กรงขังขนาดใหญ่ที่ข้างบนปกคลุมด้วยผ้าสีดำผืนใหญ่ถูกเคลื่อนย้ายเข้ามา ทุกคนมิสามารถคาดเดาได้ว่าข้างในนั้นคือสิ่งใด
แต่ฉู่หลิงเยว่กลับหรี่ตาเพราะนางได้กลิ่นเหม็นคาวจางๆ โชยออกมา
หรงเจินก้าวไปข้างหน้าแล้วเอาผ้าคลุมสีดำออกทันที
แฮ่!
ปรากฏว่ามีงูยักษ์เกล็ดทองคำถูกขังเอาไว้ในนั้น
ลำตัวของมันหนาพอๆ กับต้นขาของมนุษย์ และมีเกล็ดสีทองซีดวางทับกันส่องแสงเย็นยะเยือก!
และรูม่านตาแนวตั้งสีเลือดของมันราวกับมีดสั้นสองเล่มที่คมกริบ ดูแล้วช่างโหดเหี้ยมและอำมหิตยิ่งนัก!
แท้จริงแล้วมันก็คือสัตว์อสูรระดับสามตัวหนึ่ง…อสูรงูเหลือมทองคำ!
เมื่อมันได้เห็นแสงสว่างก็ทำให้มันเกิดสัญชาตญาณหวาดระแวง ชูคอยกหัวขนาดใหญ่ของมันขึ้นมา แลบลิ้นสองแฉกของมันออกมาขู่ ฟ่อๆ ที่ฟังแล้วน่าขนลุก!
เมื่อทุกคนในตำหนักใหญ่เห็นสัตว์อสูตรตัวยักษ์ตัวนี้ ทันใดนั้นก็ต่างรู้สึกตื่นตระหนกขวัญผวา
จักรพรรดิจยาเหวินที่ประทับบนบัลลังก์ข้างบนก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
จากนั้นเขาก็มองตามสายตาของหรงเจิน
ใบหน้าของหญิงสาวแปลกหน้าผู้หนึ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
เขาเอะใจเล็กน้อย แต่ก็รู้ได้ในทันทีว่านี่คือคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ผู้นั้นที่มีสัญญาหมั้นหมายกับหรงจิ้น ซึ่งก็คือฉู่หลิวเยว่ บุตรีของฉู่หนิง
“เจินเจิน นี่เจ้ากำลังจะทำอะไร”
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปากถามผู้เป็นพระธิดา
“นี่คืองานเลี้ยงวันเกิดเสด็จพี่ของเจ้า ไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาก่อเรื่องวุ่นวาย”
เขาจำได้ว่าฉู่หลิวเยว่เกิดมาพร้อมชีพจรที่ไม่สมบูรณ์ และชาตินี้ก็ไม่มีวันเข้าสู่เส้นทางฝึกยุทธ์ได้
แล้วนางจะสามารถจัดการกับสัตว์อสูรระดับสามอย่างอสูรงูเหลือมทองคำนี่ได้อย่างไร
ส่วนตัวเขาไม่ได้แยแสฉู่หลิวเยว่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ นางยังมีสัญญาหมั้นหมายกับหรงจิ้นติดตัวอยู่ หากมีเกิดเหตุน่าอนาถก็ยากที่จะกอบกู้สถานการณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อหน้าสาธารณชนมากมายขนาดนี้ หากเขาตามใจหรงเจิน ไม่แน่ก็อาจจะให้ทุกคนคิดว่าเขาเป็นกษัตริย์โหดเหี้ยม เพราะฉู่หลิวเยว่เป็นคนไร้น้ำยา เขาถึงได้ประมาทเลินเล่อเยี่ยงนี้
หรงเจินกลับหัวเราะ
“เสด็จพ่อ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หม่อมฉันเจอคุณหนูใหญ่ฉู่สักหน่อยเพคะ เพราะรู้สึกปลื้มปีติ หม่อมฉันจึงอยากมอบอสูรงูเหลือมทองคำที่ล่ามาได้อย่างยากลำบากให้นางนี่เพคะ นี่เป็นสัตว์อสูรที่ลูกล่ามาเองกับมือ! เดิมทีจะเอามันมาเลี้ยง แต่ในเมื่อมีวาสนาต่อคุณหนูใหญ่ฉู่ หม่อมฉันจึงตัดใจแล้วยินดีมอบให้นางเพคะ”
นางพูดพลางชำเลืองมองฉู่หลิวเยว่
“ให้ข้าเดา คุณหนูใหญ่ฉู่ยังไม่มีสัญญากับสัตว์อสูรใช่ไหมล่ะ”
มีเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากกลุ่มคน
แค่คนไร้ความสามารถคนหนึ่งจะมีสัญญากับสัตว์อสูรอย่างใครเขาได้อย่างไร
หลายคนมองไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาเยาะเย้ย ราวกับกำลังดูงิ้วตลกขบขันก็มิปาน
