หลังจากนั้นชายวัยกลางคนซึ่งสวมเครื่องแต่งกายหรูหรารออยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามา ก่อนจะเอ่ยทักทายรูลลักอย่างสุภาพอ่อนน้อม

 

“ยินดีที่ได้พบครับโครอีธาน อังเกนัส จากกลุ่มการค้าดิวรักครับ”

 

อังเกนัส

 

ชื่อของตระกูลที่คุ้นเคยทำให้หน้าผากของเครย์ลีบันยับย่น

 

อังเกนัส ตระกูลของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน หรือก็คือตระกูลของเซรัล ภริยาของเบเจอร์

 

เครย์ลีบันนั่งกอดอกนิ่งๆ ไม่พูดอะไร

 

“รูลลักลอมบาร์เดียครับ นั่งลงก่อนแล้วค่อยสนทนากันเถอะ”

 

ขนาดช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่โครอีธานเพียงแค่นั่งลงบนเก้าอี้ เบเจอร์ก็ไม่อาจเก็บซ่อนใบหน้าแดงเถือกได้ ทั้งยังบิดตัวไปมาไม่หยุด

 

“ได้ยินเรื่องราวจากบุตรชายของข้าแล้ว แต่หัวหน้ากลุ่มการค้ามาเล่าแผนการที่วางไว้อีกครั้งเสียหน่อยเป็นเช่นไร?”

 

โครอีธานยืดคอตรงเมื่อได้ยินคำพูดของรูลลัก

 

การอธิบายมันช่างน่าเบื่อเหลือเกิน

 

หลังจากสิ้นสุดการสนทนาอันแสนยาวนาน เครย์ลีบันก็เอ่ยถามเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจถึงใจความสำคัญ

 

“เพราะฉะนั้นก็คือ ท่านอยากจะนำวัตถุดิบสิ่งทอจากตะวันออกเข้ามาทอขาย แต่ตอนนี้กลุ่มการค้าดิวรักไม่มีเส้นทางขนส่งมากพอที่จะเดินทางระยะไกลเช่นนั้น จึงอยากจะขออาศัยการขนส่งของกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียใช่มั้ยครับ”

 

“ครับ เป็นเช่นนั้น”

 

“และก็ต้องการที่จะกู้ยืมเงินทุนจากธนาคารลอมบาร์เดีย เพื่อชำระค่าสิ่งทอด้วยสินะครับ”

 

“ครับ ถ้าหากช่วยได้ก็ขอบคุณมากเลยครับ”

 

“เหอะ”

 

นี่มันพูดพล่ามเรื่องอันใดกัน

 

เครย์ลีบันนวดหน้าผากที่เส้นเลือดขึ้นปูดโปนในขณะที่จ้องเขม็งไปยังเบเจอร์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

 

“อะแฮ่ม”

 

รูลลักเองก็กำลังลูบเครายาว คล้ายว่าจะไม่ค่อยสบายใจนัก

 

“ไม่ใช่ว่าวิธีการนี้ดีมากเลยหรือครับ ท่านพ่อ?”

 

คำพูดของเบเจอร์ผู้โง่เขลาทำเอาเครย์ลีบันรู้สึกโมโหจนแทบระเบิด

 

เห็นได้ชัดเลยว่า ตอนนี้เจ้านี่จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอะไรคือปัญหา

 

“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอรบกวนเป็นเงินก้อนใหญ่ด้วยนะครับ”

 

อีกอย่างอันธพาลจากตระกูลอังเกนัสที่คงไม่มีใครไม่ทราบว่าเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของจักรพรรดินีคนนี้ยังทำตัวราวกับแค่มารับเงินที่เจ้าตัวฝากไว้เท่านั้น ท่าทางดูมั่นอกมั่นใจมากเหลือเกิน

 

แน่นอน ในมุมมองของพวกนั้นคงจะคิดว่ามันเท่าเทียมกันดี

 

อังเกนัสเป็นตระกูลฝั่งมารดาของเจ้าชายลำดับที่หนึ่งอาสทาน่า

 

นี่เป็นเรื่องที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับพวกเชื้อพระวงศ์ บางทีกลุ่มการค้าอาจจะกลายเป็นเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนจักรพรรดินีก็ได้

 

มีเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้นที่เป็นของกลุ่มการค้าดิวรัก สุดท้ายธุรกิจนี้จะดำเนินไปได้ด้วยเงินของลอมบาร์เดีย แต่ถ้าพูดอีกอย่างก็คือ หากมันล้มเหลวก็มีเพียงแค่ลอมบาร์เดียที่ต้องรับมือเพียงฝ่ายเดียว

 

