ตอนที่ 40 ความจู้จี้ของพญายม (2) + ตอนที่ 41 เล่อเหยาเหยาลงครัว

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 40 ความจู้จี้ของพญายม (2)

เกือบจะทุกวันที่เธอไปกินข้าวที่ร้านอาหารเสฉวนกับเพื่อนร่วมหอพัก

โชคดีเธอเป็นคนที่กินอย่างไรล้วนไม่อ้วน ไม่งั้นนักกินตัวยงเช่นเธอต้องกินจนอ้วนฉุอย่างแน่นอน

ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดในใจ กลิ่นรสของความเปรี้ยวเผ็ดนั้นยิ่งเข้ามาใกล้เธอเรื่อยๆ พร้อมเงาร่างที่คุ้นเคยพลันปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเล่อเหยาเหยา

เห็นเพียงคนที่ถืออาหารหลากหลายชนิดตามหลังหัวหน้าขันทีลี่เข้ามา คือพี่ใหญ่หลี่ที่ให้น่องไก่ตุ๋นกับเธอเมื่อวาน และยังมีเสี่ยวมู่จื่อด้วย

หลังมองเห็นเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยากจึงนึกขึ้นได้ว่าเสี่ยวมู่จื่อคล้ายบอกกับตนว่าวันนี้ทำงานในห้องครัว และหลังจากที่เสี่ยวมู่จื่อเข้ามา เห็นชัดว่ามองเห็นเล่อเหยาเหยาเช่นกัน

ทว่าเสี่ยวมู่จื่อเพียงลอบมองเล่อเหยาเหยาแวบเดียว ก่อนพลันดึงสายตากลับมาเช่นเดิม ก้มศีรษะลง เดินเข้าไปด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความนอบน้อบแต่แฝงด้วยความระมัดระวัง หลังย้ายอาหารบนโต๊ะทั้งหมดลงอย่างเบามือ จึงเปลี่ยนอาหารชุดใหม่ขึ้นมา

เห็นเพียงครั้งนี้ ห้องครัวทำปลาไนต้มผักดองเสฉวนขึ้นมา

ปลาไนต้มผักดองเสฉวนจานใหญ่นั้นสีสันฉูดฉาด ด้านบนยังส่งกลิ่นหอมโชยมา ผ่านไปไม่นานกลิ่นเปรี้ยวเผ็ดที่หอมหวนนั้น ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้อง

เล่อเหยาเหยาที่หิวมากอยู่แล้ว ท้องจึงส่งเสียงร้องดังออกมาไม่หยุด

ทว่าตอนนี้เธอเป็นบ่าวรับใช้ มีสถานะเพียงแค่มองดูด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว ต้องอดกลั้นเอาไว้ก่อน รอให้ถึงมื้อกลางวันค่อยกินให้หนำใจ!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาคิดในใจอยู่ จมูกกลับพยายามดมกลิ่นไม่หยุด คล้ายว่าเพียงดมกลิ่นหอมนั้น จะสามารถขจัดความหิวได้

เมื่อเทียบกับเล่อเหยาเหยา ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังผู้ใต้บังคับบัญชาเปลี่ยนอาหารชุดใหม่ สายตาเย็นชาดำขลับคู่นั้นเพียงกวาดตามองปลาไนต้มผักดองเสฉวนบนโต๊ะแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นค่อยๆ หยิบตะเกียบคีบเนื้อปลาขึ้นมา ก่อนจะนำเข้าปากเคี้ยวอย่างช้าๆ

ท่าทางการกินของชายหนุ่ม คล้ายกับฝึกฝนในกระจกมาเป็นพันรอบ ทุกท่วงท่าล้วนสง่างามอย่างมาก เล่อเหยาเหยาที่ยืนอยู่ด้านข้างจึงมองด้วยสายตาที่เคลิบเคลิ้ม

เมื่อเปรียบเทียบกับความเคลิบเคลิ้มของเล่อเหยาเหยา ทุกคนที่อยู่ด้านข้างมองตามท่าทางการกินอาหารของชายหนุ่ม ในใจล้วนอกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา

โดยเฉพาะพ่อครัวหลี่ที่ตอนนี้ได้ตกใจจนเหงื่อไหลท่วมไปทั้งตัวแล้ว

ว่ากันจริงๆ แล้วเพียงประโยคเดียวของท่านอ๋อง สามารถตัดสินการจะไปหรืออยู่ของเขาได้

แม้การทำงานในตำหนักอ๋อง ทุกเวลาล้วนต้องตื่นตัวอย่างยิ่ง ทำเรื่องใดล้วนต้องระมัดระวัง แต่ค่าตอบแทนที่นี่กลับสูงกว่าด้านนอกยิ่งนัก

เขาไม่ง่ายเลยกว่าจะเข้าตำหนักอ๋องได้ และยังต้องอาศัยเงินเดือนสูงที่ดีนี้เลี้ยงดูคนแก่และเด็กในครอบครัว ถ้าครั้งนี้ท่านอ๋องไม่พอใจอาหารของเขา เขาต้องเก็บสัมภาระลาออกไป

ขณะที่พ่อครัวหลี่วิตกกังวลอยู่นั้น ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังเคี้ยวเนื้อปลาชิ้นนั้นแล้ว บนใบหน้าหล่อเหลาอันแสนเย็นชานั้นยังไร้ความรู้สึกเช่นเดิม ทว่ากลับวางตะเกียบหยกในมือลง

“นำออกไปให้หมด!”

