หลังจากซ่างกวนปิงเอ๋อร์ร้องไห้มาครึ่งค่อนวัน เธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย โจวเหว่ยชิงเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าที่สดใส ก่อนจะกล่าวเตือน “ท่านผู้บัญชาการ ผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ท่านยังไม่อยากกลับอีกหรือ? ถ้าพวกเราไม่กลับไปตอนนี้ คนอื่นอาจเจอพวกเราในสภาพนี้ก็ได้นะ”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ว่าโจวเหว่ยชิงเดินกลับมาหา เธอจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เขาทั้งใบหน้าเปื้อนคราบน้ำตา
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า! ข้าบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไปให้พ้น!?”
โจวเหว่ยชิงนั้นสามารถอ่านสีหน้าท่าทางของผู้คนได้ เขาจึงสังเกตเห็นว่าหลังจากที่เธอร้องไห้มานาน ประกายความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของเธอก็ได้บรรเทาลงมากแล้ว และแม้ว่าน้ำเสียงของเธอนั้นยังจะยังฟังดูดุร้ายอยู่ แต่มันก็ไม่มีจิตสังหารผสมอยู่แล้ว
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!” เมื่อเห็นซ่างกวนปิงเอ๋อร์หยุดร้องไห้แล้ว โจวเหว่ยชิงจึงรีบวิ่งออกไปทันที แม้ว่าความโกรธของเธอจะบรรเทาไปมากแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวก็ยังอยากจะอัดเขาให้น่วมอยู่ไม่น้อย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เห็นโจวเหว่ยชิงวิ่งหนีออกไปอย่างลุกลี้ลุกลน นั่นทำให้เธอนั้นยิ้มออกมาได้เล็กน้อย หญิงสาวยืนขึ้นก่อนจะเดินกลับไปที่ค่ายทหารอย่างช้าๆ
เมื่อโจวเหว่ยชิงกลับมาถึงที่กระโจมของตัวเอง ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากก่อนหน้านี้เขามัวแต่กลัวว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะฆ่าตนทำให้ตอนตื่นมาไม่ทันได้สังเกตภายในกระโจมอย่างถี่ถ้วน แต่ตอนนี้ก็เป็นเวลาสว่างแล้ว นั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเย็นวาบไปทั่วไขสันหลังและรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมให้อภัยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
ภายในกระโจมนั้นแทบจะเละเป็นโจ๊ก เศษเสื้อผ้ากระจายเกลื่อนกลาด และส่วนใหญ่ก็คือชุดสีเครื่องแบบทหารสีม่วงที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์สวมมาเมื่อคืนนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีรอยคราบเลือดติดอยู่บนผ้าปูเตียงด้วยซ้ำ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อคืนนั้นรุนแรงบ้าคลั่งแค่ไหน
โจวเหว่ยชิงรีบเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายก่อนจะรวบรวมพวกมันใส่ไว้ในถุงผ้าที่นำมาก่อนหน้า จากนั้นเขาก็ค่อยๆฉีกผ้าปูกที่นอนที่มีคราบเลือดติดอยู่อย่างระมัดระวัง เพราะสิ่งนี้คือเครื่องหมายระหว่างพวกเขาทั้งสองคน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะเก็บมันไว้ หากในอนาคตซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยอมรับการอยู่ร่วมกับเขา โจวเหว่ยชิงก็จะมอบสิ่งนี้กับเธอ แน่นอนว่าหญิงสาวจะรับหรือเปล่านั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลังจากที่เขาทำความสะอาดสิ่งต่างๆ เสร็จแล้ว เด็กหนุ่มกลับไม่พบคัมภีร์วิชาเทพอมตะ ดังนั้นดูเหมือนว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะเป็นคนเก็บไป ไม่ใช่ว่าโจวเหว่ยชิงไม่อยากจะยกมันให้กับเธอ แต่ทว่าเขากลัวซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะลองฝึกวิชานี้ต่างหาก
การฝึกวิชาเทพอมตะเมื่อคืนทำให้โจวเหว่ยชิงตระหนักได้ถึงความอันตรายและความยากลำบากในการฝึกฝนวิชานี้ หากไม่ได้ไข่มุกสีดำที่ตนกลืนเข้าไปก่อนหน้า เขาก็อาจจะตายไปก่อนที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะมาถึงด้วยซ้ำ
ไม่ ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแน่นอน!