หรงเจินชักสีหน้ากลับมาด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย
“ทำไม คุณหนูใหญ่ฉู่ไม่ชอบอสูรงูเหลือมทองคำที่ข้ามอบให้หรือ”
นางเป็นถึงองค์หญิงผู้ได้รับความโปรดปรานมากที่สุดในรัชกาลปัจจุบัน มีใครกล้าพูดว่าไม่ชอบสิ่งของที่นางมอบให้ด้วยหรือ
ฉู่หลิวเยว่เหยียดกายลุกขึ้น
“องค์หญิงสี่ช่างมีน้ำพระทัย ฉู่หลิวเยว่รู้สึกซาบซึ้งมากเพคะ เหตุใดหม่อมฉันจะไม่ชอบของที่พระองค์มอบให้”
คราวนี้หรงเจินหัวเราะขึ้นมา จากนั้นนางก็กวักมือเรียกฉู่หลิวเยว่ราวกับเรียกทาสรับใช้ที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง
“ในเมื่อเจ้าซาบซึ้งน้ำใจข้าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเจ้ายังไม่รีบเข้ามารับของขวัญของข้าอีกหรือ”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้า
นางคำนับต่อจักรพรรดิจยาเหวินก่อนจะหันไปทางหรงเจินแล้วโค้งคำนับ
ท่วงท่ากิริยามารยาทถูกต้องตามทุกระเบียบนิ้ว อันที่จริงนางทำออกมาได้ดีกว่านางกำนัลที่สอนกิริยามารยาทในวังหลวงเสียอีก
ทุกการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วราบรื่นดุจสายน้ำไหล ช่างเป็นที่ชื่นชมและสบายตาแก่ผู้คนที่พบเห็นยิ่งนัก
สิ่งที่สำคัญก็คือ ดูเหมือนความสูงส่งสง่างามของนางจะเผยออกมาจากภายในสู่ภายนอก
สง่าราศีนี้ของนางนั้นดูโดดเด่นกว่าองค์หญิงตัวจริงที่ยืนอยู่ตรงหน้านางเสียอีก
แม้นางจะสวมใส่เสื้อผ้าเก่าซอมซ่อชายตะเข็บหลุดลุ่ย ใบหน้าขาวซีดไร้การแต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉม แต่ทว่านางที่ยืนตรงนั้นกลับสะดุดตาผู้คนได้มากกว่าหรงเจินที่แต่งตัวในชุดสตรีชาววังงดงามหรูหราเสียอีก
นางโดดเด่นราวกับอัญมณีส่องแสงเจิดจรัส ไม่ว่าจะอยู่แห่งไหนก็สามารถดึงดูดสายตาคนได้เป็นคนแรกเสมอ
บางคนก็อดซุบซิบนินทาไม่ได้
“ไหนบอกว่าฉู่หลิวเยว่ไร้สมรรถภาพตั้งแต่กำเนิด ถูกทิ้งให้ไปอยู่กับพวกคนรับใช้ตั้งแต่เด็กๆ แต่เหตุใด…กิริยามารยาทถึงได้รอบคอบเพียงนี้”
“นี่มัน…แปลกจริงๆ! ตระกูลฉู่ไม่เคยเห็นนางอยู่ในสายตา จะอบรมสั่งสอนนางเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร หรือว่านางเรียนมาโดยเฉพาะก่อนเข้าวัง”
เสียงสนทนาของผู้คนค่อยๆ เงียบหายไป
พวกเขาต่างเป็นคนในตระกูลขุนนาง แน่นอน พวกเขาเข้าใจกฎเหล่านี้อย่างดีว่าไม่มีทางเรียนรู้ได้ภายในวันเดียว และสง่าราศีอันงดงามสูงส่งนั้นก็มิสามารถปลูกฝังได้ภายในชั่วข้ามคืน
“…เป็นไปได้เยี่ยงไร ต่อให้เป็นฉู่เซียนหมิ่นก็ไม่มีสง่าราศีเช่นนี้หรอกกระมัง”
“อย่าว่าแต่ฉู่เซียนหมิ่นเลย พวกท่านดูองค์หญิงสี่สิ พระนางเองก็…” ถูกนำมาเปรียบเทียบด้วยหรือ
ไม่มีใครกล้าพูดประโยคนั้นออกมาจริงๆ แต่เมื่อนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกันแล้วก็จะรู้ว่าทุกคนต่างคิดเห็นเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
หรงเจินจับสังเกตจุดนี้ได้ นางจึงเกิดความโมโหในใจอย่างอดไม่ได้
นี่ฉู่หลิวเยว่กำลังเสแสร้งอะไรอยู่
นางไม่มีทางเชื่อ คนไร้ความสามารถคนหนึ่งจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสอะไรขึ้นมาได้!