ประโยคเดียวที่บางเบา จึงคล้ายเป็นคำสั่งประหารพ่อครัวหลี่ หลังเสียง ‘ตุ้บ’ ดังขึ้นจึงเห็นเพียงร่างท้วมของพ่อครัวหลี่ทรุดลงกับพื้น

บนใบหน้ากลมที่ยิ้มแย้ม ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยมืดคล้ำ

ทว่าเพียงพริบตาเดียวที่เขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา ทันใดนั้นจึงเห็นว่าพ่อครัวหลี่คล้ายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ทั่วร่างจึงเหมือนโดนฉีดเลือดไก่ เข้าไปคุกเข่าตรงหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ก่อนที่จะเอ่ยอ้อนวอนไม่หยุด

“ท่านอ๋อง ให้โอกาสบ่าวอีกครั้งด้วยเถอะขอรับ ครานี้บ่าวจะต้องทำอาหารที่ถูกปากท่านอ๋องแน่นอนขอรับ!”

พ่อครัวหลี่โขกศีรษะอ้อนวอนไม่หยุด เล่อเหยาเหยาจึงเห็นว่าบนหน้าผากของเขาปรากฏรอยเลือดขึ้นมา เขาคล้ายล้วนไม่ใส่ใจ ทว่าในใจของเล่อเหยาเหยาเข้าใจถึงความทุกข์ยากของพ่อครัวหลี่เป็นอย่างดี

เพราะเสี่ยวมู่จื่อเคยพูดไว้ว่าเมื่อเดือนที่แล้วพ่อครัวหลี่เพิ่งได้ลูกชาย อีกทั้งค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวล้วนเป็นพ่อครัวหลี่แบกรับเอาไว้บนบ่า ถ้าพ่อบ้านหลี่ไม่ได้ทำงานในตำหนักอ๋องแห่งนี้ คนในบ้านทั้งเด็กผู้ใหญ่คงหิวตายเป็นแน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงอดที่จะสงสารพ่อครัวหลี่ขึ้นมาไม่ได้

…………………………………………………………………..

ตอนที่ 41 เล่อเหยาเหยาลงครัว

ว่ากันจริงๆ แล้วแม้เธอข้ามเวลามาเข้าอยู่ในร่างนี้อย่างยากจนข้นแค้น ทว่าอย่างน้อยตอนนี้เธอเพียงต้องห่วงปากท้องของตนเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องของคนในบ้าน

ขณะที่คิดในใจ สายตาเล่อเหยาเหยาอดที่จะมองชายหนุ่มที่อยู่บนโต๊ะข้างหน้าไม่ได้

ชุดผ้าไหมที่ปักดิ้นด้วยด้ายสีทองและเงิน ทำให้เขาดูสูงส่งยิ่งขึ้น

ผมยาวที่ปักด้วยปิ่นหยก ใบหน้านั้นเป็นกระจับเด่นชัด เผยให้เห็นท่าทางอันไร้เหตุผลออกมา

แม้เขาจะเพียงนั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น ทว่าความใจกว้างดังเทพเซียนที่แผ่กระจายออกมาจากตัวเขาโดยธรรมชาตินั้น ทำให้ผู้คนมองข้ามไม่ได้!

เห็นเพียงขณะที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำอ้อนวอนของพ่อครัวหลี่ คิ้วจึงขมวดขึ้นเล็กน้อย ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เพราะเขาไม่ชอบให้คนอื่นฝืนคำสั่งของเขา อีกทั้งคำพูดของเขาแต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นหนึ่งไม่มีสอง

ดูจากท่าทางนั้น ครั้งนี้พ่อครัวหลี่ต้องจากไปอย่างแน่นอน

เมื่อกลัวพ่อครัวหลี่จะทำอะไรให้ท่านอ๋องโมโหอีกครั้ง หัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้างจึงเดินเข้ามา คิดที่จะดึงพ่อครัวออกมา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้กลับมีเงาร่างเล็กๆ สีน้ำเงินพุ่งเข้ามาที่ด้านหน้าของพ่อครัวหลี่อย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า

“ท่านอ๋อง ได้โปรดให้โอกาสบ่าวอีกครั้งด้วยขอรับ บ่าวต้องทำอาหารออกมาให้ท่านพอใจแน่นอน ถ้าท่านอ๋องพอใจ ได้โปรดให้พ่อครัวหลี่อยู่ต่อด้วยขอรับ!”

