ทันใดนั้นความคิดสวยงามภายในใจของหรงจิ้นก็สลายไปในพริบตา
เป็นนางนี่เอง เพราะความเป็นคนไร้ความสามารถของนางมีส่วนเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงเกียรติยศของเขาจึงเก็บงำมาหลายปีโดยไม่พูดอะไร แต่นางยังกล้าอ้างสิทธิ์ขายพื้นที่ล่าสัตว์จนทำให้เขาอับอายขายขี้หน้าต่อหน้าลูกหลานขุนนางชั้นสูงของเมืองหลวงอีก!
หากเขาไม่เอาคืนกลับไปร้อยเท่าสิบเท่า ตำแหน่งรัชทายาทของเขาก็ไร้ค่าเช่นกัน!
หรงจิ้นพยายามระงับอารมณ์กรุ่นโกรธ แล้วเดินตรงไปข้างหน้า
ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นว่าเขาเดินไปทางฉู่หลิวเยว่!
เมื่อเขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก็ก้มต่ำมองฉู่หลิวเยว่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสคลื่นพัดเชี่ยวที่ซ่อนอยู่ภายใต้สีหน้าที่ดูสงบเช่นนี้!
สายตาหลายคู่จ้องไปที่คนทั้งสอง
ผู้อาวุโสและผู้อื่นต่างรีบลุกขึ้นทำความเคารพ
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายรัชทายาท”
แต่หรงจิ้นกับเพิกเฉยต่อพวกเขา เขามองแค่ฉู่หลิวเยว่คนเดียว ก่อนจะเอ่ยถามนางชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าคือฉู่หลิวเยว่เองหรือ”
ฉู่หลิวเยว่จ้องเขาแล้วพูดเสียงเรียบนิ่ง
“เพคะ”
มือของหรงจิ้นที่ซุกซ่อนในแขนเสื้อค่อยๆ กำหมัดแน่น
ตอนแรกเขาคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะขวัญหนีดีฝ่อ แต่หญิงสาวตรงหน้ากลับสงบนิ่ง ไม่เห็นจะวิตกกังวลใดๆ เลยสักนิด
นางไปเอาความใจกล้าบ้าบิ่นมาจากที่ใดกันแน่
“ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับใจกล้า ข้ายังคิดอยู่เลยว่าเจ้าจะไม่กล้ามาเสียแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา
“ทำไมถึงไม่กล้ามาด้วยล่ะเพคะ องค์ชายรัชทายาทส่งคนไปที่ตระกูลฉู่ บอกหม่อมฉันให้มาให้ได้มิใช่หรือเพคะ”
หรงจิ้นสะอึกไปครู่หนึ่งแล้วแสยะยิ้ม
“ช่างปากคอเราะรายจริงๆ!”
ฉู่หลิวเยว่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ขอบพระทัยองค์รัชทายาทที่ชมหม่อมฉันเพคะ”
หรงจิ้นจ้องนางลึกเข้าไปในดวงตา จากนั้นจึงหันตัวเดินไปยังตำแหน่งที่นั่งของตนเอง
ผู้อาวุโสหันมามองนางด้วยแววตาเกลียดชัง
“เจ้านี่ช่างไม่รู้…”
“หากผู้อาวุโสอยากอับอายต่อหน้าธารกำนัล ก็ด่าเลยสิเจ้าคะ”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยลอยๆ จากนั้นก็นั่งลงด้วยท่าทางสงบนิ่ง
ผู้อาวุโสได้สติกลับมาทันที ที่นี่ไม่ใช่ตระกูลฉู่ แต่เป็นตำหนักหมิงชุ่ย!
ทุกคนต่างมองเรื่องตลกของพวกเขา หากก่อความวุ่นวายขึ้นมาตอนนี้…ก็คงดูไม่จืด!
