ภาคที่ 1 การรุกกลับของศิษย์พี่ บทที่ 11 เตรียมรุกโจมตี

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาหู่มีสีหน้างุนงง เขาแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงในคำสั่งของคุณชาย แต่เขาก็เชื่อฟังทำตามคำสั่งของทุกอย่าง

ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้มีจอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์อยู่ด้วย คุณชายของเขาก็ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่ง อีกทั้งเหตุการณ์ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่าสถานการณ์ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเยี่ยนจ้าวเกอแต่อย่างใด

ศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขากว่างเฉิงเสียเปรียบในตอนแรกเล็กน้อย ทว่าเมื่อเยี่ยจิ่งและซือคงจิงเข้ามา สถานการณ์ถึงได้เปลี่ยนไป

ทั้งสองฝ่ายปะทะกันในปราการมังกร จนสุดท้ายก็เริ่มจริงจังขึ้นมา อาวุธต่างๆ จึงถูกนำออกมาใช้ด้วย

สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และเขากว่างเฉิงอยู่ในระดับเดียวกัน และอาจเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือกว่าด้วย จอมยุทธ์อายุน้อยระดับยุทธ์หลอมกายกล้าเข้ามาฝึกฝนในสถานที่อันตรายอย่างหุบเหวปราการมังกรเช่นนี้ ทั้งพรสวรรค์และความสามารถต้องเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกันแน่นอน

สำนักที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ยอมลงทุนในตัวพวกเขาด้วยเช่นกัน เพราะอย่างน้อยแต่ละคนมีอาวุธติดตัวเป็นอาวุธสงครามคนละหนึ่งชิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่ฝีมือโดดเด่นที่สุดในนั้นก็ยังมีอาวุธวิเศษติดตัวมาด้วย

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีไม่ถึงยี่สิบคน กลับมีอาวุธวิเศษระดับล่างถึงแปดชิ้น เมื่อนำออกมาใช้พร้อมกัน ปราณวิญญาณพลันเกิดเป็นแสงส่องสว่างไปทั่วทุกทิศ

จากนั้น…

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ตะลึงไปในทันที

นั่นเป็นเพราะศิษย์ทั้งสิบหกคนของเขากว่างเฉิงที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาต่างก็ถืออาวุธวิเศษกันคนละหนึ่งชิ้น อีกทั้งบางคนก็ไม่ได้มีเพียงแค่ชิ้นเดียว!

หลังจากการโจมตีอย่างดุเดือดและต่อเนื่องนี้ ก็ทำให้อาวุธวิเศษทั้งแปดชิ้นของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับเป็นเรือเล็กที่โคลงเคลงอยู่กลางมรสุมพายุ อาจถูกซัดจมลงไปได้ทุกเมื่อ

เหล่าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันกระอักเลือด “ถึงแม้ว่าปราการมังกรจะเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แต่เขากว่างเฉิงทุ่มทุนเกินไปหรือไม่ ถึงกับให้อาวุธวิเศษกับศิษย์คนละหนึ่งชิ้น!”

“หรือว่าครั้งนี้ที่พวกเขามาเพราะมีภารกิจพิเศษ แต่หากเป็นภารกิจพิเศษจริง เหตุใดถึงส่งพวกศิษย์ระดับยุทธ์หลอมกายมา”

“คงไม่ได้มาหาเรื่องพวกเราโดยเฉพาะหรอกกระมัง”

“พวกเขามีอาวุธวิเศษมากเกินไป พวกเรามีแต่จะเสียเปรียบ ไปกันเถิด ไว้ชำระแค้นครั้งหน้าก็แล้วกัน!”

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์กึ่งสู้กึ่งถอย ส่วนเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ ต่างก็ไล่ตามอย่างไม่ลดละ

เทียบกับวรยุทธ์ของพวกเขาก่อนหน้านี้แล้ว อาวุธวิเศษช่วยเพิ่มพลังต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด ขนาดที่ว่าศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะหนีก็ยังทำได้ยาก

แม้จะถอยกลับจนถึงบริเวณเขตใจกลางหุบเหวที่พวกเขาตั้งค่ายพักแรมไว้อย่างยากลำบากได้แล้ว ทว่าสุดท้ายก็ถูกศิษย์เขากว่างเฉิงล้อมไว้อีกครั้งจนได้

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่จับภูตแมวแสงไปคนนั้นแสยะยิ้ม พลางกล่าวว่า “เอาสิ พวกเจ้าเขากว่างเฉิงจะสู้กับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์หรือ”

“ภูตแมวแสงตัวนี้เป็นอสูรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของเจ้า ข้าจับได้มันก็ต้องเป็นของข้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมายุ่ง”

ศิษย์หญิงแห่งสำนักเขากว่างเฉิงที่ไล่ตามภูตแมวแสงตะโกนว่า “เจ้าแมวตัวนั้นมันสนิทกับข้า ข้าจะเอามันไปเลี้ยง!”

อีกฝ่ายมีน้ำเสียงฮึดฮัด “บนตัวมันเขียนชื่อเจ้าเอาไว้หรือ”

เด็กสาวโมโห “เจ้า…”

ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์พูดอย่างเย็นชาว่า “เพื่ออสูรตัวเดียว ถึงกับกล้ามาหาเรื่องกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ของเรา เดี๋ยวนี้เขากว่างเฉิงเก่งกล้าขึ้นแล้วสินะ”

“อย่าลืมสิ ว่าใครกันแน่ที่เป็นที่หนึ่งในโลกแปดพิภพนี้! ”

ศิษย์เขากว่างเฉิงพากันขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ พอจะเทียบเคียงกัน แต่ก็ยังมีบางดินแดนที่แข็งแกร่งและอ่อนแอกว่ากันอยู่ หลายปีมานี้สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งมาก แถมยังมีท่าทีแข็งกระด้างและเอาแต่ใจอีกด้วย

ศิษย์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นกล่าวว่า “พวกเจ้าเองก็เป็นศิษย์ของเขากว่างเฉิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่ได้ไม่นานใช่หรือไม่ ทำให้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความบาดหมางกัน พวกเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ”

ซือคงจิงใช้กระบี่น้ำแข็งในมือโบกให้เกิดพายุหิมะถาโถมไปทั่วผืนฟ้า เพื่อสกัดพวกเขาไม่ให้แกว่งไกวอาวุธวิเศษได้ “ถ้าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเกิดความบาดหมางกันอย่างเต็มรูปแบบจริง ศิษย์รุ่นหลังที่มีวรยุทธ์เพียงระดับยุทธ์หลอมกายเช่นข้าคงรับไม่ไหวแน่อยู่แล้ว แต่ที่ข้ารับผิดชอบไหวก็มีแค่กระบี่ในมือเล่มนี้แหละ”

นางดูเหมือนจะยอมแพ้ ทว่าเพียงแค่คำว่าจอมยุทธ์ระดับยุทธ์หลอมกายคำเดียว กลับทำให้อีกฝ่ายรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบขึ้นมา

‘ข้าเป็นศิษย์รุ่นหลังระดับยุทธ์หลอมกายรับผิดชอบภาระนี้ไม่ไหว ทว่าเจ้าก็เช่นกัน เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดอวดดีได้?’

ปกติแล้วการปะทะกันระหว่างศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์และศิษย์เขากว่างเฉิงก็มีไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายแพ้ชนะสลับกันไป นอกจากว่าเป็นเรื่องใหญ่ มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถส่งผลกระทบถึงเบื้องบนได้ง่าย เพราะในสายตาของผู้อาวุโสจะถือว่าเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ของศิษย์รุ่นหลังเท่านั้น

เมื่อประลองแพ้แล้วเสียหน้า อยากจะกู้หน้าคืนก็ต้องใช้วิธีเดียวกัน จึงไม่เกิดสงครามได้ง่ายๆ

เพราะหากสองอำนาจแห่งยุคจะเกิดสงครามเต็มรูปแบบขึ้น อาจจะดึงหลายฝ่ายมาพัวพันได้ ขณะนี้ยังมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นอยู่ด้วย จึงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้ง่ายๆ

ถึงกระนั้นหากเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะดุเดือดรุนแรงมากเช่นกัน

เยี่ยจิ่งยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้าสู้ไม่ได้ เก่งแต่ลับหลังใช่หรือไม่”

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นที่หนึ่งตลอด ศิษย์ภายในสำนักก็มีวรยุทธ์และความสามารถโดดเด่นจริง ทว่าเมื่อออกไปภายนอกกลับอวดเบ่งวางอำนาจและเอาแต่ใจ โดยเฉพาะศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ๆ พวกเขายิ่งไม่มีสัมมาคารวะ จนถึงขนาดไม่เห็นหัวผู้สืบทอดเขากว่างเฉิงและดินแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ อยู่ในสายตา

การปะทะระหว่างศิษย์รุ่นหลังทั้งสองสำนักที่เกิดขึ้นในช่วงไม่นานมานี้ โดยรวมแล้วสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เป็นฝ่ายชนะมากกว่าแพ้ ทว่าตอนนี้กลับตกอยู่ในสภาวะที่เสียเปรียบอย่างมาก ยากที่จะเชื่อจริงๆ

ศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์คนนั้นพูดจาไม่ระวัง ทำให้เยี่ยจิ่งและซือคงจิงจับจุดอ่อนไว้ได้ ทว่าเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “หึ วันนี้พวกเจ้าก็แค่มีอาวุธวิเศษมากกว่า มีปัญญาก็ฝังพวกข้าไว้ในปราการมังกรแห่งนี้ให้หมดเลยสิ มิเช่นนั้นแค้นนี้ต้องได้ชำระกันคราวหลังแน่ คิดหรือว่าแค่อาวุธวิเศษระดับล่างสิบกว่าชิ้น สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จะไม่มีบ้าง”

ศิษย์เขากว่างเฉิงแสยะยิ้ม “ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษ พวกเจ้าเคยชนะพวกข้าแล้วหรือ”

บรรดาศิษย์สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายยิ่งเดือดดาล เพราะตอนที่ยังไม่ได้ใช้อาวุธวิเศษ พวกเขาก็เสียเปรียบเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเมื่อใช้อาวุธวิเศษแล้ว สถานการณ์จะเลวร้ายกว่าเดิม พวกเขาถูกโจมตีจนหมดสภาพ แม้จะหนีก็ยังยากเย็น

ทว่าฝ่ายศิษย์เขากว่างเฉิงกลับสนุกเป็นอย่างมาก “ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณศิษย์พี่เยี่ยน ความรู้สึกที่ได้รุกโจมตีนี่ช่างสะใจยิ่งนัก!”

ขณะที่กำลังกล่าวอยู่นั้น จู่ๆ อาวุธวิเศษในมือเยี่ยจิ่งก็สั่นสะเทือนขึ้น

ไม่เพียงแต่อาวุธวิเศษของเขา อาวุธวิเศษในมือของศิษย์เขากว่างเฉิงทุกคนก็เกิดสั่นสะเทือนขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับกำลังแจ้งเตือนอยู่

วินาทีถัดมา เงาของใครบางคนพลันปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาโดยที่ไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

ทั่วทั้งร่างของคนผู้นั้นมีแสงสีทองส่องสว่างเจิดจ้าราวกับเข็มนับพันหมื่นเล่มแผ่พุ่ง

เมื่อได้รับการกระตุ้นจากแสงสว่างนั้น อาวุธวิเศษของเยี่ยจิ่ง ซือคงจิง และคนอื่นๆ พลันมีปราณวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะสะท้อนกลับเข้าหาผู้ที่ถืออาวุธอยู่

ชั่วพริบตาที่แสงสีทองสว่างวาบ อาวุธวิเศษทั้งสิบหกชิ้นพร้อมกับเจ้าของถูกผลักกระเด็นถอยกลับไป!

แสงสีทองที่เหมือนกับเข็มเรียวแหลมเป็นเล่มๆ นั้นส่งเสียงกระทบแสบแก้วหู ราวกับทองเนื้อแท้เมื่อสัมผัสกับอาวุธวิเศษ

บรรดาศิษย์ของเขากว่างเฉิงรู้สึกเพียงว่า เมื่อแสงที่เหมือนกับเข็มสีทองนั้นทิ่มเบาๆ เลือดลมในกายที่กำลังพลุ่งพล่านพลันหยุดลงในทันทีทันใด วรยุทธ์ที่มีอยู่ทั้งหมดเสมือนกองหิมะที่ถูกแสงแดดสาดส่องจนละลายไปในทันที และยากที่จะคงสภาพเอาไว้ได้

เมื่อแสงนั้นหายไป ชายหนุ่มในชุดสีขาวขอบเสื้อสีทองคนหนึ่งถึงปรากฏต่อหน้าทุกคน

เขายืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ทำอะไร แต่กลับมีพลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายไปทั่วสารทิศ สะกดทุกคนเอาไว้

ชายผู้นี้ทำให้ศิษย์เขากว่างเฉิงอยากจะหนีไปให้ไกล แต่ทำไม่ได้ กลับถูกดูดให้เข้าใกล้เขาขึ้นเรื่อยๆ เสมือนกับเขาเป็นหลุมดำที่มีพลังดึงดูดมหาศาล

อาวุธวิเศษระดับล่างของทุกคนกระเด็นออกจากมือ เวลานี้พวกมันตกอยู่บนพื้น ส่องแสงสว่างวาบอ่อนๆ

บรรดาศิษย์เขากว่างเฉิงอยากเรียกอาวุธวิเศษกลับมา ทว่ามันเอาแต่สั่นอยู่บนพื้น ยากที่จะขยับได้ และถูกฝ่ายตรงข้ามสะกดไว้ได้ทันที

ชายหนุ่มผู้นั้นเอามือทั้งสองไพล่หลังไว้ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเฉยชาว่า “ข้าคือเฉาหยวนหลงแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ ใครคือปรมาจารย์ที่นำพวกเจ้ามาจากเขากว่างในเฉิงครั้งนี้”

…………….