ตอนที่ 13 มีญาติโยมมาอีก

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

หมาป่าเดียวดายวางแม่ไก่ลงแล้วเงียบไป ส่วนแม่ไก่ร้องกระต๊อกๆ ดังวุ่นวายไปหมด ฟางเจิ้งก็ฟังเข้าใจเหมือนกัน

แม่ไก่พูดว่า “ไต้ซือช่วยด้วย! ฉันเป็นไก่บ้านครอบครัวสุจริตตรงตีนเขา! มีเจ้าของแล้ว! ไอ้หมาป่าเฮงซวยมันอาศัยจังหวะที่ฉันไม่ระวังมาจับฉันในเล้าไก่! ช่วยด้วย! ฉันไม่อยากตาย! กระต๊อกๆ”

ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด มองแม่ไก่ดิ้นไปดิ้นมาแบบนี้ก็คาดการณ์ได้ ต่อให้เขาไม่ใช่นักบวชก็เชือดไก่มากินเนื้อไม่ลงไหม? เขาเริ่มสงสัยระบบแล้วว่าให้ความสามารถนี้เขาทำไม จะต้องไม่มีเจตนาที่ดีแน่

“เอาล่ะ ไม่ต้องร้องแล้ว เช้าตรู่แบบนี้ คนที่เขารู้ก็คิดว่าแม่ไก่ขัน แต่คนที่ไม่รู้จะคิดว่าฉันกินเธอ” ฟางเจิ้งพูดถึงตรงนี้ก็มีภาพประหลาดวูบผ่านในความคิด ทำเอาเขาสะอิดสะเอียน รีบโบกมือ “หมาป่าเดียวดาย ส่งมันกลับไป จากนี้อย่าขโมยไก่อีก เรื่องกินเดี๋ยวฉันจัดการเอง”

แม้หมาป่าเดียวดายไม่เต็มใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า คาบไก่อ้วนลงเขาไป

ฟางเจิ้งที่อยู่ไกลๆ ยังได้ยินเสียงร้องจากแม่ไก่อ้วน “ขอบคุณไต้ซือ! ขอบคุณไต้ซือ! ไอ้หมาบ้า คิดว่าดุร้ายนักเรอะ? ทำไมถลึงตามองฉันล่ะ? ฉันก็จะถลึงตามองแกเหมือนกัน ใครกลัวใครล่ะ? แกกล้ากินฉันหรือเปล่าล่ะ? แกไม่กลัวไต้ซือเหรอ บลาๆๆ…”

ฟางเจิ้งฟังเสียงพูดไม่หยุด ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคนโบราณถึงเปรียบคนที่พูดไม่หยุดเหมือนกับแม่ไก่แก่! มันพูดมากกว่าเป็ดอีก…ขณะเดียวกันเขาก็เห็นใจหมาป่าเดียวดาย ตลอดทางลงเขาคงจะโดนลงโทษจนหูชาแล้ว

คล้อยหลังหมาป่าเดียวดาย ฟางเจิ้งท้องร้องดังจ๊อกๆ หิวแล้ว!

ฟางเจิ้งไปหากระถางดอกไม้ที่ปลูกข้าวผลึกไว้เป็นอันดับแรก แต่ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น! นั่นคือกลิ่นข้าว ในความหอมเบาๆ แฝงไว้ด้วยความยั่วยวนให้ลิ้มลองเสี้ยวหนึ่ง!

ฟางเจิ้งพิจารณามอง เห็นว่าในกระถางดอกไม้มีต้นข้าวสูงสองเมตร บนต้นข้าวเต็มไปด้วยเม็ดข้าว เปลือกข้าวสีทองอร่ามปกปิดความแวววาวข้างในไม่มิด ทันใดนั้นพวกมันปริแตกออก ดันตัวออกมา

กลิ่นหอมสดชื่นลอยโชยมาจากข้าวผลึก แม้จะโชยไปเพียงสิบกว่าเมตร แต่ก็เป็นข้าวที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา! ไม่ต้องหุง แค่ดมกลิ่นก็รู้สึกว่านั่นเหมือนกับสมบัติล้ำค่า ข้าวประทังชีวิตในโอ่งข้าวเหล่านั้นกลายเป็นกากทันที เอาเข้าปากไม่ได้แล้ว

ช่วงที่ฟางเจิ้งกำลังเคลิ้มนั้น เกิดเสียงดังแป๊ก ข้าวเม็ดหนึ่งบวมจนเปลือกข้าวแตกออกร่วงลงมา! จากนั้นเหมือนเชื่อมต่อถึงกัน ข้าวผลึกทั้งหมดพากันหลุดออกมาเอง!