หลังจากที่ผู้อาวุโสหายใจไม่ออกไปครู่หนึ่ง เขาก็สะบัดแขนเสื้ออย่างแรง แล้วกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอกลับไป
องค์ชายรัชทายาทแสดงออกชัดเจนว่าเต็มไปด้วยความเกลียดชังฉู่หลิวเยว่ อีกประเดี๋ยวเขาจะจัดการนางอย่างแน่นอน
เมื่อถึงเวลานั้น เพียงแค่เขาถีบหัวส่งฉู่หลิวเยว่ออกไปให้ทันเวลาให้ได้ก็พอ
…
บรรยากาศของตำหนักใหญ่กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง แต่ก็ยังมีหลายคนที่แอบเฝ้าดูฉู่หลิวเยว่เงียบๆ
ดูเหมือนนางจะไม่ได้สนใจคนเหล่านั้น นางนั่งที่ของตัวเองนิ่งๆ ซึ่งแท้จริงแล้ว นางได้สังเกตคนเหล่านั้นอย่างรวดเร็วหมดแล้ว
นอกจากตรงกลางตำแหน่งบนสุดจะเป็นที่ประทับของฝ่าบาทและฮองเฮาแล้ว ตรงกลางตำหนักใหญ่ยังแบ่งออกเป็นสองส่วนซ้ายขวา
มีไม่กี่คนที่นั่งด้านหน้าสุด ล้วนเป็นบรรดาองค์ชายและองค์หญิงที่มีสถานะสูงศักดิ์
ก่อนหน้านี้นางไปสืบมาแล้วว่า ตอนแรกฝ่าบาททรงมีพระโอรสเก้าพระองค์และพระธิดาสามพระองค์ แต่ในนั้นมีองค์ชายสามพระองค์และองค์หญิงอีกหนึ่งพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว
ดังนั้นที่ยังมีชีวิตอยู่ในตอนนี้ จึงเหลือองค์ชายทั้งหมดหกพระองค์และองค์หญิงอีกสองพระองค์
มีชายหนุ่มคนหนึ่งสวมอาภรณ์สีดำเป็นระเบียบเรียบร้อยนั่งอยู่ตรงข้ามพระที่นั่งขององค์ชายรัชทายาท
เขาน่าจะมีอายุพอๆ กับองค์ชายสาม แต่ใบหน้าของเขานั้นคมเข้มหล่อเหลา และท่าทางของเขาก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายของเขามีไอสังหารแผ่ออกมา
นั่นคือกลิ่นอายที่สามารถฝึกฝนได้จากแค่ในสนามรบเท่านั้น!
คนผู้นี้ก็คือองค์ชายสาม…หรงจิ่ว!
เขาเข้าร่วมกองทัพซีเป่ยตั้งแต่อายุสิบห้าปี เขาถือได้ว่าเป็นแม่ทัพที่อายุยังน้อยและมีชื่อเสียง และเลื่องลือโด่งดังในกองทัพ
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่ามารดาผู้ให้กำเนิดของเขาเป็นเพียงกุ้ยเหริน[1] แต่เขาก็สามารถต่อสู้เทียบเท่ากับองค์ชายรัชทายาทได้เช่นกัน!
ราชสำนักถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่ายลับๆ ตั้งนานแล้ว แม้องค์ชายรัชทายาทจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมากกว่า แต่ตอนนี้ก็ไม่สามารถมองข้ามหรงจิ่วได้เหมือนกัน
ถัดจากหรงจิ่ว แน่นอนว่าต้องเป็นพี่น้องร่วมมารดาที่ดำรงตำแหน่งผิงอ๋องอย่างองค์ชายห้า…หรงฉี นอกจากรัชทายาทแล้ว เขายังเป็นหนึ่งในองค์ชายเพียงพระองค์เดียวที่มีตำแหน่งในราชสำนัก
องค์หญิงแปดหรงชูและองค์ชายเก้าหรงเฟิงนั่งข้างหรงจิ่ว
ทว่ายังมีที่ว่างอยู่บ้าง
ต่อมาทั้งสองฝั่งคือที่นั่งของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ตระกูลได้แก่ ตระกูลซือ ตระกูลกู้ ตระกูลฉู่ และตระกูลลู่
ตระกูลฉู่นั่งข้างหลังตระกูลกู้ ส่วนฝั่งตรงข้ามคือตระกูลซือ และตระกูลลู่ที่นั่งอยู่ข้างหลัง
ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ ตระกูลซือแข็งแกร่งที่สุด และตระกูลฉู่อ่อนแอที่สุด
เดิมทีอันดับของตระกูลฉู่อยู่เหนือกว่าตระกูลลู่ แต่หลายปีมานี้อำนาจเริ่มเสื่อมถอย ส่วนตระกูลลู่ก็อาศัยความมั่งคั่งร่ำรวยเพื่อแซงหน้าคู่แข่ง จึงสามารถรักษาอันดับที่สามได้อย่างมั่นคง
ไม่นานหลังจากที่หรงจิ้นประทับนั่ง ก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากนอกตำหนัก
ในขณะเดียวกัน น้ำเสียงของฝ่าบาทที่ทรงน่าเกรงขามก็ดังขึ้น
“ฝ่าบาทเสด็จ…ฮองเฮาเสด็จ…”
ในที่สุดก็มาแล้ว!
ทุกคนต่างกุลีกุจอลุกขึ้น แล้วรีบทำความเคารพไปทางด้านนั้น
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ!”
ฉู่หลิวเยว่ก็ปฏิบัติตามทุกคนเช่นกัน
“ฮ่าๆ ทุกท่านรีบลุกขึ้นเถิด…วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดรัชทายาท ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง”
ชายวัยกลางคนหัวเราะขึ้นอย่างเบิกบาน
“เอาล่ะ เจินเจินรีบไปหาพี่ชายของเจ้าสิ!”
ทุกคนเพิ่งจะเห็นว่าด้านหลังองค์จักรพรรดิยังมีองค์หญิงสี่หรงเจินอยู่ด้วย
ซึ่งนางนับเป็นองค์หญิงพระธิดาพระองค์แรกที่แท้จริงที่กำเนิดจากฮองเฮา
ดูท่าทางนางน่าจะอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ด การที่นางสวมอาภรณ์หรูหราของสตรีชั้นสูงในวังยิ่งทำให้นางสวยสง่ามากขึ้น
“เช่นนั้นเสด็จพ่อทรงรับปากกับเจินเจินแล้วหรือเพคะ”
จยาเหวินตี้เจ้าครองแคว้นเย่าเฉิน เผยรอยยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู
“แน่นอน เจ้าดื้อที่สุด! ดูผู้อื่นสิ มีใครดื้อซนแบบเจ้าบ้าง หากไม่รับปากกับเจ้า เกรงว่าวันนี้เจ้าคงวุ่นวายพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินแน่ๆ”
หรงเจินย่นจมูก ใบหน้าของนางเจือรอยยิ้มออดอ้อน ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆ หรงจิ้น
ต่อให้เป็นคนโง่เขลาก็มองออกว่าเจ้าครองแคว้นจยาเหวินตี้รักและเอ็นดูนางมากเพียงใด
เมื่อองค์จักรพรรดินั่งลง ทุกคนถึงจะทยอยนั่งลงตามไป
ฉู่หลิวเยว่รีบเงยหน้าขึ้นและชำเลืองมอง
จักรพรรดิเจียเหวิน หรงเซียว
ครั้งสุดท้ายที่นางเจอเขา คือการประชุมใหญ่ของราชวงศ์
การประชุมใหญ่ของราชวงศ์จะจัดขึ้นทุกๆ สามปี ทุกแว่นแคว้นประเทศราชของราชวงศ์เทียนลิ่งทั้งหมดจะต้องมาเข้าเฝ้า
และสถานะเช่นนี้ของหรงเซียว สามารถยืนได้แค่ในตำแหน่งรั้งท้ายเท่านั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดกับนางด้วยซ้ำ
แต่เมื่อผ่านสายตานางก็ไม่เคยลืม เพราะตอนนั้นนางกำลังเริ่มเตรียมตัวสืบราชบัลลังก์ต่อจากเสด็จพ่อ ดังนั้นนางจึงจดจำลักษณะท่าทางทุกคนและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ
เมื่อเทียบกับเวลานั้น หรงเซียวดูแก่ขึ้นเล็กน้อย และสีหน้าและบรรยากาศรอบตัวของเขาก็ไม่เหมือนเดิม
ใช่แล้ว ตอนนั้นเขาอ่อนน้อมถ่อมตน ได้แต่ยืนท่ามกลางฝูงชนและมองดูนางในระยะไกลเท่านั้น
แต่ตอนนี้สถานะของเขาและนางกลับเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!
