ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่ไม่แน่ใจนักว่าอวี่ถง เจ้าของคลินิกนั้นเห็นเขาออกนอกเมืองไปจริงๆ หรือแค่คิดจะใส่ร้ายเขาทั้งๆ ที่ไม่เห็นอะไรกันแน่
แต่ให้หลังฉุกคิดขึ้นได้ว่าตอนนั้นตนไม่เห็นอวี่ถงเลย หลังจากแย่งชิงกิจการจากอวี่ถงมา เริ่นเสี่ยวซู่ก็ระมัดระวังการล้างแค้นจากเขาอยู่ อย่างไรเสียช่วงเวลาแบบนี้ ระวังแผนการร้ายจากผู้อื่นไว้ก่อนล้วนเป็นเรื่องจำเป็นเสมอ ด้วยเหตุนี้เอง หากเริ่นเสี่ยวซู่ไม่มีความทรงจำของ ‘ตัวอันตราย’ นี่ในสมอง ย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นตนออกจากเมืองจริงๆ แต่อวี่ถงน่าจะตั้งใจใส่ร้ายเริ่นเสี่ยวซู่มากกว่า
ส่วนเรื่องที่ว่าอวี่ถงได้คิดไหม หากแผนการตัวเองล้มเหลวจะเกิดอะไรขึ้นนั้น เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าเจ้าหมอนั่นคงไม่ฉลาดพอที่จะคิดได้หรอก
ก่อนหน้านี้เริ่นเสี่ยวซู่ยังพอทนกับอวี่ถงได้ อย่างไรเสียตนก็ไปช่วงชิงกิจการจากเขามา จะทำลายล้างเขาเสียให้สิ้นก็เกินไปหน่อย เลยเตือนสติให้อวี่ถงกลับไปตั้งใจศึกษาตำราแพทย์เสีย แต่สุดท้ายคนผู้นี้นอกจากไม่ยอมฟังคำแนะนำแล้ว ยังคิดวางแผนแทงข้างหลังเขา
เริ่นเสี่ยวซู่มองอวี่ถงที่วิ่งหนีหางจุกตูดกลับเข้าเมืองไปอย่างเหยียดหยาม ตรงที่เขายืนก่อนหน้านี้มีน้ำอยู่แอ่งหนึ่ง
ข้างๆ เขา หวังฟู่กุ้ยหัวเราะว่า “ดูเหมือนฉันไม่ต้องเข้ามาสอดก็ได้นะเนี่ย ยังไงเธอก็ไม่เป็นไรอยู่แล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปขอบคุณหวังฟู่กุ้ยอย่างใจจริง เขาจะจดจำใส่ใจไว้เสมอว่าใครบ้างที่พร้อมออกมาพูดจาแทนเขาในสถานการณ์เช่นนี้
“ไอหยา ไม่ต้องเกรงใจๆ” หวังฟู่กุ้ยยิ้มสดใส “ถ้าไม่ใช่ว่าเถ้าแก่หลัวชื่นชมในตัวเธอ ฉันก็คงขลาดกลัวเกินกว่าจะกล้าออกมาพูดแทนเธออยู่ดีแหละน่า เถ้าแก่หลัวถึงกับส่งคนมาบอกกับผู้ดูแลของเมืองให้ดูแลเธอโดยเฉพาะเชียวนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ “เถ้าแก่หลัวคือใคร แล้วเขารู้จักฉันได้ยังไงเหรอลุง”
หวังฟู่กุ้ยเล่นหูเล่นตาใส่เริ่นเสี่ยวซู่แล้วกระซิบ “ยาของเธอ…เถ้าแก่หลัวแกอย่างชอบแน่ะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
ตระหนักได้ทันทีว่ายาดำที่หวังฟู่กุ้ยซื้อไปคือส่งไปให้ในป้อมปราการ
“เถ้าแก่หลัวฝากมากบอกว่า ตราบใดที่เธอสามารถส่งยาดำให้เขาทุกเดือน เขาจะทำให้มั่นใจว่าปัญหาภายนอกป้อมปราการทำอะไรเธอไม่ได้” หวังฟู่กุ้ยยิ้ม ในความเป็นจริงแล้วที่ทำอย่างนี้เขายังมีจุดประสงค์เบื้องลึกเบื้องหลังอื่นอีก อย่างไรเสียการที่เขาทำหน้าที่เป็นคนกลางส่งยาดำของเริ่นเสี่ยวซู่ให้เถ้าแก่หลัว ก็เท่ากับเป็นการรับประกันความปลอดภัยของตัวเองเหมือนกัน
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็คิดอะไรได้ “เถ้าแก่หลัวทรงอำนาจอิทธิพลในป้อมมากเลยเหรอ”
“เธอยังไม่รู้สินะ” หวังฟู่กุ้ยประกาศก้องอย่างภาคภูมิ “เขาเป็นตัวแทนของสมาคมตระกูลชิ่งในป้อมปราการ 113”
“ถ้าเขาเป็นตัวแทนของสมาคมตระกูลชิ่ง ทำไมนามสกุลเขาถึงไม่ใช่ ‘ชิ่ง’ ล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“ฉันบอกเธอแล้วอย่าปากโป้งไปล่ะ” หวังฟู่กุ้ยกดเสียงต่ำ กระซิบ “ได้ยินว่าเขาเป็นพี่ชายนอกสมรสของผู้มีอำนาจในสมาคมตระกูลชิ่งคนหนึ่ง เขาเป็นลูกนอกสมรสน่ะ”
