บทที่ 10

 

 

“อะไรกัน? เจ้ามาที่นี่ทำไม”

 

เบเลซักลุกพรวดขึ้นจากโซฟาที่นอนอยู่พลางร้องตะโกน ช่างเป็นเสียงที่ทรงพลังเสียจริง

 

ถึงอีกฝ่ายจะดูตกใจมากทีเดียว แต่เธอไม่คิดที่จะตอบเขาหรอก

 

“…ฟีเรนเทีย?”

 

ได้ยินเสียงแผ่วเบาที่เบามากเสียจนถ้าหากห้องไม่ได้เงียบสนิท ก็คงพลาดไม่ได้ยินไปแล้ว

 

เจ้าของเสียงคือ ลาลาเน่ที่ชะเง้อคอมองเธออยู่ใกล้ๆ กับเบเลซัก

 

“อา..”

 

ฟีเรนเทียเองก็ตกใจจนเผลอหยุดชะงักไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกัน

 

เธอไม่ได้พบลาลาเน่มานานมากแล้ว

 

ลาลาเน่ผู้แสนอ่อนแอและละเอียดอ่อนเหมือนดอกไม้บอบบาง จนถึงกับสงสัยว่าถูกคลอดออกมาจากท้องเดียวกันกับเจ้าเบเลซักนั่นแน่หรือเปล่า

 

ทันทีที่บรรลุนิติภาวะ หญิงสาวต้องแต่งงานกับผู้ชายที่อายุห่างกับตัวเองค่อนข้างมากด้วยการจัดการของจักรพรรดินี

 

ทุกคนต่างก็กล่าวว่ามันเป็นการแต่งงานทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ

 

ถึงแม้ว่าขุนนางคนนั้นจะอายุค่อนข้างมาก แต่เขาก็เป็นวีรบุรุษที่เคยต่อสู้ในสนามรบอย่างกล้าหาญ ทั้งอีกไม่นานก็จะได้รับสืบทอดตำแหน่งจากบิดา ดังนั้นทุกคนถึงได้บอกว่าเป็นโชคดีของลาลาเน่ผู้แสนธรรมดาและไม่มีอะไรดีนอกจากเป็นสายเลือดของลอมบาร์เดียแล้ว

 

ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าดอกไม้ดอกนี้ หลังจากที่ย้ายไปอาศัยอยู่ในเขตแดนที่อยู่ในเขตการปกครองของจักรพรรดิโดยตรงกับสามีนั้น จะร่วงโรยเหี่ยวเฉาและโรยราไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้

 

หลังจากนั้นถึงได้รู้ว่า คนที่เป็นสามีของลาลาเน่คนนั้น เขาไม่ใช่คนรักครอบครัวขนาดโอบกอดภริยาสาวอายุน้อยด้วยความรักใคร่ ส่วนพวกผู้ดูแลรับใช้ในบ้านหลังนั้น ก็ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการเมินเฉยและละเลยลาลาเน่

 

ตอนที่ลาลาเน่ขอความช่วยเหลือจากบ้านเก่าของตัวเอง ก็เป็นหลังจากที่เบเจอร์ลงมือทำธุรกิจต่างๆ ร่วมกันกับลูกเขยไปแล้ว คำตอบที่ได้รับกลับมาจากบิดามารดาที่นางเชื่อใจจึงมีเพียงแค่ ‘เจ้าจงทำตัวให้ดีเสีย’ เท่านั้น

 

ลาลาเน่จึงร่วงโรยไปเช่นนั้น ผ่านไปไม่นานก็กลับคืนสู่ผืนดิน

 

ทั้งๆ ที่ยังอายุน้อยมากเหลือเกิน

 

ภาพของลาลาเน่ที่เธอได้พบครั้งสุดท้าย คือภาพตอนที่นางร้องห่มร้องไห้หลังจากงานแต่งงานจบลง บอกว่าไม่อยากไปจากลอมบาร์เดีย

 