แต่เพียงชั่วพริบตา นางก็ถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว
เจ้าครองแคว้นจยาเหวินตี้รู้สึกถึงสายตาแปลกๆ จ้องมองมาที่เขา แต่เมื่อเขาอยากเห็นว่าเป็นผู้ใด เขากลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
ทันทีที่หรงเจินนั่งลงก็เห็นว่าสีหน้าของหรงจิ้นนิ่งขรึมไปเล็กน้อย ทันใดนั้นนางก็นึกขึ้นได้จึงหันไปมองตรงตำแหน่งที่นั่งตระกูลฉู่
เนื่องจากฉู่หลิวเยว่นั่งอยู่ในแถวที่สอง นางจึงเห็นเพียงเงาร่างเพรียวบางเท่านั้น
“นางเองหรือ”
นางขยับเข้าไปใกล้หรงจิ้นแล้วกระซิบถาม
หรงจิ้นตอบ “อืม” สั้นๆ
“ชิ ก็แค่ของเล่นไร้ค่า เสด็จพี่วางพระทัย เดี๋ยวน้องจะช่วยเอง!”
หรงจิ้นขมวดคิ้ว แต่ก็มิได้ห้ามปราม
ถือว่ายอมรับเงียบๆ ก็แล้วกัน
หรงเจินเป็นคนนิสัยเย่อหยิ่งเจ้ากี้เจ้าการ มักทำอะไรไร้เหตุผล แต่เสด็จพ่อและเสด็จแม่รักนางมาก ต่อให้ก่อเรื่องเดือดร้อนวุ่นวายก็ไม่เป็นอะไร
ส่วนเขาเป็นถึงองค์ชายรัชทายาท เพราะพื้นที่ล่าสัตว์จึงมีเรื่องกับสตรี ช่างทนดูไม่ได้จริงๆ
หรงเจินออกหน้าแทน คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว
ในขณะที่กำลังสนทนากัน หรงเจินก็ได้เอ่ยปากพูดเสียงดังขึ้นมา
“แน่ใจหรือว่าผู้นี้คือคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ ผู้เลื่องชื่อลือนาม”
ทุกคนต่างเงียบกริบ และตระหนักในทันทีว่าหรงเจินกำลังหาเรื่องฉู่หลิวเยว่!”
ฉู่หลิวเยว่ช้อนสายตาขึ้น
หรงเจินยิ้มอย่างมาดร้าย ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หลายปีมานี้ ข้าไม่ค่อยได้เจอเจ้าเท่าไหร่ วันนี้ได้เจอเจ้าแล้วรู้สึกคุ้นเคย ข้าจึงอยากมอบของขวัญให้คุณหนูใหญ่ฉู่สักหนึ่งชิ้น”
นางพูดพลางตบมือเรียก
“ผู้ใดก็ได้ นำของขวัญชิ้นนั้นที่ข้าได้เมื่อวันก่อนเข้ามาที!”
[1] กุ้ยเหริน พระภรรยาในองค์จักรพรรดิขั้นต่ำ ตำแหน่งพระสนมในองค์จักรพรรดิ กุ้ยเหริน หมายถึง ผู้ทรงเกียรติ สามารถแต่งตั้งได้นับไม่ถ้วน