“งั้นลุงขอให้เถ้าแก่หลัวช่วยพาพวกเราเข้าไปในป้อมได้ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าถ้าผู้ทรงอำนาจในป้อมปราการอย่างเถ้าแก่หลัวพร้อมช่วยพวกเขา แบบนั้นการจะเข้าไปในป้อมปราการก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว
“พวกเราเป็นผู้ปนเปื้อน จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในป้อมได้ยังไง” หวังฟู่กุ้ยว่าเสียงเศร้า “แถมนะ ถ้าเธอเข้าไปในป้อมปราการได้ แล้วใครจะออกไปเก็บสมุนไพรป่าให้เถ้าแก่หลัวล่ะ”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันเข้าใจ เหตุผลแท้จริงที่เขาเข้าไปในป้อมปราการไม่ได้คือประโยคหลังสินะ? เถ้าแก่หลัวไม่มีเหตุผลอะไรต้องพาพวกเริ่นเสี่ยวซู่เข้าไป เขาเลยปล่อยให้เริ่นเสี่ยวซู่อยู่นอกป้อมปราการ คอยส่งยาดำให้เขาอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
คืนเดียวกันนั้น เหยียนลิ่วหยวนเกิดอาการไข้ขึ้นสูง เริ่นเสี่ยวซู่แลกยาดำมาขวด ลองนำไปทาที่หน้าผากของเหยียนลิ่วหยวน แต่ไข้ก็ไม่ได้ลดลงเลย
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอยู่ข้างเตียง มองเหยียนลิ่วหยวนที่ร่างอ่อนระโหยโรยแรง แล้วถอนหายใจออกมา “นายไม่ต้องอธิษฐานก็ได้ ต่อไปถ้าฉันไม่ขอก็อย่าอธิษฐานอะไรอีก เข้าใจไหม อาการไข้ข้างเคียงแบบนี้อาจจะถึงชีวิตได้นะ”
เหยียนลิ่วหยวนลืมตาแทบไม่ไหว พูดเสียงอ่อนแรง “แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ ผมจะอยู่ยังไง”
เริ่นเสี่ยวซู่ก้มศีรษะลงต่ำ ตกอยู่ในภวังค์ “อย่าโง่น่า สักวันหนึ่งฉันจะทำให้พวกเรามีชีวิตที่สุขสบายได้อย่างแน่นอน”
“อื้อ…”
……
เช้าวันต่อมา ยามเริ่นเสี่ยวซู่ออกไปตักน้ำ ก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินข่าวเรื่องหนึ่ง อวี่ถงเก็บข้าวของเงินทองตัวเองหนีไปกลางดึกแล้ว เขายอมไปเผชิญอันตรายที่หลบซ่อนอยู่ในแดนรกร้างดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับเริ่นเสี่ยวซู่
มีคนพูดว่าอวี่ถงไปป้อมปราการ 114 เพราะมันใกล้กับป้อมปราการ 113 ที่สุด แถมยังอยู่คนละทิศกับทางที่ฝูงหมาป่าปรากฏตัว ตราบใดที่ใช้ถนนเส้นหลักก็น่าจะไม่เป็นไร
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเลยทีเดียว อวี่ถงผวาขนาดหนักจนหนีเตลิดเปิดเปิงไปซะแล้ว…
ทว่ามีเรื่องหนึ่งที่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจกว่าเดิม เฉินไห่ตง ผู้ดูแลที่ถูกส่งมาจากในป้อม มาเคาะประตูกระท่อมเขาถึงที่ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างสุภาพว่า “เริ่นเสี่ยวซู่ ฉันได้ยินว่านายรู้วิธีรักษาและช่วยชีวิตคนใช่ไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่ชะงัก “รักษาได้แต่แผลจากมีดแล้วก็อาการบาดเจ็บภายนอก”
“ไม่เป็นไรๆ” เฉินไห่ตงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม “แค่นั้นก็ทำให้เป็นหมอได้แล้ว ตอนนี้เมืองของเราไม่มีแพทย์ประจำอยู่อีก สนใจจะมาเป็นไหม”
เหยียนลิ่วหยวนที่นอนซมจากไข้ลืมตาโพลงด้วยความตกตะลึง พี่ชายเขาแค่อยากได้เงินกับเหรียญคำขอบคุณเท่านั้นเอง ไหงกลายเป็นหมอไปได้ล่ะเนี่ย! แถมที่สำคัญคือกำลังจะได้กลายเป็นหมอคนเดียวของเมืองอีก เขายังไม่ทันได้อธิษฐานขอพรอะไรเลยนะ!
