“เสมียนถาน เอ่อ…ตะ…ตอนที่ผมมา ที่นี่…โอ้ว ไม่รู้แล้ว” หยางผิงมองวัดที่ใหม่เอี่ยมตรงหน้า เขารู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ความจริงชนะทุกอย่าง

หวังโอ้วกุ้ยกล่าว “อาถานอย่าโทษหยางผิงเลย ผมเดาว่าเจ้านี่มันขี้เกียจ ไม่ได้ขึ้นเขามาแน่ๆ เพียงแค่ให้คนส่งเอกสารจากรัฐบาลแล้วก็กลับไปรายงาน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาพูดโกหกหรอกนะ ผมจำได้ว่าเมื่อปีก่อนตอนมาวัดเอกดรรชนี ที่นี่เสื่อมโทรมจริงๆ หนึ่งปีมานี้ ไม่เห็นเลยว่ามีใครขนย้ายอิฐกับกระเบื้องขึ้นเขามาซ่อมวัด ทำไมวัดถึงใหม่ได้ล่ะ?”

ถานจวี่กั๋วขมวดคิ้วเป็นตัว八 ส่ายหน้าพลางพูดขึ้น “ไม่รู้ก็ไปถามสิ”

หวังโอ้วกุ้ยกับหยางผิงไม่ออกความเห็นอะไร จึงตามขึ้นไปพร้อมกัน

ระหว่างทาง หวังโอ้วกุ้ยเอ่ยขึ้น “อาถาน หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่อยู่แล้ว ตอนนี้วัดเอกดรรชนีก็น่าจะเหลือแต่สามเณรฟางเจิ้งนั่นคนเดียวใช่ไหม? ผมจำได้ว่าตอนนั้นเขายังเรียนอนุบาลที่หมู่บ้านเราอยู่เลย ต่อมาอาก็ส่งเขาไปเรียนมัธยมต้นกับมัธยมปลายใช่ไหม?”

นัยน์ตาถานจวี่กั๋วฉายแววหวนรำลึก พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ ตอนนั้นเจ้าเด็กคนนั้นยังเด็ก ตอนนี้เป็นเจ้าอาวาสแล้ว เฮอะๆ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ…”

ระหว่างคุยกันสามคนมาถึงหน้าประตูใหญ่วัดเอกดรรชนี เงยหน้าขึ้นเห็นป้ายวัดสีทอง สามคนพลันเกิดความเคารพขึ้นโดยจิตใต้สำนึก ความกังวลในใจทั้งหมดหายไป เหลือเพียงจิตใจสงบ รวมถึงรู้สึกถึงพลังน่าเกรงขาม ทำให้พวกเขาเบาเสียงลงโดยไม่รู้ตัว

ทางภาคเหนือโดยเฉพาะหมู่บ้าน จะมีพื้นที่กว้างแต่คนน้อย ชาวบ้านจะใช้การตะโกนตั้งแต่เด็กเพื่อสื่อสารกัน ดังนั้นตอนพูดจึงค่อนข้างเสียงดัง พอนานเข้าก็ชินและปรับแก้ไม่ได้แล้ว

แต่เวลานี้สามคนเบาเสียงลงโดยไม่รู้ตัว จนเมื่อพวกเขาได้สติกลับมาถึงตกใจ

ตอนนี้ประตูวัดเปิดออก สามคนเดินเข้าไปข้างในเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ เมื่อเข้าประตูไปก็เห็นต้นโพธิ์ในลาน เห็นต้นไม้แก่ที่ตายแล้วยังอยู่รอด ซ้ำร้ายผ่านลมหนาวจนมาถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงดันแตกกิ่ง สามคนเห็นดังนั้นพลันเกิดความรู้สึกราวกับเห็นผี

“อาถาน ตอนที่ผมมาครั้งก่อน ต้นไม้นี่ใกล้จะแห้งตายอยู่แล้ว ทำไมถึงยังแตกกิ่งได้? นี่…” หยางผิงพูดด้วยอาการตัวสั่น