ฟางเจิ้งรีบวิ่งเข้าไปรับข้าวไว้ ไม่รับก็ไม่รู้ แต่พอรับแล้วตกใจสะดุ้งโหยง บนรวงข้าวต้นนี้มีข้าวผลึกอยู่หนึ่งจิน! มีผลผลิตที่น่าตกใจจริงๆ!

หากเป็นปกติ ต้นข้าวที่งามที่สุดในไร่จะให้ผลผลิตเป็นหน่วยกรัมทั้งหมด แต่นี่เป็นหน่วยจิน! ความคิดแรกของฟางเจิ้งคือหากส่งออกเมล็ดข้าวจำนวนมากคงจะร่ำรวยไม่ยาก! อีกอย่างสำหรับประเทศที่ขาดแคลนข้าวเหล่านั้นแล้ว นี่ถือเป็นบุญกุศลช่วยชีวิตคนอย่างแน่นอน!

พอนึกถึงการช่วยคนจำนวนมากก็จะได้จับรางวัลนับครั้งไม่ถ้วน ฟางเจิ้งแทบจะน้ำลายไหล แต่พอนึกถึงราคา ความคิดทุกอย่างพลันมอดดับไป

หนึ่งเมล็ดสองร้อยหยวน นี่มันราคาสวรรค์ชัดๆ หากเขาจะเอาไปขายจริงๆ เดาว่าในวันเดียวคงถูกคนถ่มน้ำลายใส่จนตาย! ให้ผลผลิตหนึ่งจินก็ไม่มีประโยชน์ หนึ่งจินสามร้อยหยวน แบบนี้ก็เป็นราคาสูงลิ่วเหมือนกัน!

ที่สำคัญที่สุดคือเขาไม่มีเงินจริงๆ! จะซื้อสินค้าจากระบบก็ต้องใช้เงินจากบุญกุศล เงินชนิดนี้มีแต่ผู้เลื่อมใสบริจาคเงินจุดธูปด้วยความจริงใจเท่านั้นถึงจะได้ แต่ว่าเงินชนิดนี้ ด้วยธูปอันสว่างไสวของวัดเอกดรรชนีแล้ว เขาคาดการณ์ได้ว่าคงตายก่อนได้ซื้อเมล็ดมากขนาดนั้น ที่รับประกันว่าตนจะไม่หิวตายได้ก็มีแต่อมิตพุทธกับอภินิหารพระพุทธองค์ ส่วนกรุณาธิคุณอื่นๆ…ฝันเอาเถอะ!

“ก็คงได้แต่หวังว่าธูปในภายภาคหน้าจะสว่างไสวพอ หากได้เป็นวัดใหญ่หมายเลขหนึ่งในโลกจริงๆ เงินบริจาคธูปจะต้องมีไม่น้อยแน่ ถึงตอนนั้นก็จะซื้อเมล็ดข้าวได้…” ฟางเจิ้งพึมพำก่อนถามขึ้น “พี่ระบบ ถ้าเอาเมล็ดนี่ออกไป เทคโนโลยีของโลกเราจะเข้าใจมันหรือเปล่า? หรือจะเลียนแบบ ปรับแก้อะไรพวกนี้ได้หรือเปล่า?”

“มดเข้าใจคณิตศาสตร์ได้ยังไง? นี่คือคำถาม” ระบบตอบกลับอย่างขบขัน

ฟางเจิ้งล้มเลิกความคิดนี้อย่างเด็ดขาด การคงอยู่ของระบบก็อธิบายไม่ได้ด้วยวิทยาศาสตร์แล้ว ข้าวผลึกจะต้องเป็นแบบเดียวกันแน่

ฟางเจิ้งถามต่อ “ข้าวผลึกในมือฉันเอามาปลูกอีกได้ไหม?”

“ไม่ได้ ข้าวพวกนี้กินได้อย่างเดียว ไม่มีประโยชน์อื่น” ระบบตอบ

ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างจนปัญญา ในเมื่อกินได้อย่างเดียว งั้นก็กิน! ข้าวในโอ่งวางไว้อย่างนั้นก่อน เขาลงทุนไปสามร้อยหยวน จะต้องลองก่อน!

ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปหุงข้าว ตัวคนเดียวข้าวกำมือเดียวก็พอ ต้องประหยัดข้าวหนึ่งจินไว้ อย่างน้อยก็กินได้ราวๆ วันสองวัน

ข้าวสีสันแวววาว ไม่ต้องซาวข้าวเลย เอาใส่หม้อ เติมน้ำ จุดฟืน ที่เหลือก็แค่รอ

หลายนาทีต่อมากลิ่นหอมสดชื่นโชยมาจากในหม้อ ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าหิวหรือเพราะอะไร ดมกลิ่นหอมข้าวแล้วรู้สึกลอยล่อง จึงตะโกนเสียงดัง “ชีวิตนี้ไม่เคยได้กลิ่นข้าวหอมแบบนี้มาก่อนเลย! หากหลวงตายังอยู่ก็ดี ได้กินข้าวแบบนี้แล้วจะต้องหัวเราะจนสวดอมิตพุทธแน่ๆ”

นึกถึงหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ความตะกละของฟางเจิ้งถูกความคิดจืดจางกลบลงไป

ขณะเดียวกันมีคนสามคนขึ้นมาบนเขา

“ผู้ใหญ่บ้าน เรื่องนี้มันลึกลับไปหน่อยมั้ง? ไม่ใช่ว่าวัดเอกดรรชนีใกล้พังแล้วเรอะ? ช่วงก่อนพวกเรายังมาดูกันอยู่เลย แถมผมยังเป็นคนส่งเอกสารจากรัฐบาลให้เองด้วย? นักศึกษาพวกนั้นบอกว่าพวกเราหลอกพวกเขา? แถมยังบอกอีกว่าวัดเอกดรรชนีใหม่เอี่ยม…นี่มันไร้สาระชัดๆ” ชายสวมชุดขนสัตว์สีฟ้าเข้ม สวมหมวกแบนราบพูดบ่น

“เอาเถอะ บ่นมาตลอดทางแล้ว พูดอยู่ได้จะมีประโยชน์อะไร? ไปดูก็รู้เองไม่ใช่เรอะ?” นี่คือผู้ใหญ่บ้านหวังโอ้วกุ้ยจื่อในหมู่บ้านตรงตีนเขาผู้สวมกางเกงสีสันพรางตา รองเท้าผ้าใบ สวมเสื้อเชิ้ตเหลืองอ่อนคลุมด้วยเสื้อโค้ตสีเขียวอ่อน คนที่พูดก่อนหน้านี้คือนักบัญชีหยางผิงในหมู่บ้าน อีกคนเป็นชายสูงอายุดูลึกลับยากจะคาดเดา นั่นคือเสมียนถานจวี่กั๋ว

เดิมทีสามคนนี้ไม่ได้จะขึ้นเขาเอกดรรชนี ถึงอย่างไรภูเขาก็ค่อนข้างชัน บันไดขึ้นเขามีตะไคร่สีเขียวยึดครองพื้นที่ หากไม่ระวังจะลื่นตกเขาถึงแก่ชีวิตได้ง่ายๆ ตอนนี้มีแค่นายพรานชราจำนวนหนึ่งกับผู้รักงานอดิเรกเป็นบางครั้งที่จะมาปีนเขาเอกดรรชนี

ส่วนมาไหว้พระอะไรบนเขาก็มีเพียงผู้สูงอายุที่ยังไม่ลืมภาพในอดีตอีกเล็กน้อยที่จะมา ตอนนี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่อยู่แล้ว ผู้สูงอายุเหล่านั้นจึงตัดภาพในอดีต ไม่มาอีก

สามคนคุยกันจนมาถึงยอดเขา พอเงยหน้าขึ้นก็ตะลึงงัน

“หยางผิง นี่มันวัดเอกดรรชนีที่กำแพงผุพังแถมกระเบื้องแตกอย่างที่แกบอกแน่เหรอ? หากนี่เป็นวัดผุพังกระเบื้องแตกจริงๆ เล้าหมูบ้านเราก็คงสู้ไม่ได้แล้วล่ะ!” ยังไม่ทันที่ผู้ใหญ่บ้านจะกล่าว ถานจวี่กั๋วก็มีท่าทีขมึงทึง

………………….