ถ้าหากไม่อยากตั้งตัวเป็นศัตรูกับเชื้อพระวงศ์ พวกเขาก็ไม่สามารถตามทวงนี้กับตระกูลอังเกนัสราวกับเป็นเจ้าหนี้ได้ และเพราะทราบเรื่องนั้นเป็นอย่างดี คนพวกนั้นถึงได้จงใจมาเคาะประตูตระกูลลอมบาร์เดีย

 

พูดง่ายๆ พวกเขาไม่อาจทราบได้เลยว่าต่อไปจะเกิดลมหวนแบบไหนพัดสวนกลับคืนมา และคนที่ไม่ได้รู้ความจริงเรื่องนี้เลยสักนิด ณ ที่แห่งนี้ ก็มีเพียงแค่เบเจอร์ที่นั่งยิ้มอยู่ในตอนนี้เท่านั้น

 

รูลลักเองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่า นี่มันเป็น ‘แผนธุรกิจ’ ที่ไม่เข้าท่าเลยแม้แต่น้อย

 

เครย์ลีบันพยายามข่มอารมณ์โกรธของตัวเอง เพราะเขาเชื่อว่าท่านเจ้าตระกูลจะต้องปฏิเสธออกไปได้อย่างเหมาะสม

 

“…เรื่องนี้ให้เจ้าดูแลก็แล้วกัน เบเจอร์ จัดการให้ดี อย่าให้มีข้อผิดพลาดได้ล่ะ”

 

“ท่านเจ้าตระกูล!”

 

เครย์ลีบันสะดุ้งตกใจจนตะโกนเสียงดัง แต่รูลลักกลับปิดปากแน่นไม่พูดอะไร

 

“ครับ! เชื่อมือข้าได้เลยครับ ท่านพ่อ!”

 

เบเจอร์ตั้งใจจะรีบพาตัวหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรักหนีออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บิดาจะเปลี่ยนคำพูด

 

เครย์ลีบันมองรูลลักที่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาสลับกับเบเจอร์ เขาลุกขึ้นพรวดจากที่นั่งเพราะเห็นว่าปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ได้การแน่ แล้วพูดอย่างหนักแน่น

 

“ดูสินค้าก่อนแล้วค่อยคุยกันอีกทีเถอะครับ”

 

คนที่ตื่นตระหนกกับการแทรกแซงอย่างกะทันหันคือเบเจอร์

 

ทั้งๆ ที่กำลังดีอกดีใจที่เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยดี แล้วจู่ๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน

 

แผนธุรกิจกลุ่มการค้าดิวรักในครั้งนี้ มันคือเชือกทองที่จะช่วยเสริมอำนาจส่วนกลางให้แก่เบเจอร์

 

ในปัจจุบันตระกูลอังเกนัสกำลังเผชิญกับสภาวะการเงินฝืดเคืองเล็กน้อย เขาตั้งใจว่าหากช่วยแก้ปัญหาด้วยธุรกิจคราวนี้ ก็เท่ากับว่าราชวงศ์ได้ติดค้างหนี้อันใหญ่หลวงต่อเขาแล้ว

 

แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของบิดาที่ไม่ได้รับรู้ความคิดของเขาอย่างรวดเร็ว ก็พบว่าท่านกำลังพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนอ

 

เบเจอร์ขึ้นเสียงใส่เครย์ลีบันที่กล้าโปรยขี้เถ้าลงบนข้าวที่หุงสุก

 

“คนที่มีหน้าที่แค่ดูแลพวกเด็กๆ อย่างเจ้ากล้าดียังไงเข้ามาแทรก!”

 

แต่เครย์ลีบันกลับเมินคำพูดของเบเจอร์ สายตาของเขายังคงจดจ่ออยู่ที่รูลลัก

 

“…เรื่องแค่นั้นคงจะไม่ใช่การขอร้องที่ยากเกินไปหรอกใช่มั้ย ว่ายังไง หัวหน้ากลุ่มการค้า”

 

โครอีธานกลอกตาไปมาคล้ายกับว่าตื่นตระหนกไปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าตกลงอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“เอาตามนั้นครับ มีสิ่งทอที่ได้ขนส่งมาบ้างแล้วอยู่กองหนึ่ง แล้วจะนำมาพบอีกครั้งครับ”

 

เพราะต้องมาเสียหน้าอย่างยับเยินต่อหน้าหัวหน้ากลุ่มการค้าดิวรัก ใบหน้าของเบเจอร์จึงขึ้นสีแดงก่ำ และไม่อาจเงยหน้าขึ้นได้ราวกับคนที่ทำความผิด

 

“ขอโทษครับ หัวหน้ากลุ่มการค้าต้องขายหน้าเสียแล้ว”

 

ไอ้โง่นั่น!

