ตอนที่ 669 คุณกำลังสงสัยอะไรบางอย่างอยู่ใช่ไหม

 

แม้การถูกทำร้ายของฮั่วจิงจิงจะได้รับการยืนยันว่าเป็นอุบัติเหตุแล้วก็ตาม แต่ถังหนิงยังคงมีคำถามค้างคาใจอยู่

 

 

คำถามมากมายเกี่ยวกับซ่งซินที่อยู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาและคำถามมากมายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

 

 

ถังหนิงอ่านข้อมูลของซ่งซิน แต่การจะพูดว่าซ่งซินก็โผล่ขึ้นมาดูเหมือนจะไม่ค่อยยุติธรรมเท่าใดนัก ก่อนหน้านี้ถังหนิงไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับซ่งซินเพราะเธอไม่ได้สังเกตอีกฝ่ายมากกว่า

 

 

ถึงอย่างไรเพลงที่กำลังเป็นที่นิยมในชาร์ตของเกาหลีและญี่ปุ่นก็เป็นฝีมือของผู้หญิงคนนี้ เพราะเธอเป็นนักแต่งเพลงที่มีฝีมือสูงมาก

 

 

ในขณะที่งานด้านการเขียนบทนั้นยิ่งน่าทึ่งยิ่งกว่า เธอเริ่มต้นจากการเป็นนักเขียนที่มีชื่อคนหนึ่งแต่ภายหลังได้รับคำเชิญให้เขียนบทละครโทรทัศน์เพื่อนำมาใช้ในละครและภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจนถึงทุกวันนี้ เธอได้เป็นที่รู้จักในฐานะผู้มีพรสวรรค์คนหนึ่งในวงการ

 

 

สันนิษฐานได้ว่าเสียงร้องของเธอก็ค่อนข้างดีด้วยเช่นกัน

 

 

ผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้จึงตกเป็นเป้าหมายของไห่รุ่ยโดยปริยาย แต่กระนั้น…

 

 

…ซ่งซินมีพรสวรรค์ แต่เธอมีจุดเดือดต่ำและหยิ่งผยอง ความสำเร็จกว่าครึ่งมาจากภูมิหลังทางครอบครัวและอีกครึ่งหนึ่งมาจากความสามารถต่างๆ ของเธอเอง

 

 

หลังจากไล่ดูผลงานต่างๆ ของซ่งซิน ถังหนิงไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง สุดท้าย เธอก็ติดต่อไปยังฟังอวี้ “คุณเช็กภาพจากกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง”

 

 

“เช็กแล้วครับ” ฟังอวี้กล่าวด้วยเสียงค่อย เพราะฮั่วจิงจิงเพิ่งจะหลับไป

 

 

“ฟังอวี้ ขอฉันดูภาพพวกนั้นหน่อย” ถังหนิงขอร้อง

 

 

“คุณกำลังสงสัยบางอย่างอยู่งั้นเหรอ” ฟังอวี้เข้าใจสิ่งที่ถังหนิงกำลังคิดอยู่ทันที “มันเป็นไปไม่ได้หรอก ผมดูภาพจากกล้องวงปิดหลายครั้งแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ”

 

 

“แค่ให้ฉันดู” ถังหนิงยืนกราน เธอไม่ได้สงสัยในความสามารถของฟังอวี้และความเป็นห่วงที่เขามีต่อฮั่วจิงจิง แต่เพราะความจริงที่ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันทำให้ถังหนิงรู้สึกกังวลว่าเขาจะว้าวุ่นจนไม่ได้มองสิ่งต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม

 

 

ฟังอวี้ไม่อาจเถียงถังหนิงได้ จึงส่งภาพจากกล้องวงจรปิดไปให้ถังหนิง “ถ้าคุณเจออะไรใหม่ บอกผมได้โดยตรงเลยนะ ถึงผมจะรู้สึกว่าคุณกำลังหวาดระแวงไปหน่อยก็เถอะ”

 

 

เธออยากดูภาพเหล่านั้นก่อนที่พวกเขาจะยืนยันว่าเธอแค่หวาดระแวงไปเอง

 

 

หลังได้รับภาพจากกล้องวงจรปิด ถังหนิงไม่ได้ดูภาพเหล่านั้นผ่านคอมพิวเตอร์ เธอกลับเลือกที่จะเอาไปเปิดที่ห้องทำงานของโม่ถิงผ่านเครื่องฉายภาพขนาดใหญ่เพื่อที่เธอจะได้เห็นทุกอย่างอย่างละเอียด

 

 

ในภาพวงจรปิด ฮั่วจิงจิงไม่ได้ขับรถของเธอไปที่ที่จอดรถชั้นใต้ดินของอะพาร์ตเมนต์ เธอเลือกที่จะให้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยขับรถไปจอดให้เธอ นั่นเป็นเพราะเสี่ยวเย่ว์ไม่ชอบกลิ่นของที่จอดรถชั้นใต้ดินและกลัวความมืด