เขาต้องหาโอกาสเตือนเธอเรื่องการฝึกวิชานี้ และถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะฝึก ก็ต้องใช้เวลาถึง 2-3 วันกว่าจะฟื้นตัวได้
เมื่อโจวเหว่ยชิงมองไปที่มณีบนข้อมือตนเอง เขาก็รับรู้ได้ว่ามันยังไม่ได้หายไปไหน นั่นทำให้เขาตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จากนั้นเด็กหนุ่มก็พลันรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่เผชิญมาทั้งคืน ดังนั้นเขาจึงล้มตัวลงนอนและหลับไป
ตั้งแต่เขาถูกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งตัวมายังกระโจมห่างไกลผู้คนเช่นนี้เพื่อลงโทษ นั่นทำให้ไม่มีใครกล้ามารบกวนเด็กหนุ่มเลยแม้แต่คนเดียว โจวเหว่ยชิงจึงหลับได้สนิทตลอดทั้งวัน จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน
“อ่า…ช่างสบายจริงๆ” โจวเหว่ยชิงบิดขี้เกียจก่อนที่จะมีเสียงดังกร็อบแกร่บออกมาจากกระดูกของเขา มันเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกสบายจริงๆ เด็กหนุ่มรู้สึกว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง จากนั้นเขาจึงมองไปยังมณีสวรรค์ที่ข้อมือ พวกมันยังคงลอยวนอยู่บนนั้นเป็นวงกลม
“ทำไมข้าถึงเรียกมณีสวรรค์กลับเข้าที่เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้ล่ะ? แล้วทีนี้ข้าจะทำยังไงดีละเนี่ย?” ตั้งแต่เด็กที่โจวเหว่ยชิงถูกตราหน้าว่าเป็นเศษสวะ ทำให้เขาไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับมณีพลังเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรู้แค่เพียงความรู้พื้นฐานทั่วไป ซึ่งนั่นทำให้เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ตนควรต้องทำอย่างไร
ช่างมันเถอะ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาไปกังวลเรื่องนั้น ถึงเวลากินแล้ว! กินก่อนแล้วค่อยคิดละกัน หิวจะตายอยู่แล้ว!! เนื่องจากวันนี้เขาหลับมาทั้งวัน เมื่อรวมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เวลานี้โจวเหว่ยชิงจึงตื่นขึ้นเพราะหิวเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มสวมเครื่องแบบทหาร เขาเอาแขนเสื้อลงมาปิดบังมณีสวรรค์ของตัวเองไว้ก่อนที่จะรีบวิ่งไปทานอาหารเย็นมื้อใหญ่
เมื่อท้องเต็มอิ่ม จิตวิญญาณของโจวเหว่ยชิงก็ถูกเติมเต็มไปด้วย เด็กหนุ่มรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งที่พบว่าตัวเองมีรูปร่างใหญ่โตขึ้น แต่เดิมเขาสูงประมาณ 1.7 เมตร ซึ่งสูงมากแล้วสำหรับเด็กอายุ 13 ปีเช่นเขา อย่างไรก็ตาม คืนที่ผ่านมาดูเหมือนว่าเขาจะสูงขึ้นไปอีก 2-3 เซนติเมตร และกล้ามเนื้อก็ดูเหมือนจะพัฒนาขึ้นไปอีก
หากไม่นับรวมความรู้สึกผิดต่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์แล้ว วันนี้ก็ถือว่าอารมณ์ของเขาค่อนข้างดีเลยทีเดียว ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ได้ครอบครองมณีสวรรค์ที่ตนใฝ่ฝันมานาน! นั่นยังไม่นับรวมมณีธาตุในตำนานของเขาเลยด้วยซ้ำ เนื่องจากแม้แต่สถานะของจ้าวสวรรค์ธรรมดาก็ทำให้เด็กหนุ่มพึงพอใจอย่างยิ่งแล้ว!
