ตอนที่ 42 เล่อเหยาเหยาลงครัว (2)
ระหว่างนั้นพ่อบ้านหลี่จึงเอ่ยขอบคุณเล่อเหยาเหยา
และเสี่ยวมู่จื่อที่เดินตามพวกเขามาทางด้านหลังกลับมีสีหน้าที่หดหู่เศร้าใจคล้ายจะร้องไห้ออกมา
“เสี่ยวเหยาจื่อ เจ้าทำเช่นนี้คุ้มค่าแล้วหรือ! ก่อนนี้เจ้าไม่ใช่บอกว่าเป็นเด็กกำพร้าหรอกหรือ? ถ้าออกจากตำหนักอ๋องไป เจ้าจะไปที่ไหนได้อีก?”
“เออ เรื่องนี้ข้ายังไม่ได้คิดหรอก! เอาน่า ทุกปัญหาย่อมมีทางออก อีกอย่างข้าเองก็ทนดูพี่ใหญ่หลี่ถูกไล่ออกจากจวนอยู่เฉยๆ ได้อย่างไร? ”
เล่อเหยาเหยาพูดออกมาเช่นนี้ ทว่าความจริงอันที่จริงเธอเองก็มีความคิดของตนเอง
เพราะถึงอย่างไรการอยู่ข้างกายท่านอ๋องที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผู้นั้นต่อไป ศีรษะอาจถูกแขวนไปบนเข็มขัดของเขา ถ้าเกิดวันใดทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาเพียง ‘ฉับ’ ศีรษะเธอคงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
แต่ทว่าถ้าสามารถออกจากตำหนักอ๋องแห่งนี้ไปได้ เธอก็จะมีอิสระ แต่ละวันไม่ต้องกังวลว่าศีรษะของตนจะขาดกระเด็นเมื่อใด
อีกทั้งเธอไม่เชื่อว่า คนรุ่นใหม่ที่ข้ามเวลามาจากศตวรรษที่ยี่สิบเช่นตน จะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณเช่นนี้ได้!
เพราะฉะนั้นถ้าครั้งนี้อาหารที่เธอทำไม่ถูกปากท่านอ๋องผู้นั้น ถึงจะเป็นเรื่องที่ดี ถ้าถูกปากท่านอ๋องผู้นั้น อย่างน้อยเธอก็สามารถช่วยเหลือพี่ใหญ่ได้!
เมื่อลองคิดดูแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร เธอล้วนไม่เสียผลประโยชน์!
จวนรุ่ยอ๋องกว้างใหญ่ยิ่งนัก ฉะนั้นห้องครัวจึงมีขนาดที่ไม่เล็ก
อันที่จริงจวนลุ่ยอ๋องเพียงเหล่าข้าราชบริพารรับใช้และองครักษ์มีกว่าหนึ่งพันคนแล้ว ยังไม่ได้รวมถึงพวกที่ช่วยทำงานอยู่ด้านนอกจวนอีก
ตอนนี้ใกล้จะเที่ยงวัน ด้านในห้องครัวจึงดูยุ่งวุ่นวายมือเป็นระวิง ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน ยุ่งเสียจนเกลียดพ่อแม่ที่ไม่ให้เขาเกิดมามีขางอกออกมามากกว่านี้
หลังจากที่เล่อเหยาเหยามาถึงห้องครัว นัยน์ตางดงามจึงกวาดมองไปรอบๆ
เห็นเพียงด้านบนห้องครัวเต็มไปด้วยผักผลไม้และเนื้อนานาชนิดวางอยู่ ไม่ว่าจะเป็นไก่เป็ดปลาเนื้อ และอย่างอื่นอีกมากมาย
เมื่อเห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยาจึงชั่งใจอยู่สักพัก ก่อนที่จะคล้ายคิดบางอย่างได้ จึงเอ่ยปากพูดกับพ่อครัวหลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสายตาร้อนใจ
“จริงสิ พี่ใหญ่หลี่ ปกติท่านอ๋องเสวยไม่มากใช่หรือไม่?”