 

 

จากนั้น ฮั่วจิงจิงก็จูงมือเสี่ยวเย่ว์ไปที่ประตูหน้าทางเข้าอะพาร์ตเมนต์ ทว่าขณะที่เธอกำลังกดรหัสผ่านเพื่อเข้าไปยังล็อบบี้หลัก สุนัขพิตบูลโตเต็มวัยก็วิ่งกระโจนเข้าใส่และเริ่มกัดไปที่แจ็กเกตของเสี่ยวเย่ว์

 

 

ฮั่วจิงจิงรีบถอดเสื้อแจ็กเกตของเสี่ยวเย่ว์และโยนมันใส่พิตบูลตัวนั้น แต่มันกลับปล่อยเสื้อแจ็กเกตและกระโจนใส่อีกครั้ง ฮั่วจิงจิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบอุ้มเสี่ยวเย่ว์ขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน ขณะนั้นเอง สุนัขพิตบูลตัวนั้นฝังเขี้ยวเข้าที่ขาซ้ายของฮั่วจิงจิงราวกับมันคุ้มคลั่ง

 

 

เจ้าของสุนัขส่วนใหญ่รู้ว่าพิตบูลเป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย เมื่อไหร่ก็ตามที่มันฝังเขี้ยวลงในวัตถุ ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้มันปล่อย พวกมันเป็นสุนัขที่ดุร้ายอย่างมาก…

 

 

ถังหนิงเปิดภาพวงจรปิดนั้นซ้ำไปซ้ำมา เหตุการณ์นี้เป็นอุบัติเหตุจริงๆ เพราะเจ้าของสุนัขปรากฏตัวอย่างรวดเร็วและตื่นตระหนกกับภาพที่เกิดขึ้นขณะรีบโทรเรียกรถพยาบาล มันเป็นเรื่องไม่คาดคิดจริงๆ

 

 

แต่สิ่งที่ถังหนิงไม่เข้าใจคือทำไมสุนัขตัวนั้นถึงกระโจนใส่เสี่ยวเย่ว์

 

 

สุนัขที่มีเจ้าของนั้นไม่เหมือนกับสุนัขป่าหรือสุนัขจรจัด พวกมันไม่น่ามีนิสัยที่ไม่มั่นคงเช่นนี้ แม้จะเป็นสุนัขสายพันธุ์ดุร้าย ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่อยู่ๆ จะเกิดอาการคลุ้มคลั่ง

 

 

แล้วทำไมมันถึงเอาแต่จู่โจมเสี่ยวเย่ว์กันล่ะ

 

 

หลังจากนั้น ถังหนิงโทรหาฟังอวี้ “คุณได้เก็บเสื้อผ้าที่เสี่ยวเย่ว์ใส่ระหว่างเกิดเหตุไว้หรือเปล่า”

 

 

“ผมโยนมันทิ้งไปแล้ว” ฟังอวี้ตอบ “มีแต่เลือดเต็มไปหมด เสี่ยวเย่ว์เพิ่งจะสามขวบ ผมไม่อยากให้เธอฝังใจกับเรื่องนี้”

 

 

หลังได้ยินคำตอบของฟังอวี้ ถังหนิงถอนหายใจ “งั้นก็ช่างมันเถอะ”

 

 

“คุณเจออะไรงั้นเหรอ”

 

 

“ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมสุนัขตัวนั้นถึงกระโจนใส่เสี่ยวเย่ว์โดยตรงและไม่ยอมปล่อยเธอไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ฉันคิดเหตุผลออกแค่สองข้อ ข้อแรก เสี่ยวเย่ว์อาจจะไปแหย่สุนัขตัวนั้น แต่จากที่ฉันเห็น เสี่ยวเย่ว์เพิ่งจะเดินทางกลับมาถึงบ้านและฮั่วจิงจิงเองก็ดูแลเธออยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเหตุผลข้อนี่จึงดูไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งเหลือเพียงเหตุผลข้อสอง… เสี่ยวเย่ว์ต้องมีอะไรบางอย่างที่สุนัขตัวนั้นอยากได้

 

 

“ลองคิดดูดีๆ มีอะไรที่คุณพอนึกออกบ้างไหม”

 

 

ฟังอวี้ไม่อาจคิดอะไรออกทั้งสิ้น ตอนที่เขาได้รับการติดต่อเรื่องอุบัติเหตุ เสี่ยวเย่ว์ก็อยู่ในการดูแลของหมอแล้ว

 

 

ทั้งหมดที่เขาจำได้คือ หลังจากที่เขาเดินทางกลับจากห้องผ่าตัด เขาเพียงแค่โยนเสื้อผ้าสกปรกของเสี่ยวเย่ว์ทิ้งลงถังขยะด้านนอก

 

 