เมื่อน้ำเสียงใสกังวานดังขึ้น สายตาของทุกคนจึงมองไปที่ร่างกายที่บอบบางนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน

เห็นเพียงขณะนี้สีหน้าของเล่อเหยาเหยาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ยืนอยู่ตรงหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างไม่มีความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงนั้นกังวานไพเราะและเปี่ยมด้วยความจริงจัง

ประโยคนั้นของเล่อเหยาเหยา ทำให้ทั่วห้องโถงพลันเงียบสนิทราวอยู่ในป่าช้า

พ่อครัวหลี่จึงตกตะลึงทันที สายตาที่มองยังเล่อเหยาเหยาจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งที่หาที่เปรียบมิได้

“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าไม่จำเป็นต้อง…”

พ่อครัวเอ่ยพูดยังไม่จบ เล่อเหยาเหยากลับเอ่ยแทรกขึ้นหยุดคำพูดของเขา ก่อนที่จะเอ่ยอ้อนวอนกับชายหนุ่มสูงศักดิ์ตรงหน้าอย่างไม่ลดละ

“ท่านอ๋อง ขอร้องท่าน โปรดให้โอกาสพวกเราด้วยขอรับ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงใช้มือข้างหนึ่งลูบที่คางของตนเบาๆ ส่วนอีกมือเคาะที่โต๊ะ นัยน์ตาเย็นชาที่แคบยาวหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง ไม่ได้เอ่ยปากขึ้นมาทันที

ชั่วขณะนั้นห้องโถงเงียบสนิทอย่างมาก เหลือเพียงเสียงเคาะโต๊ะจากมือของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ดังกังวานออกมาเป็นจังหวะ

เสียงเคาะโต๊ะของเขา ทำให้ใจของทุกคนต่างอกสั่นขวัญแขวน

ใจของเล่อเหยาเหยาก็เช่นกัน

ดวงตากลมโตแวววาวคู่นั้น ไม่ได้ละไปจากใบหน้าอันหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้าเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

เห็นเพียงชายหนุ่มหรี่ดวงตาที่เย็นชาลง ขนตาที่งอนยาวราวแปรงนั้นได้ปิดบังแววตาของเขาเอาไว้ จึงทำให้ผู้คนไม่อาจล่วงรู้ความคิดของเขาได้

ขณะที่ทุกคนคิดว่าเขาจะปฏิเสธคำข้อร้องของเล่อเหยาเหยา ทว่าชายหนุ่มกลับเอ่ยปากออกมา

น้ำเสียงนั้นเหมือนกลีบดอกไม้ที่ร่วงหล่นปลิวตกลงมาที่พิณ จนเกิดเป็นท่วงทำนองที่น่าหลงใหลล่อลวงผู้คน

“ถ้าข้าไม่พอใจอาหารที่เจ้าทำล่ะ?”

“เช่นนั้น…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเฟยจึงแสร้งทำเป็นก้มหน้าลงครุ่นคิด ก่อนที่จะเงยหน้าเอ่ยตอบขึ้นมาทันที

“เช่นนั้น ให้ท่านอ๋องไล่บ่าวกับพ่อครัวหลี่ออกจากวังไปขอรับ”

“เสี่ยวเหยาจื่อ…”

เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา ดวงตาของพ่อครัวหลี่และเสี่ยวมู่จื่อเบิกกว้างขึ้น ภายในสายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ

และหลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา เพียงหรี่นัยน์ตาดำขลับนั้นลงไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนที่จะยื่นมือสะบัดไปมา

เล่อเหยาเหยาจึงไม่เข้าใจความหมายของเขา ทว่าหัวหน้าขันทีลี่ที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นพลันหมุนตัวเอ่ยกับพวกเล่อเหยาเหยาขึ้นว่า

“พวกเจ้ายังจะยืนอยู่ที่นี่ทำไม? ยังไม่รีบไปทำอาหารอีก!”

“ขอรับ ขอบคุณท่านอ๋อง ขอบคุณท่านอ๋องขอรับ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น พ่อครัวหลี่เป็นคนที่ได้สติเป็นคนแรก หลังจากที่ได้ยินว่าท่านอ๋องให้โอกาสแก่ตนอีกครั้ง บนใบหน้าแทบที่จะร้องไห้ออกมาด้วยความสุข

ถึงแม้ว่ายังจะไม่กล้าแน่ใจว่าเขาจะสามารถอยู่ที่นี่ต่อไปได้หรือไม่ ทว่าการมีความหวังก็ดีกว่ามิใช่หรือ!?

ดังนั้นพ่อครัวหลี่หลังก้มศีรษะขอบคุณแล้ว รีบดึงเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างวิ่งไปยังทิศทางของห้องครัวด้วยกัน

…………………………………………………………………..