึงเอ่ยเสียงขุ่นเล็กน้อย “คุณมาทำอะไรตรงนี้คะ?”

“ภรรยา ตอนนี้ผมกลับมาแล้ว คุณพักการปักผ้าไว้ก่อนแล้วเราไปเดินเล่นกันที่ภูเขาดีไหมครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นถามด้วยรอยยิ้ม

“อากาศหนาวแบบนี้ยังจะไปเดินเล่นอีกเหรอคะ?” ซูตานหงมองสามีด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“เวลาแบบนี้สิดี เหมาะมากที่จะไปจับกระต่าย ผมพาคุณไปจับกระต่ายดีไหมครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นกล่าว

ซูตานหงนิ่งคิดไปเล็กน้อย สามีของเธอต้องเดินทางมาไกลกว่าจะถึงบ้าน ในขณะที่การปักลายร้อยวิหคคำนับพญาหงส์สามารถปักเมื่อไรก็ได้และไม่ได้เป็นงานเร่งด่วนอะไร

อันที่จริงเธอไม่ได้มีแผนจะปักผ้าในช่วง 2-3 วันนี้หรอก แต่เป็นเพราะกำลังโมโหกับบ้านใหญ่จี้แล้วกลับมาไม่มีอะไรทำต่างหากจึงได้หาอะไรทำเพื่อไม่ให้ตัวเองคิดฟุ้งซ่าน

“ไปกันเถอะ ขึ้นเขาด้วยกันนะครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นพูดออดอ้อน

ซูตานหงเห็นดังนั้นก็ใจอ่อน เธอจึงเก็บสิ่งของทุกอย่างให้เข้าที่ก่อนจะบอกให้เสี่ยวเฮยเฝ้าบ้านให้ดี หลังจากนั้นก็ลงกลอนประตูและเดินไปสมทบกับจี้เจี้ยนอวิ๋นที่ถือสัมภาระเตรียมขึ้นภูเขาไว้เสร็จสรรพ

วันนี้เป็นวันที่หิมะตก เนื่องจากมันตกติดต่อกันหลายวันจึงมีหิมะทับถมกันเป็นชั้น ๆ ตลอดเส้นทางขึ้นภูเขา แต่ก็ไม่ถือว่าหนักหนาอะไร

เห็นได้ชัดว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นนั้นมีความชำนาญและประสบการณ์ในการล่ามาตั้งแต่เขายังเด็ก เขาวางกับดักมากมายตามที่มีร่องรอยของสัตว์ป่าพวกนี้

“ตอนที่ไม่มีอาหารกิน พวกเราก็เคยขึ้นเขาล่าสัตว์มาก่อนน่ะ” จี้เจี้ยนอวิ๋นเอ่ยพลางยิ้มบาง

ซูตานหงที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทางด้านนี้มาก่อนจึงถามขึ้น “คุณเคยล่าสัตว์ป่าได้ไหมคะ?”

“หากโชคดีก็จะสามารถจับกระต่ายหรือไก่ป่าได้ แต่ถ้าโชคไม่ดีก็ไม่ได้อะไรเลยสักตัว” จี้เจี้ยนอวิ๋นส่ายหน้า เขาตรวจดูทุกย่างก้าวแล้วก็เดินจากไปพร้อมกับภรรยา

ซูตานหงแอบประพรมน้ำพุวิเศษไว้โดยไม่ให้จี้เจี้ยนอวิ๋นสังเกตเห็น หลังจากสังเกตอยู่ระยะหนึ่งเธอถึงรู้ว่าน้ำพุวิเศษก็สามารถดึงดูดสัตว์ได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นเสี่ยวเฮยที่ดื่มน้ำพุวิเศษเข้าไปแล้ว มันจะไม่ยอมดื่มน้ำอื่น ๆ อีกเลย ทุกครั้งที่ชามใส่น้ำของมันว่างเปล่า มันจะคาบชามมาหาซูตานหงเพื่อขอน้ำพุวิเศษเพิ่ม

“เราคงต้องรอนานสักหน่อย พวกเราไปเก็บฟืนกันก่อนเถอะค่ะ” ซูตานหงกล่าว

แม้ซูตานหงจะไม่เคยล่าสัตว์มาก่อน แต่เธอก็รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานในการรอกระต่ายมาติดกับ

ถึงน้ำพุวิเศษจะดึงดูดสัตว์ทั้งหลายได้ แต่สภาพอากาศตอนนี้ก็หนาวเย็นอย่างมาก เธอจึงไม่รู้ว่าจะมีสัตว์ออกมาหากินหรือเปล่า

จี้เจี้ยนอวิ๋นพยักหน้ารับรู้ ตอนนี้ภรรยาของเขาประพฤติตัวดีมาก ไม่ได้ตะกละตะกลามเหมือนเมื่อก่อน เขาเห็นว่าภรรยาได้เก็บสะสมอาหารไว้มากมายที่บ้าน มีทั้งเนื้อหมู เนื้อแกะ และเนื้อวัว แถมยังนำเนื้อพวกนี้มาปรุงอาหารในสารพัดวิธีอีกด้วย

การที่จี้เจี้ยนอวิ๋นพาซูตานหงขึ้นเขาในครั้งนี้เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการมาเดินเล่นสองต่อสองกับภรรยาของเขาเท่านั้น

“คุณอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ซูตานหงถามขณะเก็บไม้ฟืนขึ้นมา

“ดีครับ!” จี้เจี้ยนอวิ๋นตอบ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนต้องการให้ภรรยาไปอยู่ด้วยหลังจากตอบไปแล้ว เขาจึงแก้คำพูดใหม่ “จะว่าไปมันก็ดีอยู่ อาหารการกินก็พอใช้ได้ แต่รสชาติไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วก็…”

หลังจากนั้นเขาก็พรรณนาอีกมากมาย แต่โดยรวมแล้วจับใจความได้ว่าเขาอยู่ไม่ได้หากไม่มีผู้หญิงสักคนมาช่วยดูแล

ซูตานหงไม่รู้สึกสงสัยมากนัก เธอเชื่อในคำพูดของสามีและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเห็นใจ “แล้วฉันจะทำอย่างไรดีคะ?”

“ภรรยา ผมจะเช่าห้องพักที่นั่นสัก 2 ปี คุณสามารถไปที่นั่นได้นะ คุณจะไปกับผมไหมครับ? แต่ว่าที่นั่นไม่สะดวกสบายมากนัก ผมกลัวคุณจะทนอยู่กับสภาพที่นั่นไม่ได้” จี้เจี้ยนอวิ๋นบอก

ซูตานหงเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนเอ่ยออกมา “ขอฉันคิดดูก่อนนะคะ”

ในใจของซูตานหงนั้นอยากจะไปอยู่กับสามีแน่นอนอยู่แล้ว แต่เธอไม่สามารถบอกว่าเห็นด้วยได้เร็วเกินไปนัก มันดูไม่คุ้มต่อการตัดสินใจเลย ดังนั้นค่อย ๆ ตัดสินใจจะดีกว่า ถึงอย่างไรเสียก็ยังเหลือเวลาอีก 2 ปีไม่ใช่หรือ?

จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นดังนั้นก็ดีใจอย่างมากที่ซูตานหงไม่ได้ปฏิเสธแบบหัวเด็ดตีนขาด

ทั้งคู่เก็บฟืนกันเป็นจำนวนมากอย่างมีความสุข ไม่นานนักจี้เจี้ยนอวิ๋นก็มัดฟืนเข้าด้วยกันได้เป็นกองขนาดใหญ่ จากนั้นก็แบกมันขึ้นไว้บนบ่า

ซูตานหงรู้สึกภูมิใจอย่างมากเมื่อมองไปที่ผู้ชายตรงหน้า ดูสิ สามีของเธอทั้งกล้าหาญและแข็งแกร่งขนาดไหน? นอกจากนี้เธอยังรู้มาบ้างว่าสามีของเธอนั้นต่อสู้เก่งเพียงใด แม้แต่เสี่ยวเฮยที่ดุร้ายก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามีเธอเลย อีกทั้งมันยังถูกเขาสยบไว้ได้เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

จี้เจี้ยนอวิ๋นเห็นภรรยามองตนด้วยสายตาเป็นประกายหลงใหลก็ยืดอกอย่างไม่รู้ตัว เมื่อสองสามีภรรยาเดินกลับมาตรงจุดวางกับดักก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เพราะไม่คิดเลยว่าจะมีไก่ฟ้าเข้ามาติด ซึ่งตอนนี้มันกำลังส่งเสียงร้อง

จี้เจี้ยนอวิ๋นตรงเข้าไปบิดคอไก่สองสามที มันก็คอหักแน่นิ่งไป

“ที่บ้านมีเนื้อเยอะแล้ว คุณเอาไก่ฟ้าตัวนี้ไปให้พ่อกับแม่ของคุณเถอะค่ะ” ซูตานหงกล่าว