“”อืม ใช่แล้ว เจ้ารู้ได้เช่นไร? เฮ้อ ไม่รู้เหตุใดท่านอ๋องเลือกเสวยยิ่งนัก เพราะฉะนั้นทุกวันข้าล้วนพลิกแพลงทำอาหารที่หลากหลายออกมา ไม่กล้าทำอาหารเช่นเดิมซ้ำเลย อีกอย่างตามที่ข้ารู้มาก่อนหน้านี้ตำหนักอ๋องได้เปลี่ยนพ่อครัวกว่าสามสิบแปดคนแล้ว!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหยาเหยา พ่อครัวหลี่จึงพูดออกมาตามความจริง
เพราะหลังผ่านเรื่องเมื่อครู่มา พ่อครัวหลี่จึงเริ่มมองเล่อเหยาเหยาแตกต่างไปจากเดิม
เพราะอันที่จริงก่อนหน้านี้เขาปฏิบัติกับขันทีน้อยผู้นี้เพียงปกติธรรมดาเท่านั้น ทว่าในช่วงที่คับขันที่สุดขันทีน้อยผู้นี้กลับออกออกโรงปกป้องเขาอย่างกล้าหาญ พ่อครัวหลี่ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกซาบซึ้งต่อเล่อเหยาเหยา
แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าความจริงที่เล่อเหยาเหยาทำทั้งหมดนี้ล้วนมีจุดประสงค์ของตนเอง แน่นอนว่าเรื่องนี้เธอไม่อาจบอกกับเขาได้
หลังเล่อเหยาเหยาฟังพ่อครัวหลี่เอ่ยจบ รู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก คิดดูแล้วพญายมผู้นี้ไม่เพียงนิสัยจะเปลี่ยนไปร้อยแปดแล้ว ปากยังเลือกรับประทานอีกด้วย
แต่นั้นก็ไม่แปลกเพราะเกิดในราชวงศ์ ตั้งแต่เด็กจึงลิ้มลองอาหารเลิศรสมามากมายมาหลายปีเช่นนี้ จึงสมควรเบื่อหน่ายอาหาร
ถ้าเป็นเช่นนั้น วันนี้เธอจะทำอาหารจานพิเศษออกมาแล้วกัน!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาพลันพับแขนเสื้อขึ้น จนเผยให้เห็นท่อนแขนอันเรียบเนียนขาวผ่อง ก่อนจะเริ่มเลือกสรรวัตถุดิบ โดยให้เสี่ยวมู่จื่อและพ่อครัวหลี่เป็นลูกมือทำอาหารที่ตนคิดจะทำขึ้นมา
ความชำนาญในการคัดสรรวัตถุดิบต่างๆ ของเล่อเหยาเหยานั้น ทำให้เสี่ยวมู่จื่อที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้
“เสี่ยวเหยาจื่อ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็นมิใช่หรือ? ใยวันนี้ถึงทำได้เล่า? ”
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 43 เล่อเหยาเหยาลงครัว (3)
“เออ นี้ข้าเคยพูดหรือ ทำไมข้าไม่รู้ตัวเลย เจ้าจำผิดไปหรือเปล่า!? ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ เล่อเหยาเหยาจึงเพียงหัวเราะพลางพูดเฉไฉออกไป
ว่ากันจริงๆ แล้วเธอได้สำรวจเรื่องร่างของตนในตอนนี้ดูแล้ว
จากคำพูดของเสี่ยวมู่จื่อ ร่างนี้เป็นเด็กกำพร้า ฐานะทางบ้านยากจนมาตั้งแต่เด็ก
ทว่าเธอกลับพบว่าสีผิวของร่างนี้กระจ่างใส มือเล็กคู่นั้นก็ขาวเนียนนุ่มลื่นอย่างมาก เมื่อมองจะรู้ว่าคนที่เติบโตจากตระกูลที่มั่งคั่งร่ำรวยจึงจะมีมือที่งดงามเช่นนี้
เพราะฉะนั้น เรื่องราวที่เสี่ยวมู่จื่อเอ่ยเกี่ยวกับร่างนี้ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกไม่เชื่ออยู่บางส่วน
ทว่าสถานะที่แท้จริงของร่างนี้คือใครกันแน่ เธอกลับไม่รู้เลยสักนิดเดียว
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาคิดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เธอควรคิดตอนนี้คือจะทำอาหารเช่นไรออกมา ถึงจะถูกปากท่านอ๋องผู้นั้น
อีกทั้งก่อนหน้านี้เวลาที่อยู่ที่บ้านเธอล้วนไม่ทำอะไร นอกจากทำอาหาร
อันที่จริงเมื่อเป็นนักกิน จะไม่มีฝีมือในการทำครัวเลยไม่ได้
โดยเฉพาะเธอที่ชอบกินอาหารประเภทเผ็ดเปรี้ยวที่สุด ดังนั้นตอนที่อยู่ที่บ้าน เธอจึงมักจะลงมือทำอาหารด้วยตนเอง
เพราะฉะนั้นตอนนี้หากให้เธอลงมือปรุงอาหาร จึงเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ!
ดังนั้นเมื่อเล่อเหยาเหยาคัดเลือกวัตถุดิบที่ตนต้องการเสร็จแล้ว จึงให้เสี่ยวมู่จื่อและพ่อครัวหลี่จัดการล้างวัตถุดิบทั้งหมด ส่วนตนหยิบตะหลิวขึ้นมา ก่อนจะเริ่มลงมือทำอาหารทันที
เพราะไม่รู้ว่าท่านอ๋องผู้นั้นชอบรสชาติเช่นไร ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงตัดสินใจทำอาหารสักสองสามอย่าง ให้ท่านอ๋องผู้นั้นได้เลือกสรร แม้เขาจะเลือกกินเช่นไร อย่างน้อยต้องมีสักอย่างที่ถูกปากเขามิใช่หรือ?
ขณะที่คิดในใจ ภายในหนึ่งชั่วโมงเล่อเหยาเหยาจึงจัดเตรียมอาหารทั้งหมดเสร็จ
เพราะวันนี้จู่ๆ ก็มีขันทีน้อยลงมือทำอาหาร พ่อครัวใหญ่หลี่เปลี่ยนมาเป็นลูกมือ ภาพนี้จึงทำให้ทุกคนในห้องครัวล้วนเกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ต่างพากันหยุดงานในมือลง ก่อนที่จะมองยังขันทีน้อยร่างเล็กนั้นอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทุกคนเห็นเพียง ขันทีน้อยผู้นั้นแม้จะมีรูปร่างที่บอบบาง ทว่าท่าทางในการทำอาหารกลับคล่องแคล่ว ไม่เงอะงะงุ่มง่ามเลยสักนิดเดียว ดูท่างทางคล้ายพ่อครัวใหญ่เสียมากกว่า
หลังเสียงตะหลิวผัดอาหารดังขึ้น ผ่านไปไม่นานทุกคนจึงได้กลิ่นหอมที่เปรี้ยวและเผ็ดขึ้นมา จนทำให้พยาธิในท้องของทุกคนล้วนส่งเสียงร้องขึ้นมา
เป็นเสียงที่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ทว่าคล้ายกับได้ยินเสียงสูดน้ำลายดังขึ้น
และพ่อครัวหลี่ที่เป็นลูกมืออยู่ด้านข้าง เดิมทีที่ไม่คาดหวังสิ่งใดกับตัวเล่อเหยาเหยา กลับกลายเป็นว่าเมื่อเห็นว่าเล่อเหยาเหยามีความสามารถที่ยอดเยี่ยม อาหารที่ทำออกมาทั้งสดใหม่และมีกลิ่นหอม ใจที่รู้สึกกังวลจึงผ่อนคลายลงอย่างช้าๆ
บนใบหน้าค่อยๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา
เมื่อพวกเล่อเหยาเหยาทำอาหารทั้งหมดเรียบร้อยแล้วกลับมายังเรือนหย่าเฟิงอีกครั้ง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยังคงอยู่ในท่าทางเช่นเดิม มือข้างหนึ่งเท้าที่คาง ส่วนอีกข้างเคาะบนโต๊ะเบาๆ
ทว่านัยน์ตาดำขลับนั้นกลับเห็นได้ชัดว่าคล้ายจะหมดความอดทนแล้ว จนกระทั่งผู้ใต้บังคับบัญชาเอ่ยขึ้น จึงค่อยๆ ละสายตามองยังพวกเล่อเหยาเหยาที่เดินเข้ามา
เห็นเพียงคนในกลุ่มเล่อเหยาเหยา ในมือถืออาหารหลากหลายชนิดเข้ามา จากนั้นค่อยๆ วางลงบนโต๊ะไม้กลมขนาดใหญ่ด้านหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างเบามือ
เมื่อเห็นอาหารหน้าตาน่าทานตรงหน้าทุกจานล้วนมีสีสันที่ฉูดฉาด อีกทั้งส่งกลิ่นหอมที่เปรี้ยวและเผ็ดออกมา ทำให้สายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นประกาย ทันใดนั้นปรากฏความไม่น่าเชื่อหันกลับไปมองยังเล่อเหยาเหยา พร้อมเปิดปากเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
“เจ้าทำทั้งหมดนี้หรือ?”
…………………………………………………………………..