“ถ้านางเข้ารอบชิงชนะเลิศได้ ข้าจะยอมเรียกนางว่านายหญิงเลยเอ้า”

ใกล้ถึงเวลาเข้าเรียนและเริ่มมีผู้คนจำนวนมากทยอยเข้ามาในสำนักศึกษา แต่ละคนพากันหัวเราะครื้นเครงยกใหญ่และมองนางด้วยสายตาดูถูก

องค์หญิงตังตังเสด็จมาอย่างโดดเด่นเหมือนเดือนเด่นที่มีดาวรายล้อม ที่ด้านหลังมีกู้ชูหลาน กู้ชูอวิ๋นและคนอื่นๆ ตามมา

นางพูดกระทบกระเทียบว่า “คนบางคนน่ะ แม้แต่ความสามารถของตัวเองยังประเมินไม่ได้ ยังคิดว่าตนเองมีโอกาสจะชนะ ไม่รู้จักประมาณกำลังตัวเองเสียเลย”

“โอ๊ะ นั่นไม่ใช่พระราชนัดดาของข้าหรือ เร็วเข้า ท่านมาเมื่อพนันข้างเสด็จอาใช่ไหมล่ะ”

“เสด็จอาอะไรกัน เจ้านะหรือคู่ควรจะมาเป็นเสด็จอาของข้า”

“อา… แปลกจริง หรือว่าท่านเทพแห่งสงครามไม่ใช่เสด็จอาของท่าน เอางั้นก็ได้ ในเมื่อท่านเทพแห่งสงครามไม่คู่ควรจะเป็นเสด็จอาของท่าน เช่นนั้นก็นึกเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน”

องค์หญิงตังตังนึกเกรี้ยวกราดอยู่ในใจ “ข้ากำลังพูดถึงเจ้า มันเกี่ยวอะไรกับเสด็จอาของข้า”

“ในเมื่อข้าเป็นคู่หมั้นของเขาก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับเขาซี ถ้าข้าไม่คู่ควรเช่นนั้นเขาจะคู่ควรได้อย่างไร ท่านไม่ต้องห่วง ไว้ข้าเจอเขาเมื่อใด ข้าจะบอกเขาไปตามความจริงว่าองค์หญิงตังตังบอกต่อหน้าธารกำนัลว่าเขาไม่คู่ควรจะเป็นเสด็จอา”

องค์หญิงตังตังกระอักเลือด เหตุใดจึงไม่มีใครบอกนางว่าฝีปากของกู้ชูหน่วนร้ายกาจขนาดนี้

เมื่อวานก็ตบหน้านางต่อหน้าธารกำนัลจนทำให้นางต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ตอนนี้ยังมาทำให้นางอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายอีก ถ้ายังทนน้ำเสียงเช่นนี้ได้ นางก็ไม่ใช่องค์หญิงตังตังแล้ว

ขณะที่กำลังโกรธอยู่นั้น นางกลับเห็นกู้ชูหน่วนยิ้มกริ่มและเอ่ยว่า

“องค์หญิง เหตุใดเราไม่มาพนันกันดูล่ะ หากข้าแพ้ ท่านจะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้”

องค์หญิงตังตังกลอกตาไปมาและเอ่ยอย่างไม่ชอบใจ “พนันอะไร”

“น่ะ ก็แค่พนันว่าข้าจะเข้ารอบชิงชนะเลิศได้หรือไม่เท่านั้น”

“เจ้าจะพนันว่าตัวเองแพ้งั้นรึ”

“ต้องพนันว่าชนะแน่นอนอยู่แล้ว”

“ก็ได้ ข้าจะพนันกับเจ้า ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะให้เจ้ามาเป็นทาสรับใช้ข้าไปตลอดชีวิต มาทำทุกอย่างให้ข้าและห้ามโต้แย้งใดๆ” องค์หญิงตังตังยิ้มอย่างลำพองใจ

เสด็จพี่ช่วยนาง เสด็จแม่ก็ช่วยนาง ทั้งยังคอยเตือนตลอดว่าอย่าไปหาเรื่องกู้ชูหน่วน นางกำลังกังวลอยู่เลยที่หาทางจัดการกู้ชูหน่วนไม่ได้ แต่ตอนนี้กู้ชูหน่วนกลับมาให้โอกาสเองถึงที่ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้

กู้ชูหน่วนโยนหญ้าหางหมาจิ้งจอกในปากทิ้งและตอบรับโดยไม่ต้องคิด “เอาซี เช่นนั้นถ้าข้าชนะ ท่านต้องจ่ายให้ข้าหนึ่งล้านตำลึง”

ผ่าง…

เงินหนึ่งล้านตำลึง…

นางเองก็ออกปากไปแล้ว เหตุใดจึงจะไม่คว้ามันไว้ล่ะ?

องค์หญิงตังตังสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ชัดเจนเลยว่ากู้ชูหน่วนกำลังคิดจะปล้น

หลิ่วเย่ว์และคนอื่นๆ ดึงชายเสื้อนางแล้วกระซิบว่า “พี่ใหญ่ เราอย่าสร้างปัญหาจะได้ไหม องค์หญิงตังตังขึ้นชื่อเรื่องความดื้อด้าน ถ้าท่านตกอยู่ในกำมือของพระองค์ท่านจะต้องตายทั้งเป็นแน่ๆ”

“ใช่แล้ว ถึงแม้เงินหนึ่งล้านตำลึงจะน่าดึงดูดใจมาก แต่เงินมากขนาดนั้นเราคงใช้ไม่หมด”

องค์หญิงตังตังชักสีหน้าและตำหนิอย่างโมโหว่า “นี่ เจ้าบอกว่าใครดื้อด้าน มาดูกันสิว่าข้าจะสั่งสอนเจ้าอย่างไร”

กู้ชูหน่วนยืนอยู่ข้างหน้าหลิ่วเย่ว์ นางกลับไปพูดถึงหัวข้อสนทนาก่อนหน้าด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้ม “ทำไมรึ… หรือว่าองค์หญิงไม่กล้าพนัน”

“องค์หญิงอย่างข้ามีหรือจะไม่กล้าพนัน เจ้าอยากรนหาที่ตาย ข้าก็จะเอากับเจ้าด้วย ข้าจะพนันกับเจ้า”

“ตกลง ลมปากใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ เรามาเขียนคำลงนามเป็นหลักฐานกันเถิด”

กู้ชูหลานข่มกลั้นลมหายใจ กัดฟันกรอดจ้องมองกู้ชูหน่วนด้วยความเกลียดชัง

ตอนนี้มีโอกาสลงโทษนางแล้ว อย่างแรกคือไปหยิบเครื่องเขียนมา

กู้ชูอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อยและเกลี้ยกล่อมว่า “องค์หญิงโปรดระวังนะเพคะ หนึ่งล้านตำลึงนั้นมากเกินไป ถ้าหาก…”

นางยังพูดไม่ทันจบกู้ชูหลานก็หันหลังกลับมามองอย่างแค้นๆ

“พี่รอง พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก หรือว่าท่านคิดว่าคนหัวขี้เลื่อยอย่างกู้ชูหน่วนจะเข้ารอบชิงชนะเลิศได้? ถ้าอยากเข้ารอบชิงชนะเลิศ จะต้องชนะคนเก่งจากทั่วทั้งรัฐจึงจะเข้าไปเป็นสามอันดับแรกได้นะ”