ฟางเจิ้งนั่งอยู่หน้าประตูวัดตัวเองพลางถอนหายใจ “นี่ระบบ ฉันต้องเป็นนักบวชไปทั้งชีวิตจริงๆ เหรอ?”

“จี้กงกินเนื้อกินเหล้าได้ หากพระธรรมนายสูงส่งพอแล้วจะทำได้โดยธรรมชาติเช่นกัน หากรักในพระพุทธก็จะมีภรรยามีลูกได้” ระบบตอบอย่างหมิ่นเหม่

แต่ฟางเจิ้งกลับไม่คิดอย่างนั้น ทำเสียงขึ้นจมูก “อย่าขี้โม้ รักในพระพุทธก็ต้องอยู่เป็นโสดไม่ใช่เหรอ? อย่างมากสุดก็แค่ป้าบๆๆ กับผู้หญิงหรือแค่แลกเปลี่ยนกันเท่านั้น ไม่ใช่จะมีภรรยามีลูกกันสักหน่อย นายบอกมาเถอะว่าชีวิตนี้ฉันจะสึกได้หรือเปล่า!”

ระบบเงียบไปครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ “หากนายสำเร็จอรหันต์[1]ก็จะสึกได้ตลอดเวลา”

“สำเร็จอรหันต์…ดี นี่ถือว่าเป็นเป้าหมายเล็กๆ ในชีวิต ถึงจะเลือนรางอยู่บ้างก็เถอะ…” ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขาล้มเลิกความคิดที่จะถามต่อ ตอนนี้ต้องคิดถึงปัญหาเรื่องปากท้อง โอ่งข้าวเหลือก้นโอ่งแล้ว ผักดองก็มีไม่มาก…

“ระบบ ถือว่านายชนะ นายขายเมล็ดยังไง?” ฟางเจิ้งถอนหายใจ ลงเขาไม่ได้ก็ใช้เงินแปดร้อยไม่ได้ ได้แต่ซื้อกับร้านขายของระบบ

“เนื่องจากนายไม่มีความสามารถพอในการเปิดภารกิจของระบบที่มากกว่านี้ ดังนั้นตอนนี้นายจึงได้แต่ซื้อข้าวผลึกจากฉัน หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวน” ระบบตอบ

“เวร…หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวน? ทำไมนายไม่ปล้นกันเลยล่ะ?” ฟางเจิ้งใกล้จะบ้าแล้ว

“ข้าวผลึกมีปริมาณที่มาก เติบโตเร็ว” ระบบตอบอย่างมั่นใจ

“เติบโตเร็วแล้วจะมีประโยชน์อะไร? เมล็ดนึงให้ข้าวกี่เม็ด? คงไม่พอกับข้าวมื้อนึงล่ะมั้ง?” ฟางเจิ้งถามต่อ

“ข้าวผลึกไม่ใช่ข้าวธรรมดา เป็นข้าวที่นักบวชใต้เขาพระสุเมรุ[2]ใช้ประทังชีวิต หนึ่งเมล็ดให้ผลหนึ่งจิน[3]! ไร้สิ่งสกปรก เป็นประกายแวววาว เมื่อกินแล้วจะไม่เกิดเศษกากใดๆ จะถูกร่างกายสูบไปทั้งหมด ร่างกายจะได้รับพลังงานเพราะกินข้าวผลึก และจะไม่เกิดการเจ็บป่วยเพราะมัน ข้าวแบบนี้ หนึ่งเมล็ดหนึ่งร้อยหยวนแพงรึไง?” ระบบถามกลับ

ฟางเจิ้งตอบไม่ถูก จึงพูดด้วยหน้าเหยเก “หากเป็นอย่างที่นายว่าจริงๆ ก็คงไม่แพง ซื้อมาลองสักเมล็ดก่อนก็ดี ถามอีกข้อ ที่นายบอกว่าไม่มีเศษกาก หมายความว่ากินข้าวผลึกแล้วจะไม่ต้องถ่ายเหรอ?”

“ใช่!”

“เจ๋ง!” ฟางเจิ้งยกนิ้วโป้งให้

ฟางเจิ้งกำลังคิด แต่ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วจึงลองดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน

แต่เมื่อกล่าวไป ในมือฟางเจิ้งมีเมล็ดข้าวยาวหนึ่งเซนติเมตรเพิ่มมาหนึ่งเมล็ด สีสันแวววาว อิ่มเอิบเต็มเปี่ยม เมล็ดข้าวไม่มีเปลือกนอก มองยังไงก็ไม่คล้ายเมล็ดปกติ ข้าวบ้านใครแบบนี้คงจะเจ๊งไม่มีเสื้อใส่ล่ะมั้ง?

ขณะฟางเจิ้งงึมงำในใจก็หยิบเงินออกมาจากในถุง พูดในใจ ‘เหมือนว่าระบบจะไม่ได้เก็บเงินไป หรือว่าเห็นเราเป็นไต้ซือเลยให้ฟรี?’

แต่แล้วเงินกลับเหลือเพียงห้าร้อยหยวน!

“ระบบ นายขโมยเงินฉัน!” ฟางเจิ้งร้อนรนแล้ว กำลังทรัพย์เขามีแค่นี้ อย่าว่าแต่ร้อยหยวนเลย แค่สตางค์เดียวก็เป็นเงินประทังชีวิต! ด้วยความร้อนใจจึงเดินไปหยิบน้ำบนโต๊ะขึ้นมาดื่มจนหมดในอึกเดียว

“ติ๊ง! ส่งเมล็ดข้าวผลึกแล้ว จะเก็บเงินโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้จะคิดค่าบริการอีกหนึ่งร้อย ค่าบริการส่งเร็วหนึ่งร้อย”

“พรวด!” ฟางเจิ้งพ่นน้ำออกมาเป็นควันเต็มอากาศแล้วกล่าวด้วยความปวดร้าว “ยังมีค่าบริการอีกเหรอ? แถมมีค่าบริการส่งเร็วอีก? ทำไมนายไม่บอกให้เร็วกว่านี้? แล้วยังมีค่าอะไรอีกไหม?!”

“นายไปฝากหรือถอนเงินที่ธนาคาร หรือโอนเงินไม่มีค่าบริการเลยเรอะ? ฉันเก็บนิดเก็บหน่อยมีปัญหารึไง? อีกอย่างนายบอกว่าส่งเร็ว นายนี่มันขี้งกจริงๆ ฉันข้ามผ่านเวลามาไม่รู้กี่ปีแสงจากสามพันมหาโลก ส่งถึงในวินาทีเดียว ทั้งยังรับประกันสินค้า ไม่มีหลอกลวงทั้งเด็กหรือผู้ใหญ่ แบบนี้แพงเรอะ?” ระบบถามกลับไม่พัก

ฟางเจิ้งอ้าปากค้างพูดไม่ออกอีกครั้ง คิดตามค่าส่งบนโลกแล้ว หากข้ามผ่านโลกจริงๆ เดาว่าขายโลกก็ยังไม่พอค่าส่ง

“เฮอะๆ…ถ้าอย่างนั้นฉันก็กำไรล่ะสิ” ฟางเจิ้งพูดเสแสร้ง

“ยินดีด้วย ตอนนี้กินอาหารมื้อใหญ่ได้แล้ว ฉลองกันหน่อย”

“อะ…” คำหยาบมาถึงปากแล้วแต่ก็อดกลั้นไว้ จะได้ไม่เรียกฟ้าผ่าจากระบบมาอีก แต่ก็ยังด่าอยู่ในใจ ‘ไอ้เวร!’

ระบบอำมหิตที่อธิบายอะไรไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดก็ตามแบบนี้ ฟางเจิ้งได้แต่กลั้นใจยอมรับ ถึงอย่างไรสภาพการณ์ก็เหนือกว่า

หลังจัดการความคิดแล้วก็หยิบข้าวผลึกหนึ่งเมล็ดขึ้นมา เดินไปหลังลานวัด เมล็ดเดียวไม่จำเป็นต้องออกไปปลูก แค่หากระถางใบใหญ่แล้วฝังลงดินก็พอ จากนั้นรดน้ำ ที่เหลือก็แค่สวดภาวนา “อมิตพุทธ”

ทำทุกอย่างเสร็จแล้ว ฟางเจิ้งไปอ่านพุทธคัมภีร์ ในเมื่อจากนี้ต้องเป็นนักบวช ก็ต้องเป็นมืออาชีพหน่อย ถึงเขาจะไม่มีพุทธคัมภีร์ที่ลึกล้ำอะไร แต่การอ่านหนังสือมาก อย่างน้อยก็รับประกันว่าภายภาคหน้าตอนที่แลกเปลี่ยนความรู้กันจะได้ไม่ทิ้งห่างกันไปไกลนัก…

ฟางเจิ้งไม่ได้กินมื้อกลางวัน แต่ดื่มน้ำเย็น นอนกลางวันพักหนึ่ง หิวจนไม่หิวแล้ว

มื้อเย็น ฟางเจิ้งต้มโจ๊กกินหนึ่งหม้อ ฉีกผักป่าที่เก็บมาตอนบ่าย กินคู่กับผักดองเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นมื้อเย็นที่สมบูรณ์

ก่อนเข้านอนยังไปดูข้าวผลึกในกระถางใหญ่ แต่ก็ยังเป็นดิน ไม่เปลี่ยนไปเลย ก่อนพึมพำ “ระบบไม่น่าจะหลอกฉันหรอกมั้ง? รอวันพรุ่งนี้ครบหนึ่งวันแล้วถ้าไม่สุก ฉันจะให้คะแนนสินค้าแย่แล้วก็คืนสินค้าด้วย!”

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่เขามั่นใจด้วยความที่ระบบเป็นเจ้าของกิจการ จะให้คะแนนแย่ยังไง จะฟ้องร้องยังไงก็เป็นไปไม่ได้ จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองเท่านั้น

ฟางเจิ้งกอดความสงสัยนี้ไว้เดินกลับเข้าไปนอนในห้อง

เข้าสู่กลางดึก แสงจันทร์ส่องลงบนกระถางดอกไม้ หนึ่งเค่อต่อมากระถางเกิดการเคลื่อนไหว ดินเรียบนิ่งค่อยๆ โป่งขึ้น จากนั้นมีหน่ออ่อนผุดออกมา แกว่งไกว บิดตัวเติบโตขึ้นไม่หยุด ไม่กี่นาทีมีความสูงหนึ่งเมตร ทั้งยังมีท่าทีจะโตอีก!

วันที่สอง ฟางเจิ้งตื่นเพราะเสียงไก่ขัน สะลึมสะลือลุกขึ้นมา เปิดประตูออกไปก็เห็นหมาป่าเดียวดายนอนหมอบอยู่ในลาน ในกรงเล็บกดแม่ไก่แก่เอาไว้ตัวหนึ่ง แม่ไก่พยายามดิ้นไม่หยุด แต่ทุกครั้งหนีไปได้ไม่กี่เมตรก็ถูกหมาป่ากระโจนเข้ามาดึงกลับไป เห็นได้ว่ามันกำลังเล่นอยู่…

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็พูดไม่ออก เดินเข้าไปชี้หน้าหมาป่าเดียวดาย “มาเล่นไก่ตอนเช้าตรู่แบบนี้…เอ่อ…ชั่วร้ายจริงๆ อมิตพุทธ” ฟางเจิ้งรีบท่องบทสวดเพื่อสงบจิตใจ จากนั้นเอ่ยต่อ “นายจับไก่ตัวนี้มากินได้ แต่จะทรมานมันไม่ได้รู้ไหม?”

หมาป่าเดียวดายเห่าสองที

ฟางเจิ้งตะลึงงัน “นายจับไก่มาให้ฉันเหรอ?”

หมาป่าเดียวดายพยักหน้ารัวๆ เหมือนกำลังพูดว่า ใช่ จับมาให้นาย รีบกินเถอะ มันอร่อยนะ

ฟางเจิ้งมองแม่ไก่อ้วนกลมก่อนลูบหัวตัวเอง รู้สึกเศร้าในใจ แม้จะอยากกินเนื้อสัตว์แค่ไหนก็ตาม ก็ได้แต่อดกลั้นไว้ ด่าคนถูกฟ้าผ่า ขืนกินเนื้อสัตว์ ผีก็รู้ว่าระบบจะลงโทษเขายังไง คงจะจับลงหม้อน้ำมัน?

คิดๆ แล้วฟางเจิ้งก็หวาดกลัว เลยพูดอย่างเคร่งขรึม “อมิตพุทธ หมาป่า นายกินไก่เพราะสัญชาตญาณ อีกอย่างนายไม่เชื่อพุทธ ไม่ใช่นักบวช เลยกินเนื้อได้ แต่ฉันเป็นนักบวช นักบวชฆ่าสัตว์กินเนื้อไม่ได้ หากนายจะกินไก่ตัวนี้ก็กิน หากไม่กินก็ปล่อยไป”

หมาป่าเดียวดายอึ้ง จากนั้นก็งับไก่เตรียมจะไป

ฟางเจิ้งเห็นร่างอ้วนอวบของแม่ไก่ ไม่ว่ามองยังไงก็ไม่เหมือนสัตว์ป่า จึงตบป้าบเข้าที่หัวแล้วเรียกไว้ “เดี๋ยว! นายได้ไก่ตัวนี้มาจากที่ไหน? บนเขาเอกดรรชนีไม่มีนี่” ฟางเจิ้งพูดจบก็ว่าต่อทันใด “บนเขาเอกดรรชนีไม่มีไก่!” กล่าวในใจต่อ ‘อมิตพุทธ ชั่วร้ายอีกแล้ว…’

……………………

[1] บรรลุอรหันต์ คือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เป็นพระผู้ประเสริฐสูงสุดผู้ซึ่งละกิเลสสิบประการ

[2] เขาพระสุเมรุ คือภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาล เป็นที่อยู่ของสิ่งมีวิญญาณในภพและภูมิต่าง ๆ ของสัตว์โลก ตั้งอยู่เหนือน้ำ 84,000 โยชน์ มีภูเขารองรับ 3 ลูก

[3] หนึ่งจินเท่ากับ ห้าร้อยกรัม