ดังนั้นเพื่อทำให้ทุกอย่างกระจ่าง เขาจึงรีบออกจากห้องพักของฮั่วจิงจิงเพื่อไปดูถังขยะที่อยู่ด้านนอกห้องผ่าตัด จากนั้นเขาหยิบเสื้อผ้าของเสี่ยวเย่ว์ขึ้นมาสำรวจดู โชคดีที่พนักงานทำความสะอาดยังไม่เอาถังขยะไปทิ้ง

 

 

เมื่อเขาเห็นเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด ดวงตาของฟังอวี้ก็เริ่มแดงก่ำ แต่เขารวบรวมสติแล้วเริ่มสำรวจเสื้อผ้าพวกนั้นอย่างละเอียด ในที่สุดเข้าก็พบกระดูกชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงของเสี่ยวเย่ว์

 

 

กระดูก!

 

 

ทำไมถึงมาอยู่ในกระเป๋าของเสี่ยวเย่ว์ได้

 

 

ถ้าสุนัขพิตบูลตัวนั้นได้กลิ่นกระดูกในกระเป๋าของเสี่ยวเย่ว์แล้วแอบเข้ามาในอะพาร์ตเมนต์แล้วละก็ ทุกอย่างก็จะได้รับการอธิบาย

 

 

ดังนั้นฟังอวี้จึงรีบโทรกลับไปหาถังหนิงอย่างรวดเร็ว “ผมเจอกระดูกชิ้นหนึ่งในกระเป๋ากางเกงของเสี่ยวเย่ว์ ขนาดมันเท่านิ้วโป้งของผมได้”

 

 

“งั้นก็มาเริ่มสืบกันเถอะ มาดูกันว่ากระดูกชิ้นนี้มาจากไหน”

 

 

“แต่ผมไม่เข้าใจ ถ้าคนพวกนั้นคิดจะหาเรื่องฮั่วจิงจิง ทำไมต้องเล็งเป้าไปที่เสี่ยวเย่ว์”

 

 

“เข้าใจยากตรงไหนกัน ถ้าคนพวกนั้นโจมตีฮั่วจิงจิงโดยตรง เป้าก็จะใหญ่เกินไป แต่การทำให้จิงจิงได้รับบาดเจ็บเพราะเสี่ยวเย่ว์จะทำได้ง่ายกว่ามาก” ถังหนิงอธิบาย “การกระทำของเด็กจะไม่อาจตัดสินแบบเดียวกับการกระทำของผู้ใหญ่ได้ ดังนั้นต่อให้เด็กๆ ทำอะไรผิด ก็จะไม่มีใครโทษเด็กๆ เหล่านั้น

 

 

“เห็นได้ชัดว่าตัวการชั่วช้าขนาดไหน!” ในขณะที่ถังหนิงพูด เธอมีเป้าอยู่ในใจแล้ว แต่เธอจำเป็นต้องพิสูจน์

 

 

ในขณะเดียวกัน ถังหนิงเองก็ไม่รู้เลยว่าฝ่ายตรงข้ามได้เล็งเธอเป็นเป้าแล้วเช่นกัน ทว่าทั้งสองฝ่ายจะได้เห็นกันว่าใครเร็วกว่าและฉลาดกว่ากัน

 

 

หลังจากเธอดูภาพวงจรปิดเสร็จแล้ว ถังหนิงก็ก้มลงมองโม่ถิงที่ผล็อยหลับทั้งที่ยังกอดเธอเอาไว้ เขากำลังพิงโซฟาขณะปกป้องภรรยาของเขาด้วยสีหน้าอ่อนล้า

 

 

ถังหนิงตระหนักดีว่าโม่ถิงรีบทำงานให้เสร็จเพื่อที่เขาจะได้กลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอตลอดช่วงเวลาสองเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์

 

 

ดังนั้นหลังจากได้รับภาพกล้องวงจรปิด เขาบอกว่าเขาจะอยู่เป็นเพื่อนเธอ แต่สุดท้ายก็ผล็อยหลับไปก่อน

 

 

ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องอยู่เป็นเพื่อนเธอก็ได้ แต่…

 

 

… โม่ถิงไม่เคยเป็นห่วงว่าเขาจะเหนื่อยล้ามากแค่ไหน

 

 

“ถิง… ฉันดูเสร็จแล้วค่ะ กลับไปนอนที่ห้องกันเถอะ” แม้ถังหนิงจะไม่กล้าปลุกโม่ถิง แต่เธอไม่อาจอุ้มผู้ชายตัวโตคนนี้กลับไปยังห้องนอนได้

 

 

โม่ถิงลืมตาขึ้นและจ้องมองถังหนิง จากนั้นชายหนุ่มก็ยกแขนทั้งสองข้างขึ้น “คุณเจออะไรบ้างไหม”

 

 

“ฉันอยากให้คุณรีบไปนอนได้แล้ว” ถังหนิงกล่าวพร้อมหัวใจที่รวดร้าว