หรือเพราะการอธิษฐานแบบสูญเปล่าเมื่อคืนมันไปเปลี่ยนแปลงโชคชะตาบางอย่างของเริ่นเสี่ยวซู่
ถึงอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นเพราะผู้ดูแลเฉินไห่ตงอยากได้รับความชอบจากเถ้าแก่หลัว
อำนาจทำให้ผู้คนรอบกายท่านพยายามทุกวิถีทางเพื่อรับใช้ท่าน
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้โง่ รับคำทันที “แล้วบ้านที่คลินิก ฉันสามารถ…”
“ได้ ได้เลย” เฉินไห่ตงยิ้มแสดงความเป็นมิตร “ได้อย่างแน่นอน! ในเมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว นายย้ายเข้าไปวันนี้เลยก็ได้”
จากนั้นเฉินไห่ตงก็เดินเอามือไพล่หลังจากไป ฮัมเพลงในลำคอ แล้วก็เป็นเหล่าหวังมาหาพร้อมกับหนีบกล่องบางอย่างมาด้วย หลังจากเหล่าหวัง ก็ยังมีกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดของเมือง ซึ่งพวกเขาล้วนอาศัยในบ้านอิฐ พอได้ยินข่าวก็ต่างแวะมาด้วย
บางคนก็เปิดบ่อนพนันเล็กๆ บ้างเปิดร้านขายผ้า บ้างเปิดร้านธัญพืช…
เหล่าหวังพูด “ยินดีด้วยนะเริ่นเสี่ยวซู่! แบบนี้ก็ได้มีบ้านอิฐของตัวเองแล้ว!” ระหว่างพูดเหล่าหวังก็ยื่นกล่องของขวัญให้เริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันเอาของขวัญเล็กๆ น้อยๆ มาให้เธอกับลิ่วหยวน ในเมื่อพวกเธอต่างกำลังโตกันทั้งคู่ ต้องบำรุงร่างกายเสียหน่อย!”
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดออกดูอย่างสนใจใคร่รู้ แล้วก็ประหลาดใจที่เห็นก้อนอะไรบางอย่างสีขาว “เจ้านี่คือ?”
“เธอไม่รู้จักสินะ ฉันเก็บรังนกนี่มาหลายปีแล้ว” หวังฟู่กุ้ยว่า “ดีกับร่างกายมากเลยนะ!”
เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินเรื่องรังนก แต่ไม่เคยเห็นกับตา แถมยังข้องใจกับมันมาตลอด “คุณจางบอกว่ารังนกทำจากน้ำลายนกนางแอ่น แต่ไม่คิดเลยว่าน้ำลายจะข้นจนหนาได้ขนาดนี้ ทำเอาคิดว่ามันน่าจะทำจาก…เสมหะมากกว่ามั้ง?”
หวังฟู่กุ้ยรู้สึกเซ็งขึ้นมา อย่าทำเอาของขวัญฉันฟังดูน่ารังเกียจแบบนั้นสิเฟ้ย เขาว่าอย่างไม่สบอารมณ์ “งั้นรังนกแดง[1]ทำจากอะไร”
เริ่นเสี่ยวซู่คิด ก่อนจะตอบ “เสมหะแซมเลือด?”
[1] รังนกแดง สีแดงนั้นเกิดจากปฏิกิริยาเคมีกับสารประกอบประเภททองแดงบนผนังถ้ำ ซึ่งจะทำให้รังนกบนเกาะนั้นเป็นสีแดงทั้งหมด แต่รังนกแดงนี้ไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนักสำหรับคนไทย