ฟางเจิ้งมองสองคนนั้นแวบหนึ่งแล้วยิ้มตอบกลับ “พวกโยมกลัวเขาทำร้ายอีกรึ?”
สองคนนั้นยิ้มอย่างเก้อเขิน
ฟางเจิ้งพยักหน้า “เอาแบบนี้ คืนนี้อาตมาจะอยู่กับพวกโยมข้างนอก”
“เอ่อ…ไม่ได้เด็ดขาดเลยไต้ซือ ท่านสูงส่ง กลับไปพักเถอะ พวกเราอยู่กันเองได้ ยังไงพวกเราก็มีกันสี่คน” จ้าวต้าถงรีบค้าน
ฟางอวิ๋นจิ้งเสริม “ไต้ซือ ท่านกลับไปนอนเถอะ พวกเราไม่เป็นไร”
หม่าเจวียนก็เอาด้วย “ไต้ซือ ท่านอยู่ที่นี่ พวกเรารู้สึกเกรงใจน่ะ”
หูหานก็จะพูดเช่นกัน แต่ว่ามีเสียงหอนของหมาป่าดังแว่วมาจากในภูเขาไกลๆ ทำเอาเขาตกใจกลัวจนเปลี่ยนคำพูดไป “ฉันว่าให้ไต้ซืออยู่ก็ดีนะ…”
สามคนนั้นมองมาด้วยความโมโหทันที มองจนเขาก้มหน้าลงไม่กล้าออกเสียง
ฟางเจิ้งหัวเราะเบาๆ “เอาเถอะ อาตมาเป็นนักบวช ไม่ถือเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว พบกันถือว่ามีวาสนาต่อกัน เอาแบบนี้แหละ”
พวกจ้าวต้าถงก็หวังให้ฟางเจิ้งอยู่เหมือนกัน พวกเขากลัวหมาป่าจริงๆ มีฟางเจิ้งอยู่พวกเขาก็อุ่นใจ
สุดท้ายฟางเจิ้งอยู่ที่นี่ พวกเขาจึงถอนหายใจโล่งอก
ล้อมรอบกองไฟ ให้อาหารหมาป่า มองดาวเต็มฟ้า แสงดาวส่องลงมาทำให้หัวโล้นของฟางเจิ้งดูเด่นตาเป็นพิเศษ แต่กลับทำให้คนเหล่านี้จิตใจสงบ
เรื่องราวในครั้งนี้ทำให้คนเหล่านี้ปลงอนิจจังอยู่ภายใน การเดินป่าครั้งนี้ถือว่าไม่เสียเปล่า พวกเขาคุยกันอยู่พักหนึ่งก็เริ่มคุ้นชิน
จ้าวต้าถงถามขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ไต้ซือ ปกติมาถึงวัดแล้วต้องให้ความสำคัญเรื่องอะไรบ้างครับ?”
“ต้าถง นายไม่นับถือพุทธไม่ใช่เหรอ นับถือพระเยซูนี่? ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ?” หม่าเจวียนถาม
หูหานหัวเราะ “ใช่ ก่อนหน้านี้นายบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่อยากเข้าวัด?”
จ้าวต้าถงตอบกลับอย่างมีเหตุผล “คนละเวลากัน ก็ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าบนเขามีเทพอยู่จริงๆ นี่ ตอนนี้รู้แล้ว ก็ต้องเชื่ออยู่แล้ว ตอนนี้ฉันกลับมานับถือพุทธแล้ว อมิตพุทธ จากนี้ไปพวกเธอต้องเรียกฉันว่าไต้ซือต้าถง”
“ถุย! นายเป็นไต้ซือเหรอ กินเนื้อวัวเป็นตัว แถมยังดื่มเหล้าดีกรีสูงหลายขวดอีก หากนายบรรลุธรรมจริงๆ ผีนั่นแหละที่จะเชื่อ” หม่าเจวียนเปิดโปงอดีตอันน่ารังเกียจอย่างไม่เกรงใจ
จ้าวต้าถงกลับไม่คิดอย่างนั้นจึงตอบกลับ “เธอเคยได้ยินประโยคนี้ไหม? เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ ในใจฉันมีพุทธ กินเนื้อดื่มเหล้านิดหน่อยจะเป็นอะไร? จริงไหมครับไต้ซือ?”
ฟางเจิ้งส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วถามกลับ “โยมรู้ไหมว่าคำพูดประโยคนี้มาจากใคร?”