“เจ้าเองก็เข้าเรียนด้วยเหรอ”

 

อายุมากกว่าเธอห้าปี แต่ภาพของเด็กที่ยังคงกอดตุ๊กตาตัวใหญ่แน่นดูแล้วช่างแสนงดงาม สมกับที่เป็นคุณหนูตัวน้อยของตระกูลชั้นสูงจริงๆ

 

“อื้อ ตั้งแต่วันนี้จะมาเรียนแล้วละ”

 

เธอพยักหน้าตอบคำถามของลาลาเน่

 

เบเลซักฉุนเฉียว ท่าทางจะโมโหที่เธอตอบคำถามลาลาเน่โดยเมินเฉยคำถามของเจ้าตัว

 

“โกหก!”

 

เด็กชายสาวเท้าพรวดเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางราวกับจะลงไม้ลงมือทำอะไรเธอ แต่สุดท้ายก็ทำได้แค่เห่าอยู่ไกลๆ เหมือนเคย

 

“โกหก! เรียนร่วมกันกับคนอย่างเจ้าเนี่ยนะ”

 

ท่าทางของเด็กชายที่ทำตัวเช่นนี้ ก็ทำให้ฟีเรนเทียมั่นใจมากขึ้นไปอีก เบเลซักคงจะโดนตีน้อยไปแล้วละมั้งเนี่ย

 

ต้องให้เธอลงมือสั่งสอนอีกหลายครั้งหน่อยใช่มั้ย ปากที่เรียนแต่เรื่องแย่ๆ มาจากพวกผู้ใหญ่นั่นถึงจะสงบเสงี่ยมลงบ้างน่ะ

 

“คนอย่างข้ามันทำไม”

 

เธอตั้งใจถามยั่วยุ

 

“คนอย่างเจ้า! ชั้นต่ำ…”

 

“บอกท่านปู่ดีมั้ยนะ”

 

ทันทีที่คำว่า ‘ท่านปู่’ ดังออกมา เบเลซักก็สะดุ้งเฮือกปิดปากเงียบ

 

“ครั้งก่อนท่านปู่ก็ดุว่าห้ามเรียกข้าว่าชั้นต่ำอีกครั้ง นี่ตอนนี้จะละเมิดคำสั่งอย่างนั้นเหรอ”

 

เธอได้ยินผ่านทางท่านพ่อว่าท่านปู่เรียกเบเลซักไปดุเสียยกใหญ่

 

“เบเลซัก”

 

เธอก้าวเท้าเดินเข้าไปหาเบเลซักโดยจงใจทำสีหน้ายิ้มเหี้ยม

 

“ตรงนี้หนังสือเยอะดีจังเลยเนอะ ว่ามั้ย”

 

“อือ…”

 

เบเลซักหวาดกลัวหลังจากที่เห็นหนังสือวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด

 

ใช่แล้วละทั้งหมดนั่นเมื่ออยู่ในมือเธอก็เป็นอาวุธได้ทั้งนั้น ไอ้สุนัขนี่

 

เธอโยนระเบิดลูกสุดท้ายออกไปเป็นการทิ้งทวนให้แก่เบเลซักที่อ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก

 

“ไปบอกท่านปู่ตอนนี้เลยดีมั้ยน้า”

 

“ฮะ ฮึ่ย!”

 

หมอนั่นเงอะงะถอยไปข้างหลังด้วยใบหน้าบูดบึ้งและสุดท้ายก็หันขวับ กระทืบเท้าปึงปัง เดินกลับไปยังโซฟาที่ตัวเองนอนอยู่

 

อา แน่นอนว่าไม่ลืมระบายความโกรธที่เอาชนะเธอไม่ได้ด้วยการใช้เท้าเตะตุ๊กตาไร้ความผิดที่วางอยู่ใกล้ๆ ด้วย

 

ใช่แล้ว นิสัยนั่น แก้ยังไงก็แก้ไม่หายหรอก

 