“ระวังคำพูดหน่อย! ที่นี่วัดนะ ไม่ใช่ประตูผี มีได้ก็เพราะพระพุทธองค์แสดงอภินิหาร ไม่มีปีศาจผีร้ายอะไรทั้งนั้น แกจะกลัวทำไมหะ!” ถานจวี่กั๋วต่อว่า

หยางผิงถึงได้สติกลับมา ยิ้มเฝื่อนๆ “ก็ผมรู้สึกว่ามันแปลกเกินไปนี่”

“แปลกอะไร ครั้งก่อนที่แกมาก็เมื่อหลายปีก่อน อะไรๆ ก็เปลี่ยนไปบ้างมันแปลกรึไง?” หวังโอ้วกุ้ยแค่นเสียงหึหึ

หยางผิงมีสีหน้าขมขื่น ไม่ว่าหวังโอ้วกุ้ยหรือถานจวี่กั๋วก็ไม่มีใครเชื่อ แต่เขารู้ดีที่สุดว่าเมื่อหลายวันก่อนเขามาที่นี่จริงๆ! เห็นอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า นั่นคือกระเบื้องแตก ต้นไม้แก่แห้งตาย หลายวันผ่านไปกลับเปลี่ยนไปเช่นนี้ เขารู้สึกว่ามันพิลึกจริงๆ น่ากลัว

“หืม? กลิ่นอะไรน่ะ?” ตอนนี้เองถานจวี่กั๋วพลันสูดลมหายใจเข้าสองที

“หอมมาก! เหมือนกลิ่นข้าวเลย แต่ก็ไม่เหมือน! หอมกว่าข้าวในนาพวกเรามาก…แค่ดมท้องผมก็ร้องจ๊อกๆ แล้ว” หวังโอ้วกุ้ยลูบท้อง

“เหมือนว่าจะมาจากข้างหลัง ไปดูกันเถอะครับ” หยางผิงดมกลิ่นหอม ความคิดฟุ้งซ่านในใจหายไป ก่อนชี้ไปยังประตูข้างหลัง

“ไป ไปดูกัน” ถานจวี่กั๋วพยักหน้า สามคนจึงเรียงกันเข้าไปอย่างเป็นระเบียบ

พวกเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ว่าหากไม่เจอเจ้าบ้านก็ห้ามบุกเข้าไปโดยพลการ ชาวนาทางภาคเหนือก็เยี่ยมญาติกันด้วยวิธีแบบนี้ ไปถึงบ้านใคร หากไม่ใช่ขโมยหรือปล้นก็จะเข้าไปอย่างโจ่งแจ้ง เพียงแต่ว่าปกติจะไม่เข้าไปในห้อง แต่จะเรียกสักสองครั้ง บอกเจ้าบ้านว่าพวกเขามา

ทว่าพอเข้ามาหลังวัด กลิ่นหอมของข้าวกลับรุนแรงกว่าเดิม กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก ทำให้เกิดน้ำลายสอในปากจนต้องเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังเคี้ยวหนุบๆ เหมือนกำลังกินอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะกลิ่นหอมกระตุ้นท้องให้ร้องจ๊อกๆ เป็นการประท้วงล่ะก็ เดาว่าสามคนนี้คงไม่รู้ว่าตนหิวอยู่ และยังคิดว่าตนกินไปแล้วด้วย

ฟางเจิ้งอยู่ในมุมของห้องครัว พอสามคนเข้ามาก็มองผ่านหน้าต่างไปเห็นฟางเจิ้งกำลังยุ่งอยู่ในครัว

“ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้ง!” หยางผิงตะโกนไปก่อน

ตอนนี้ฟางเจิ้งกำลังแช่ผักป่าในซีอิ๊ว เตรียมเป็นกับข้าว ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนเรียกจากข้างนอกจึงเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนพูดด้วยความตกใจ “นักบัญชีหยาง? อาหวัง ปู่ถาน? พวกอามาทำอะไรกัน?”