จ้าวต้าถงอึกอักทันที เกาหัวพลางตอบกลับ “ผมเคยได้ยินมา ไม่รู้จริงๆ ว่าใครพูด”
ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ปุถุชนเข้าใจกับคำพูดประโยคนี้ไปมาก แต่กลับไม่รู้ความหมายแฝงของมัน นี่เป็นสิ่งที่ผิด ‘เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ’ เดิมทีเป็นตำนานอันน่าเศร้า พูดถึงจางเซี่ยนจง[1]โจมตีเมืองอวี๋ในราชวงศ์หมิง และก็เป็นช่วงที่น่าสนใจในสมัยนี้ เขาตั้งค่ายในวัดนอกเมือง บังคับให้นักบวชในวัดกินเนื้อ ตอนนั้นมีหลวงจีนรูปหนึ่งนามว่าพั่วซาน[2] บอกว่าขอเพียงเจ้าบุกเมืองแล้วไม่ฆ่าชาวเมือง ฉันก็จะกินเนื้อ ผลคือจางเซี่ยนจงตอบรับเขา ดังนั้นหลวงจีนพั่วซานถึงกินไปด้วยพูดประโยคนี้ไปด้วย เขาผิดศีลเพื่อช่วยชีวิตคนหลายพันคน ไม่ได้อยากกินเนื้อจริงๆ”
“ไต้ซือ ผมไม่เคยได้ยินตำนานนี้มาก่อนเลย แต่เคยได้ยินมาว่าคำพูดนี้มาจากไต้ซือเต้าจี้หรือจี้กง[3]ในตำนานพื้นเมือง ถูกไหม? อีกอย่าง ในตำนานบอกไว้ว่าจี้กงกินเนื้อดื่มเหล้าก็ยังบรรลุสภาวะจิตหลุดพ้นได้ ถูกไหมคะ?” ฟางอวิ๋นจิ้งพลันกล่าวขึ้น ถึงจะเป็นการถาม แต่กลับมีความหมายโต้เถียงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งไม่คิดอย่างนั้นจึงยิ้มและแสดงความเคารพตอบ “ปุถุชนรู้เพียงประโยคนี้ของจี้กง แต่ไม่รู้ว่ายังมีประโยคนี้ต่อ ‘หากปุถุชนเรียนรู้ข้า ก็เหมือนเข้าสู่วิถีมาร’ ‘ผู้ปฏิบัติตามข้าลงนรก ผู้ติเตียนข้าขึ้นสวรรค์’”
“นี่มันหลักการอะไรกัน? ทำไม่จี้กงถึงกินเนื้อดื่มเหล้าได้ คนอื่นทำไม่ได้เหรอคะ?” หม่าเจวียนถาม
ฟางเจิ้งพูดต่อ “จุดยืนของ ‘เหล้าและเนื้อแค่ผ่านลำไส้ พระพุทธองค์สถิตอยู่ในใจ’ นี้ปะปนกับความสูงส่งกับธรรมดา คุณธรรมและการฝึกคุณธรรม เป็นความคิดที่ไม่ดี ทุกสิ่งมีชีวิตล้วนมีธรรมะ ไม่ลดลงในความธรรมดา ไม่เพิ่มขึ้นในความสูงส่ง ดังนั้นเมื่ออยู่ในฐานะคนธรรมดา ความกลัดกลุ้มจะปกคลุม ธรรมะเผยออกมาไม่ได้ หากตัดชีวิตกินเนื้อจะต้องป่วยและมีชีวิตสั้น ภพหน้ายังต้องเป็นเดรัจฉานชดใช้หนี้ชีวิต มีเพียงนักปราชญ์สูงส่งที่อยู่ภายใต้สถานการณ์เฉพาะเท่านั้นถึงกินเนื้อเพื่อโปรดสัตว์ ใช้ร่างที่ห่อด้วยนักปราชญ์ แต่ในนี้มีความลับที่คนธรรมดาไม่รู้ โยมรู้ไหม จี้กงกินนกพิราบที่ตายแล้วสองตัวก็พ่นออกมาเป็นนกพิราบที่มีชีวิตสองตัว หากปุถุชนทำได้ก็กินเนื้อได้ หากทำไม่ได้ก็จงถือศีลไว้เถอะ! สิงโตกระโดดข้ามหน้าผาไปได้ กระต่ายกระโดดก็มีแต่ตาย คนธรรมดาไม่มีคุณสมบัติเลียนแบบผู้บรรลุขั้นสูง พวกเราบำเพ็ญเพียรก็เพื่อการโปรดทุกชีวิต ทุกชีวิตไม่ใช่แค่คน แต่ยังมีสรรพสัตว์ อย่างเช่นหมาป่าตัวนี้”
จ้าวต้าถงฟังจนงงไปหมด แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ปรบมือส่งเสียงโห่ร้อง “ดี! พูดได้ดีจริงๆ ครับ!”
“นายฟังเข้าใจด้วยเหรอ?” หม่าเจวียนมองค้อนจ้าวต้าถง
จ้าวต้าถงเกาหัว อึกอัก “ไม่เข้าใจหรอก แต่ฉันรู้ว่ามันต้องถูกแน่”
“ทุเรศจริงๆ” หม่าเจวียนด่าไปทีหนึ่ง แต่ประกายแววตาที่มองฟางเจิ้งมีประกายดาวเล็กๆ เพิ่มมาหลายดวง
ฟางอวิ๋นจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ที่แท้ประโยคนี้ก็เป็นคำบอกเล่าผิดๆ เฮ้อ ไม่รู้ว่าทำให้เข้าใจผิดกันไปกี่คนแล้ว ขอบคุณไต้ซือมากค่ะที่ช่วยชี้แนะ”
ฟางเจิ้งส่ายหน้า “ไม่เป็นไรโยม”
หูหานพูดต่อ “ไต้ซือ เข้าวัดมีกฎอะไรหรือเปล่าครับ? ผมได้ยินมาว่ากฎวัดมีเยอะมาก”
ฟางเจิ้งยิ้ม “มีเยอะมาก แต่ผู้ไม่รู้ไม่ผิด พระพุทธองค์ไม่โทษผู้ไม่รู้”
“ไต้ซือ ท่านบอกพวกเราหน่อยเถอะว่ามีกฎอะไรบ้าง” หม่าเจวียนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฟางเจิ้งยิ้ม “มีเยอะมาก อย่างเช่นอุโบสถที่พวกโยมเข้าไปก่อนหน้านี้ก็มีกฎมากมาย ประตูมีซ้ายกลางและขวาสามบาน ควรจะเข้าประตูทางซ้ายขวา ห้ามเดินเข้าประตูกลาง ถือว่าเป็นการแสดงความเคารพ หากเข้าประตูซ้ายก็ให้ก้าวเท้าซ้ายก่อน ส่วนประตูขวาก็ให้เท้าขวาก่อน
เข้าอุโบสถ นอกจากพุทธคัมภีร์ พระพุทธรูปกับของบูชาแล้ว ห้ามนำสิ่งอื่นเข้าไป อุโบสถไม่ใช่จะเข้าไปได้ทุกเวลา มีเพียงตอนสวดมนต์ ไหว้พระ ทำความสะอาดและเติมธูปเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ ห้ามใช้อุโบสถเป็นทางเดินผ่านไปที่อื่นตามอำเภอใจ
ก่อนเข้าอุโบสถต้องชะล้างกายและใจ ล้างสองมือ ตอนที่เข้าไปห้ามมองซ้ายแลขวา ห้ามมองไปรอบๆ หลังไหว้พระเสร็จแล้วถึงมองใบหน้าพระพุทธรูปด้วยความศรัทธาได้ ให้คิดในใจว่า หากได้เห็นพระพุทธ ขอให้ทุกชีวิตมองเห็นพระพุทธอย่างไร้สิ่งใดกีดขวาง
ในอุโบสถจะเดินอ้อมทางขวาได้อย่างเดียว ห้ามเดินเวียนซ้าย ถือว่าเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ตอนที่ทุกคนอ้อมพระพุทธรูป จงระวังตรงมุมโค้งให้ดี ไม่ต้องหยุดทักทายกัน แค่เดินขึ้นไปข้างบนพร้อมกันก็พอ
ในอุโบสถห้ามพูดคุยกันเรื่องทางโลก ห้ามส่งเสียงดัง นอกจากฟังธรรมแล้ว ให้นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างนอก ห้ามนั่งข้างในวิหาร ต่อให้คุยกันเรื่องพระธรรมก็ห้ามส่งเสียงดัง”
……………………
[1] จางเซี่ยนจง (18 กันยายน 1606 – 2 มกราคม 1647) สมญานาม เสือเหลือง ผู้นำของกบฏชาวนาจากมณฑลส่านซี เขาพิชิตเสฉวนใน ค.ศ. 1644 พร้อมกับตั้งตนเองเป็นกษัตริย์แห่งราชวงศ์ต้าซี ปกครองเสฉวนเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนถูกสังหารโดยกองทัพแมนจู
[2] พระพั่วซาน (ปี1597-1666) เกิดในครอบครัวขุนนางชั้นสูง เป็นปรมาจารย์ กวีและนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยปลายราชวงศ์หมิงต้นราชวงศ์ชิง ทั้งยังเป็นไต้ซือนิกายธยานะหรือนิกายเซ็นคนสำคัญในสมัยนั้น
[3] เต้าจี้หรือจี้กง นามเดิมหลี่ ซิวหยวน บวชเป็นภิกษุที่วัดหลิงอิ่น เมืองหางโจว มีพระอาจารย์ฮุ่ยหย่วนเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่าเต้าจี้ แม้เป็นภิกษุ แต่พระเต้าจี้มักมีพฤติกรรมแปลกจากจารีต คือชอบฉันเนื้อสุนัข ดื่มสุรา ครองจีวรที่เป็นผ้าขี้ริ้วสกปรก จึงถูกคณะสงฆ์ขับออกจากวัด และใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างถนน แต่พระเต้าจี้มีจิตใจดี ชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ เช่น เจ็บป่วย หรือถูกรังแก จึงเป็นที่นับถือของประชาชน นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าท่านสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ และเชื่อว่าท่านเป็นพระนนทิมิตร หนึ่งในพระอรหันต์สิบแปดองค์กลับชาติมาเกิด