“เอาไว้กินเองดีกว่า” จีเจี้ยนหยุนส่ายหัวปฏิเสธทันที

ภรรยาของเขาโกรธน้องสาวของเขามาก หากเอาไก่ฟ้าตัวนี้ไปให้พ่อแม่ของเขากินก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเอาไปให้พวกท่าน อวิ๋นอวิ๋นก็จะได้กินด้วย ตราบใดที่ภรรยาของเขายังคิดเรื่องนี้ มันก็ดูจะแปลกถ้าภรรยาของเขาจะไม่รู้สึกโมโหขึ้นมาอีก

แม้จี้เจี้ยนอวิ๋นจะสามารถเกลี้ยกล่อมเธอได้ แต่เขาก็ไม่ต้องการจะสร้างปัญหาขึ้นมาเพียงเพราะไก่ฟ้าตัวเดียว เขารู้นิสัยของน้องสาวเขาดี ที่หล่อนมีนิสัยเป็นเช่นนี้ก็เพราะถูกตามใจจากพี่ชายหลายคน

ซูตานหงไม่ได้พูดอะไรแต่ก็พยักหน้าตกลง จากนั้นทั้งสองจึงเดินกลับบ้านด้วยกัน

ในเมื่อสามีของเธอไม่ต้องการส่งมันไปที่บ้านพ่อแม่ ซูตานหงก็จะตุ๋นมันเพื่อบำรุงกำลังให้กับสามีของเธอก็ได้

ทันทีที่ชาวบ้านพบเห็นทั้งสอง พวกเขาจึงทักขึ้น “ขึ้นเขาไปจับไก่ฟ้ากันมาเหรอ หลายวันนี้ไม่ค่อยมีใครจับพวกมันได้เลย”

ทั้งคู่ช่างโชคดีเหลือเกิน หลายวันมานี้มีหลายคนขึ้นเขาไปดักจับสัตว์ป่าเช่นกัน แต่ก็ต้องเดินคอตกกลับมาด้วยมือเปล่ากันทั้งนั้น

“ผมแค่โชคดีที่บังเอิญจับมันได้เท่านั้นครับ” จี้เจี้ยนอวิ๋นยิ้มตอบ

ทั้งคู่กลับเข้าบ้าน และหลังจากที่จี้เจี้ยนอวิ๋นทำความสะอาดไก่ฟ้าแล้ว ซูตานหงก็จัดการนำมันไปตุ๋นด้วยไฟอ่อน ๆ เธอยัดพุทราจีน เก๋ากี้ และตานเซินลงไปในท้องไก่ นอกจากนี้ยังใช้น้ำพุวิเศษในการตุ๋นอีกด้วย

ไม่ต้องพูดถึงรสชาติเลยว่ามันจะอร่อยแค่ไหน มันแค่ต้องใช้เวลาในการตุ๋นและจะพร้อมกินในตอนเย็นของวันนี้

หลังง่วนอยู่กับการทำงานแล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ที่บ้านตุ๋นไก่เอาไว้โดยใช้ไฟอ่อน จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดไฟไหม้ ซูตานหงจัดแจงแบ่งของว่างแล้วเตรียมซองแดง 4 ซอง จากนั้นจึงไปที่บ้านสกุลจี้พร้อมกับจี้เจี้ยนอวิ๋น

ภายในบ้านสกุลจี้ที่แต่เดิมมีเพียงคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้นั้นมีชีวิตชีวาอย่างมากในทันทีที่วันปีใหม่มาถึง

จี้เจี้ยนกั๋วผู้เป็นพี่ชายคนโตและเฝิงฟางฟางสะใภ้ใหญ่ของบ้านก็มาพร้อมกับโหวหวาจือลูกชายคนโตของพวกเขา

จี้เจี้ยนเยี่ยพี่ชายคนรองพาจี้มู่ตานสะใภ้คนรองพร้อมกับลูกสาวสองคนของเขามาด้วย

ส่วนจี้เจี้ยนเหวินลูกชายคนที่สี่และอวิ๋นลี่ลี่สะใภ้คนที่สี่ที่รีบกลับจากเมืองเจียงสุ่ยได้มาพร้อมกับลูกสาวของพวกเขา

ทั้งครอบครัวดูมีชีวิตชีวาอย่างมากจริง ๆ

ในอดีตซูตานหงเป็นคนที่ไร้ตัวตนมากที่สุดในครอบครัวสกุลจี้ ทว่าปีนี้แตกต่างออกไป

“อาสะใภ้สาม!”

“อาสะใภ้สาม!”

ทันทีที่เห็นซูตานหง โหวหวาจือและลูกสาวสองคนของพี่ชายรองจี้ก็มีความสุขอย่างมาก พวกเขารีบวิ่งมาหาเธอทันที

___________________