“คุณหนูใหญ่ฉู่ แม้ข้าจะมอบอสูรงูเหลือมทองคำนี้ให้แก่เจ้า แต่ข้าก็มีเงื่อนไขข้อหนึ่ง”
ริมฝีปากสีแดงสดของหรงเจินยกยิ้ม แล้วชี้นิ้วไปทางอสูรงูเหลือมทองคำตัวนั้น
“ข้าเพิ่งจับเจ้างูเหลือมทองคำตัวนี้กลับมา มันดุร้ายแล้วก็ยังไม่เชื่อง หากเจ้าอยากเป็นเจ้าของครอบครองมันล่ะก็ เจ้าก็ต้องเอาชนะมันให้ได้! ดังนั้น เจ้าไม่ลองต่อสู้กับมันสักตั้ง ดีหรือไม่”
ทันใดนั้นอากาศราวกับถูกแช่แข็ง
ไม่มีใครคาดคิดว่าหรงเจินจะออกอุบายเช่นนี้!
คนไร้ความสามารถอย่างฉู่หลิวเยว่ปะทะกับงูเหลือมทองคำซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสาม นี่มันเป็นหนทางสู่ความตายมิใช่หรือ!
ไม่รอให้ฉู่หลิวเยว่จะตกปากรับคำ จักรพรรดิจยาเหวินก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“หรงเจิน เจ้าอย่าก่อเรื่อง!”
แต่ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของหรงเจินค่อยๆ จางหายไป แล้วเอ่ยขึ้นเสียงเย็นเยียบ
“เสด็จพ่อ ลูกไม่ได้ก่อเรื่องนะเพคะ ที่ลูกทำเช่นนี้เพราะมีเหตุผล เสด็จพ่อก็ทรงทราบดีว่านางขายพื้นที่ล่าสัตว์ของเสด็จพี่รัชทายาทโดยพลการ!”
จักรพรรดิจยาเหวินอึ้งไปชั่วขณะ
“อะไรนะ!”
“เสด็จพี่ลงทุนลงแรงกับพื้นที่ล่าสัตว์แห่งนั้นไปมากมาย แต่สุดท้ายกลับเหลือเพียงความว่างเปล่า เสด็จพี่รัชทายาทเป็นผู้ใจกว้าง ไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นกับนาง หม่อมฉันในฐานะน้องสาวกลับทนดูไม่ได้! งูเหลือมทองคำตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสามเท่านั้น แต่สิ่งที่เสด็จพี่สูญเสียไปมิอาจเทียบเท่าได้เลยเพคะ!”
นางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่แล้วพูดจาขึ้นเสียงใส่
“เรื่องนี้ เจ้าจะยอมรับหรือไม่!”
คราวนี้จักรพรรดิจยาเหวินจึงนึกขึ้นมาได้ ตอนนั้นเขาพระราชทานที่ดินพื้นที่ล่าสัตว์ให้ฉู่หลิวเยว่จริงๆ
นางขายไปแล้วจริงหรือ
ไม่ว่ากรณีใด สิ่งนั้นเป็นของที่เขามอบให้ นางจะขายมันไปโดยพลการได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้จักรพรรดิจยาเหวินแสดงอาการไม่พอใจฉู่หลิวเยว่เล็กน้อย
แต่ถ้าเขาเห็นด้วยกับข้อเสนอของหรงเจิน ฉู่หลิวเยว่จะมีชีวิตรอดต่อไปหรือไม่นั้นล้วนแต่เป็นปัญหา…
“ฝ่าบาท ฉู่หนิงยอมรับโทษแทนบุตรสาวเองพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิจยาเหวินทอดพระเนตรไปทางเขาด้วยสีหน้าอ่อนลง
เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้า
“เช่นนั้นก็ย่อมได้”
ถึงแม้ฉู่หนิงจะไม่ได้แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน แต่สำหรับการรับมือกับสัตว์อสูรระดับสามอย่างงูเหลือมทองคำยักษ์นี้ น่าจะไม่เป็นอันตรายอะไรมากนัก
อีกอย่างเขาก็เป็นบิดาของฉู่หลิวเยว่ ให้เขาออกหน้าแทนบุตรสาวจะเป็นการอันควรที่สุด
นอกจากจะเป็นการรักษาเกียรติองค์ชายรัชทายาทกับราชวงศ์แล้ว อีกประการหนึ่งก็จะไม่เป็นการทำร้ายสองพ่อลูกจนถึงชีวิตไปจริงๆ
แต่ในขณะนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่กลับก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว
“หม่อมฉันยินดีลองสู้สักตั้งเพคะ”
ในขณะที่หรงเจินกำลังหงุดหงิดที่พลาดโอกาสสั่งสอนฉู่หลิวเยว่ให้จำเป็นบทเรียน แต่กลับคิดไม่ถึงว่านางจะเป็นฝ่ายยืนกรานเสียเอง
“เจ้าว่าอะไรนะ เจ้าพูดอีกทีสิ!”
ฉู่หลิวเยว่เชิดคางขึ้น ดวงตาดำขลับเปล่งประกายสดใส
“หม่อมฉันพูดว่า หม่อมฉันยินดีลองสู้กับมัน แล้วจะเอาชนะอสูรงูเหลือมทองคำนี่ให้ได้เพคะ!”