 

เครย์ลีบันเสียดท้องไปหมด เพราะพยายามอดกลั้นไม่ให้กรีดเสียงร้องตะโกนออกไปแบบนั้น ดูสภาพอ่อนน้อมถ่อมตนนั่นสิแสดงท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัวต่อแขกที่มาหาเพื่อขอยืมเงินและความช่วยเหลือจากตระกูลลอมบาร์เดียเนี่ยนะ

 

ขนาดสุนัขโง่เขลามันยังรู้เลยว่าจะต้องหงายท้องให้ใครเห็น เจ้านั่นเป็นบุตรชายของรูลลักจริงหรือ เขาอยากจะถามท่านหญิงที่เสียชีวิตไปแล้วเหลือเกิน

 

เครย์ลีบันมองรูลลักที่ยังคงมองบุตรชายคนโตของตัวเองด้วยนัยน์ตาที่ไม่อาจรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่ สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายศีรษะไปมา

 

 

“ใช่ที่นี่หรือเปล่านะ”

 

เธอกำลังยืนอยู่หน้าประตูบานใหญ่

 

ใช้ชีวิตอยู่ในตระกูลลอมบาร์เดียมากว่ายี่สิบปี แต่นี่คือห้องที่เธอไม่เคยเข้าไปเลยแม้แต่ครั้งเดียว

 

เมื่อสมัยที่เธอเรียนหนังสือ มันไม่ใช่สถานที่ที่อยู่ใกล้กับห้องทำงานของเจ้าตระกูลแบบนี้ พวกเธอใช้ห้องศึกษาวิจัยของสำนักศึกษาที่อยู่ในอาคารทางฝั่งเหนือ

 

“ที่นี่ถูกต้องแล้วนั่นแหละ”

 

เธอยักไหล่ไม่ยี่หระ ผลักประตูบานใหญ่ออกเต็มแรง

 

ประตูถูกเปิดออกอย่างนุ่มนวลไม่ส่งเสียงใดให้ระคายหู เผยให้เห็นโฉมของห้องด้านใน

 

“เห?”

 

เธอนึกว่าจะเป็นห้องเรียนทั่วไปที่วางโต๊ะกับเก้าอี้เสียอีก เพราะบรรยากาศห้องเรียนเมื่อสมัยที่เธอเข้าคลาสเรียนมันเป็นแบบนั้นจริงๆ

 

แต่ภาพที่เธอได้เห็นหลังจากเข้ามาข้างในนี่ มันแตกต่างจากห้องเรียนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง

 

ในพื้นที่ขนาดใหญ่มีแสงอาทิตย์อบอุ่นสาดส่องไปทั่ว พรมใต้เท้าเองก็นุ่มเสียจนอยากจะกลิ้งตัวลงไปนอนมันเสียตอนนี้เลย โซฟาตัวเล็กตัวใหญ่ที่มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าคงนั่งแล้วสบายน่าดูถูกวางอยู่ทั่วห้อง ยังมีเครื่องดนตรีกับตุ๊กตาน่ารักน่าชังวางประดับอยู่ประปรายอีกด้วย

 

ของที่ดูแล้วสมกับเป็นเครื่องใช้ในห้องเรียนก็มีแค่กระดานขนาดใหญ่ กับหนังสือที่วางอยู่เต็มผนังกำแพงด้านหนึ่งเท่านั้นเอง

 

และยังมีบุคคลตัวเล็กทั้งหลายที่ครอบครองพื้นที่แห่งนั้นอย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับตัวเองเป็นเจ้าของห้องอยู่ด้วย

 

ดูเหมือนจะได้ยินเสียงเธอเดินเข้ามา ทุกคนถึงได้กำลังจ้องมองเธออยู่ แต่ท่าทางของแต่ละคนกลับดูแตกต่างกันไป

 

เบเลซักนอนอยู่บนโซฟาตัวที่กว้างที่สุด และกำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง

 

ใกล้ๆ กันมีลาลาเน่ พี่สาวของเบเลซักที่อ่านหนังสืออยู่มุมหนึ่งซึ่งวางตุ๊กตาตัวใหญ่เอาไว้

 

ส่วนคนที่กำลังนั่งคร่อมอยู่บนขอบหน้าต่างที่แสงแดดส่องเข้ามา และมองเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉยก็คือ ลูกชายฝาแฝดของป้าชานาเนส คิลลีวูกับเมโลน

 

พวกเขาคือสายเลือดของลอมบาร์เดีย เหล่าลูกพี่ลูกน้องของเธอ