หากไม่ใช่เพื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาอาจจะตรงดิ่งกลับบ้านทันทีเพื่อบอกข่าวดีนี้แก่บิดาของตน นั่นรวมไปถึงการไปกล่าวตอกหน้าคนที่ชอบดูถูกเขาอย่างองค์หญิงตี้ฝูหยาว่าโจวเหว่ยชิงเป็นจ้าวมณีสวรรค์แล้ว!
โจวเหว่ยชิงพุ่งกลับไปที่กระโจมของเขาด้วยความรู้สึกปลาบปลื้มยินดี แต่ทันทีที่เด็กหนุ่มเปิดกระโจมออก ลางสังหรณ์ก็ร้องเตือนอย่างตื่นตระหนกทันที เขาจึงตะโกนออกมา “นั่นใคร?”
สัญชาตญาณตื่นตัวที่แปลกประหลาดนั้นค่อยๆ เลือนหายไป และเขาก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรกันแน่ ขณะนี้ท้องฟ้ามืดลงแล้ว สายตาของเด็กหนุ่มจึงมองไม่ค่อยเห็นสิ่งต่างๆภายในกระโจมมากนัก
ฉับพลัน สีหน้าของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขามองเห็นคนที่อยู่ในกระโจมได้ชัดเต็มตา เด็กหนุ่มกล่าวทักทายด้วยด้วยรอยยิ้มโง่งม “ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านมาที่นี่ทำไมหรือ?” ในขณะที่เขากล่าว ขาข้างหนึ่งได้ก้าวเข้าไปในกระโจมแล้ว แต่ทว่าขาอีกข้างกลับไม่ยอมขยับตามเพราะรู้ว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาทำอะไรที่นี่
ตอนนี้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบสีน้ำเงินซึ่งเข้ากับผมสีฟ้าของเธอมาก โจวเหว่ยชิงเห็นว่าชุดเครื่องแบบของเขาถูกพับอย่างเรียบร้อยวางอยู่บนเตียงของเขา และเมื่อเด็กหนุ่มเข้าไปในกระโจม หญิงสาวก็จ้องมองไปที่เตียงด้วยสายตาว่างเปล่า
“เข้ามา” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา
โจวเหว่ยชิงมองไปรอบๆ เพื่อตรวจสอบว่าหญิงสาวพกอาวุธมาด้วยหรือไม่ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้เธอมากนัก ทำได้แค่เพียงยืนอยู่ใกล้ๆ ทางเข้าออกกระโจมเท่านั้น เด็กหนุ่มเมียงมองซ่างกวนปิงเอ๋อร์ด้วยท่าทางประหม่า ราวกับว่าเมื่อคืนเขาเป็นคนถูกเธอล่วงเกิน
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของโจวเหว่ยชิง ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็หน้าแดงเถือก นี่เธอถูกเอาเปรียบโดยเจ้าคนไร้ยางอายเช่นนี้ได้อย่างไร!
“ผ้านั่นอยู่ที่ไหน” เธอถามห้วนๆ
“ผ้าอะไร?” โจวเหว่ยชิงถามอย่างไม่เข้าใจ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความอับอาย เธอจ้องมองที่เตียง ทันใดนั้นโจวเหว่ยชิงก็เข้าใจในทันที เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ข้าเก็บมันไว้…เป็นที่ระลึก”
หน้าอกของซ่างกวนปิงเอ๋อร์สะท้อนขึ้นลงด้วยความโกรธ “เจ้า…เอามันมาให้ข้า!” เธอกลัวเหลือเกินว่าจะควบคุมตัวเองไม่ได้และเผลอฆ่าเจ้าคนหน้าด้านคนนี้เข้า!
โจวเหว่ยชิงหยิบเศษผ้าไม่กี่ชิ้นที่เขาเก็บไว้อย่างระมัดระวังออกมาจากอกอย่างลังเล จากนั้นก็ยื่นส่งให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แน่นอนว่าเธอทนดู “ของที่ระลึก” ที่น่าอับอายนั่นไม่ไหว ดังนั้นหญิงสาวจึงรีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เธอย่อมไม่รู้แม้แต่น้อยว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างโจวเหว่ยชิงนั้นจะแอบเก็บเศษผ้าไว้กับตัวด้วยอีกส่วน!
………………………………………………………