“ในอุโบสถห้ามใช้ส้นเท้าเดิน ห้ามพิงผนัง พิงโต๊ะหรือยืนเท้าสะเอว แล้วก็ห้ามยันผนังหรือถ่มน้ำลายอะไรพวกนี้ ตอนนั่งก็ห้ามนั่งอ้าขา เวลายืนก็ต้องวางมือหรือประสานมือยืนตรง เพื่อแสดงความเคารพ

ในอุโบสถห้ามหาวนอน ห้ามถ่มน้ำลาย ห้ามผายลม เป็นต้น หากทนไม่ไหวก็ควรออกไปนอกอุโบสถ ตอนหาวก็ควรจะใช้แขนเสื้อปิดปาก ตอนถ่มน้ำลายก็ให้ใช้กระดาษทิชชูปิดปากไว้ ห้ามเข้าๆ ออกๆ จะรบกวนทุกคน

แน่นอนว่าวัดเอกดรรชนีของอาตมาไม่มีคนมาจุดธูปเลย จึงไม่เกิดเรื่องรบกวนทุกคน”

พูดถึงตรงนี้ฟางเจิ้งถอนหายใจ หว่างคิ้วมีความหดหู่ใจเพิ่มมาเสี้ยวหนึ่ง พูดถึงตรงนี้เขาเพิ่งนึกออกว่าภารกิจที่ระบบมอบให้เขายังทำไม่สำเร็จเลย! นั่นคือจุดธูปสิบดอกในหนึ่งเดือน ดูเหมือนง่าย แต่ทำจริงยากมาก

ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นดังนั้นจึงหยั่งเชิง “ไต้ซือ กังวลเรื่องจุดธูปหรือคะ?”

ฟางเจิ้งพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่”

“ไต้ซือ ท่านเก่งกาจขนาดนี้ ทำนายภัยความเป็นตายได้ ทั้งยังสั่งสอนสัตว์ป่าได้อีก เป็นพระอาจารย์ที่มีความสามารถแท้จริง ยังกลัวเรื่องไม่มีคนมาจุดธูปอีกหรือคะ? เดี๋ยวพวกเรากลับไปแล้วจะช่วยท่านประกาศให้ ถึงตอนนั้นรับรองว่าวัดนี้จะต้องมีแสงธูปสว่างไสว!” หม่าเจวียนพูดเสริม

จ้าวต้าถงกับหูหานก็พากันพยักหน้า จากนั้นพวกเขาก็เริ่มปรึกษากันถึงกลยุทธ์ในการป่าวประกาศ อย่างเช่นส่งรูปภาพลงบนอินเทอร์เน็ต เขียนบรรยายลงกลุ่มQQ[1] และก็จัดหมู่คณะให้มาเที่ยวกันอีกครั้ง…

ฟางเจิ้งฟังจนงง แต่ก็ไม่ได้อะไรนัก นักศึกษาเหล่านี้ทรมานเขาจริงๆ ถึงอย่างไรตอนเขาเรียนหนังสือก็โดดเรียนตลอด…

ระหว่างนั้นพวกเขายังถามถึงปัญหาเกี่ยวกับพระธรรม ฟางเจิ้งก็ยังตอบได้ ความจริงแล้วอันไหนตอบไม่ได้ก็จะยิ้มและเงียบไป ให้อีกฝ่ายคาดเดาเอา

‘พอมาถึงคราวต้องใช้ความรู้ ทำไมฉันถึงไม่ตั้งใจเรียนกันนะ เรื่องง่ายๆ ก็ยังพออาศัยเรื่องที่ได้ยินมาเมื่อก่อนได้ แถแบบเป็นพิธีไป ซับซ้อนเกินไปจริงๆ ดูแลทางนี้ทางนั้นก็ดูแลไม่ถึง การเป็นไต้ซือคงไม่ใช่เรื่องง่าย ฉันก็ควรจะอ่านหนังสือเยอะๆ แล้ว เติมเต็มความรู้บ้าง’ ฟางเจิ้งมองคนเหล่านี้ที่หลับไปแล้วพลางปลงในใจ

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบเชียบ วันที่สองฟ้าสาง ฟางเจิ้งถึงกลับเข้าไปในวัด

ในวัดมีเขาคนเดียว งานที่ต้องทำทุกวันก็มีไม่น้อย ทำวัตรเช้าขาดไม่ได้ ทำความสะอาดอุโบสถก็ขาดไม่ได้ และยังต้องทำอาหารเช้าอีก จึงยุ่งมากจริงๆ

อาหารเช้าเป็นโจ๊กหนึ่งชามกับผักดองเค็มจานเล็ก ถึงจะยากจนอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ฟางเจิ้งก็ยากจนจริงๆ และก็หมดทางเลือกแล้ว

ส่วนหมาป่าเดียวดาย ฟางเจิ้งให้มันออกไปหาอาหารกินเอง ตอนนี้เขาเลี้ยงมันไม่ไหว หมาป่าเป็นฝ่ายหากินเองมาตลอด…ทว่าเขาก็กำชับมันแล้วว่าห้ามโจมตีคน และก็ห้ามลงเขาไปขโมยของ ได้แต่ล่าสัตว์อยู่บนเขาเองเท่านั้น

ฟางเจิ้งกินโจ๊กไปสามชามติดกันจนตัวเองยังรู้สึกว่าฟุ่มเฟือยไปบ้าง ก่อนลูบท้องที่อิ่มจนนูนออกมา ขณะกำลังจะไปบูชาพระกลับได้กลิ่นธูป! ตั้งแต่เยาว์วัยจนเติบโตมาในวัดเขาชินกับกลิ่นธูปแล้ว! ชัดเจนว่านี่คือกลิ่นธูปหลังจุดไฟแล้ว!

‘นี่ไม่ใช่ธูปธรรมดา นี่มันธูปชั้นดี!’ ฟางเจิ้งคาดการณ์ได้ทันทีก่อนพูดขึ้น “ธูปชั้นดี? ขนาดฉันยังทำใจใช้ธูปชั้นดีไม่ได้เลย หรือว่าจะมีญาติโยมมา? มีธูปมาด้วย?”

ฟางเจิ้งวิ่งไปยังอุโบสถด้วยความตื่นเต้น เห็นธูปชั้นดีสี่ดอกปักอยู่ในกระถางธูป ควันจางๆ ลอยโชย เขาสาบานว่านี่เป็นควันที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา!

แต่ว่าในอุโบสถไม่มีญาติโยม ฟางเจิ้งมองซ้ายแลขวาไม่เจอใคร พลันนึกอะไรบางอย่างออกจึงหัวเราะ “ทำดีได้ดีจริงๆ นี่น่าจะเป็นธูปของพวกฟางอวิ๋นจิ้ง”

ฟางเจิ้งพูดจบก็เดินเข้าอุโบสถ เตรียมจะถูพื้น แต่พริบตาเดียวก็อึ้งไป ตรงหน้ากระถางธูปมีเงินวางไว้!

ฟางเจิ้งรีบหยิบขึ้นมาดูอย่างละเอียด เป็นธนบัตรสีแดงจริงๆ! นับดูแล้วมีแปดใบ ก็แปดร้อยหยวน!

‘เยี่ยม พวกนักศึกษาเดี๋ยวนี้รวยกันจริงๆ! จุดธูปก็ใช้ธูปชั้นดี หนึ่งดอกสองร้อยหยวนเชียว! เดี๋ยวนะ ฉันเหมือนลืมอะไรไปบางอย่าง’ ฟางเจิ้งอุทานแล้วรีบมองอุโบสถ สุดท้ายตบป้าบเข้าที่หน้าผาก “พี่ระบบ ฉันจำได้ว่าในอุโบสถมีกล่องบริจาคด้วยนี่? นายเอากล่องบริจาคไปไว้ไหนแล้ว?”

“มันปนเปื้อนสิ่งไม่ดีมากเกินไป ทิ้งไปแล้ว หากร่างสถิตต้องการก็ซื้อกล่องบริจาคได้ที่ระบบ” ระบบตอบกลับ

“นี่นาย นั่นมันของทำมาหากินเลยนะ! นายกลับทิ้งไปเรอะ แล้วฉันจะรับเงินจากไหน? ไม่มีเงิน นายจะให้ฉันกินดินรึไง?” ฟางเจิ้งร้อนใจ เดิมทีการจุดธูปก็ไม่ได้เฟื่องฟูนัก นานๆ จะมีมาสักสองคน แต่กลับไม่มีกล่องบริจาค เป็นใครก็ต้องขาดรายได้ตรงจุดนี้ ถึงยังไงก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีเนื้อแท้อย่างนักศึกษาสี่คนนั้น

“บนภูเขาเอกดรรชนีมีที่ดิน ร่างสถิตปลูกอาหารกินเองได้” ระบบตอบกลับอย่างมั่นใจ

ฟางเจิ้ง “ไอ้เวรเอ๊ย นายบ้าไปแล้วเหรอ? นี่มันฤดูใบไม้ร่วง ให้ฉันทำนาเนี่ยนะ? ข้าวไม่ออกฉันก็เป็นโครงกระดูกกันพอดี? อีกอย่าง ต่อให้ปลูกจริงๆ ก็ไม่มีเงินซื้อเมล็ดหรอก!”

เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่าลงมาจากอากาศลงตรงหน้าฟางเจิ้ง

“ด่าระบบจะถูกฟ้าผ่า ทุกวันจะเตือนสามครั้ง หากเกินกว่านั้นจะผ่านาย” ระบบโต้ตอบ

ฟางเจิ้งยกนิ้วกลางให้

เปรี้ยง!

สายฟ้าผ่าลงตรงหน้าเขาอีกครั้ง ส่งเสียงดังสนั่นจนแก้วหูดังอื้ออึง แววตาพร่ามัวจะหมดสติ

“ทำมือเป็นการดูหมิ่นก็เท่ากับด่าว่าทางปาก นอกจากนี้ พลานุภาพของสายฟ้าจะรุนแรงขึ้นด้วย” ระบบเตือนอีกครั้ง

ฟางเจิ้งหอบหายใจแรงด้วยความโกรธ “เอาเถอะ! พวกเรามาคุยกันเรื่องปัญหาปากท้องดีกว่า ไม่มีเมล็ดแล้วฉันจะปลูกยังไง?”

ระบบตอบ “ร่างสถิตซื้อเมล็ดจากฉันได้ ปลูกได้สี่ฤดูตลอดปี วันเดียวออกผล จำนวนเยอะ คุณภาพดี ไม่มีสิ่งเจือปนด้วย แถมยังเพิ่มสมรรถนะร่างกายให้อีก กินไปไม่มีข้อเสียแน่นอน ส่วนเงินที่จะซื้อเมล็ด นายก็มีเงินอยู่ในมือไม่ใช่เหรอ?”

ฟางเจิ้งก้มหน้ามองเงินแปดร้อยหยวนในมือก่อนรีบเก็บไป “นายอย่าหวัง! ฉันจะลงเขาไปซื้อเอง!”

“ขอแนะนำอย่างเป็นมิตร เจ้าอาวาสวัดจะออกจากวัดไปไกลไม่ได้ พื้นที่การกระทำของนายจะมากขึ้นตามการยกระดับวัด ตอนนี้นายออกจากวัดเอกดรรชนีไม่ได้” ระบบพูดเนิบๆ

“ออกไม่ได้? หมายความว่าไง? นี่ฉันถูกนายจับตัวไว้เหรอ? ฉันออกแล้วจะเป็นยังไง? นายจะไปจากฉันทันทีรึเปล่า?” ฟางเจิ้งหยั่งเชิง ในใจตื่นเต้นเล็กน้อย หากหนีจากระบบได้จริงๆ เขาจะไปแน่! ชีวิตนี้ไม่หวังอะไรแล้ว แค่อยากสึก แต่งงานมีลูกใช้ชีวิตอย่างสงบสุข!

“นายลองดูได้” ระบบว่าต่อ

“ลองก็ลองวะ!” ฟางเจิ้งพูดจบก็พุ่งออกไป พรวดเดียวมาถึงตีนเขา มองป้ายหินที่เขียนว่าเอกดรรชนีซึ่งถูกลมฝนกัดกร่อนจนเสียหายอย่างหนักตรงตีนเขา เขาพลันหยุดชะงัก ถึงไม่รู้ว่าคำว่าลองดูได้จากระบบจะหมายความว่ายังไง แต่เขาก็ยังกังวลอยู่เล็กน้อย ความไม่รู้คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด

หลังตรึกตรองอยู่นานก็บ่นไปทีหนึ่ง “ยอมก็ได้!”

จากนั้นฟางเจิ้งก็กลับขึ้นเขามาด้วยความขมขื่น

……………………..

[1] QQ โปรแกรมโซเชียลชนิดหนึ่งที่ใช้คุยกันเหมือน LINE