ฟีเรนเทียถอนหายใจแผ่วเบา ยังไงก็รู้สึกโล่งใจนิดหน่อยที่จัดการสุนัขที่คิดจะวิ่งกระโจนเข้าใส่ได้อย่างปลอดภัย

 

แล้วก็พลันรู้สึกได้ถึงสายตาดุเดือดที่มองจ้องมาจนทำให้ใบหน้าด้านข้างร้อนผ่าว

 

เจ้าของสายตาที่ว่าก็คือคิลลีวูกับเมโลนที่นั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่างนั่นเอง

 

สองคนนั้นปีนี้อายุครบสิบเอ็ดขวบ พวกเขาเป็นลูกชายของป้าชานาเนสที่อายุมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของท่านพ่อ

 

“หืม?”

 

ทำไมถึงได้มองเธอแบบนั้นกันล่ะ

 

ฟีเรนเทียพลันตื่นตระหนกเล็กน้อย เพราะแท้จริงแล้วในบรรดาลูกพี่ลูกน้อง คนที่เธอไม่มีข้อมูลมากที่สุดก็คือสองคนนี้นี่แหละ

 

ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะแฝดหน้าตางดงามเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยนคู่นี้ ทั้งคู่มีนิสัยไม่สนใจคนรอบข้าง เอาแต่จมอยู่กับโลกของตัวเองถ้าหากลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ยกเว้นลาลาเน่ต่างก็เมินเฉยเธอ เด็กพวกนี้ก็เรียกได้ว่าไม่มีความสนใจอะไรเลยดีกว่า

 

ขนาดเห็นเธอร้องไห้งอแงที่ถูกกลั่นแกล้ง พวกเขาก็แค่เดินผ่านไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่นิดเดียว ไร้ซึ่งความสนใจไยดีใดๆ ขนาดนั้น

 

อีกอย่างหลังจากที่ชานาเนสหย่าร้างกับสามี ทั้งคู่ก็ติดตามบิดาของตัวเองกลับตระกูลชูลส์ และแทบไม่ได้แวะเวียนกลับมาอีก และหลังจากเลิกใช้นามสกุลลอมบาร์เดีย หลังจากที่กลายเป็นคิลลีวู ชูลส์ กับเมโลน ชูลส์ ก็ยิ่งขาดการติดต่อกันเข้าไปใหญ่

 

รู้สึกว่าจะมีชื่อเสียงในสังคมด้วยหน้าตาหล่อเหลา และตำแหน่งอัศวินอายุน้อย แต่สำหรับเธอที่มัวแต่ยุ่งอยู่กับการทำงาน มันเป็นเรื่องราวเหมือนกับอยู่กันคนละโลก

 

“ฟีเรนเทีย”

 

ทั้งสองคนพูดพร้อมกันราวกับนัดกันมาล่วงหน้า

 

“ได้ข่าวว่าตีเบเลซัก?”

 

“แถมยังชนะด้วย?”

 

แต่มันมีอะไรแปลกๆ ไปหน่อยนะ

 

ดูเหมือนใบหน้าของเมโลนกับคิลลีวูที่มักจะทำหน้านิ่งเป็นประจำจะดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา แถมทั้งสองคนยังกำลังยิ้มจางอยู่ด้วย

 

เด็กพวกนี้เป็นอะไรกันเนี่ย น่ากลัวชะมัด

 

เธอตัดสินใจแล้วว่าจะเลือกใช้กลยุทธ์ล่าถอย จึงเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ใกล้ริมหน้าต่างฟากตรงข้ามเบเลซัก

 

คงเป็นเพราะคนที่ใช้ห้องนี้ส่วนใหญ่มีแต่เด็กๆ เก้าอี้จึงค่อนข้างเตี้ย แม้ไม่ต้องปีนป่ายก็สามารถขึ้นไปนั่งได้สบาย จุดนี้ค่อนข้างถูกใจเธอมากเหมือนกัน