“ทำไมพวกเราจะมาไม่ได้หะ? แกสร้างเรื่องใหญ่โตบนเขาแบบนี้ พวกเรามาดูบ้างไม่ได้รึไง?” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง

ฟางเจิ้งออกมาจากห้องครัว จะหาที่นั่งสักสองตัว แต่ก็กลัดกลุ้ม เพราะที่นี่เหมือนจะไม่มีอะไรนั่งได้

หวังโอ้วกุ้ยด่ายิ้มๆ “เอาเถอะ ไม่ต้องหา วัดเล็กแบบนี้ฉันไม่เห็นว่าจะมีอะไรมาต้อนรับพวกเราได้หรอก และก็ไม่ต้องหาที่นั่งด้วย เป็นคนกันเอง เราไม่สนใจของพวกนั้นของคนในเมืองหรอก นั่งบนพื้นก็พอแล้ว”

พูดจบหวังโอ้วกุ้ยก็นั่งลงบนพื้น ถานจวี่กั๋วก็เช่นกัน แม้หยางผิงจะไม่ยินดีนัก แต่ก็ปัดหินข้างๆ แล้วนั่งลง

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็นั่งลงพื้น ลูบหัวโล้นแล้วแสร้งถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว “เรื่องใหญ่อะไรเหรอ?”

“เจ้าเด็กนี่ ไม่เลวเลยนี่? ไม่ได้ขึ้นเขามาหนึ่งปี แกสร้างวัดเอกดรรชนีใหม่ซะแล้ว ไม่เลว!” หวังโอ้วกุ้ยหัวเราะเสียงดัง

ฟางเจิ้งเบะปาก ไม่ได้พูดอะไร แต่มองหยางผิง

หยางผิงกล่าวด้วยความโมโหมาก “ฟางเจิ้ง นายบอกกับผู้ใหญ่กับเสมียนไปเลยนะ ว่าฉันมาที่นี่เมื่อหลายวันก่อน เอาเอกสารราชการให้นายกับมือเลยใช่ไหม?”

ฟางเจิ้งอยากโกหกมาก แต่การโกหกผิดศีล เลยได้แต่พยักหน้า “ใช่”

สิ้นเสียง หวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋วอึ้งไป เดิมทีคิดว่าหยางผิงแอบขี้เกียจขึ้นเขา ทว่าหยางผิงกลับขึ้นมาจริงๆ ถ้าอย่างนั้นที่เขาพูดมา…หรือจะเป็นความจริง? สองคนมองกัน ต่างเห็นถึงความสงสัยในแววตา

หยางผิงพูดต่อ “ฟางเจิ้ง ฉันถามนายนะ เมื่อหลายวันก่อน วัดนี้เสื่อมโทรมใช่ไหม?”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “ใช่”

หยางผิงเงยหน้าขึ้นมองหวังโอ้วกุ้ยกับถานจวี่กั๋ว เหมือนกำลังบอกว่าไงล่ะ! ผมไม่ได้โกหกใช่ไหม?

หวังโอ้วกุ้ยขมวดคิ้ว “ฟางเจิ้ง แกบอกกับอามาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? หลายวันก่อนที่นี่ยังเสื่อมโทรม ทำไมหลายวันต่อมาถึงกลับมาใหม่? หลายวันมานี้แกเห็นคนงานก่อสร้างขึ้นมารึเปล่า?”

ถานจวี่กั๋วพูดเสริม “จริงๆ นะเจ้าฟาง เรื่องนี้มันออกจะพิสดารหน่อยๆ นะ”

ฟางเจิ้งตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ คงปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ แต่เขาก็พูดถึงระบบไม่ได้ หากเป็นอย่างนั้นจะต้องมีปัญหามานับไม่ถ้วนแน่ ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เขาจึงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคารพอย่างสุดซึ้ง จากนั้นยืนขึ้น ประนมสองมือโค้งตัวคารวะไปทางตะวันตกตามมารยาทแล้วสวดบทหนึ่ง “อมิตพุทธ…”

……………………….