ตอนที่ 670 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

 

ฟังอวี้ออกไปพบเจ้าของสุนัขพิตบูลตัวนั้นพร้อมหลักฐานในมือ ซึ่งตัวเจ้าของเองก็ไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน เพราะสุนัขพิตบูลตัวนั้นแม้ก่อนหน้านี้จะเคยกัดใครมาบ้างตอนมันยังเด็ก แต่ในครั้งนั้นมันเป็นเพียงการกัดเล็กๆ เท่านั้น

 

 

ส่วนกระดูกที่อยู่ในกระเป๋าเสี่ยวเย่ว์นั้น ฟังอวี้ได้ถามลูกสาวของเขาถึงที่มาของกระดูกชิ้นนั้น แต่เธอเด็กเกินกว่าจะให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ดังนั้นฟังอวี้จึงไปคุยกับครูอนุบาลของเสี่ยวเย่ว์ อ้างอิงจากครู เมนูอาหารในวันเกิดเหตุมีซี่โครงหมูรวมอยู่ด้วย ส่วนเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวเย่ว์ถึงมีกระดูกอยู่ในกระเป๋า ตัวครูเองก็อธิบายว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่เด็กจะเก็บของสุ่มๆ ไว้เล่นทีหลัง ทุกอย่างล้วนมีความเป็นไปได้

 

 

เมื่อได้ยินคำอธิบายของครู ความดื้อแพ่งที่จะเสาะหาความจริงของเขาก็มลายหายไป

 

 

บางทีถังหนิงอาจจะแค่หวาดวิตกไปเองเท่านั้น

 

 

ที่สำคัญกว่านั้น ในขณะที่ฮั่วจิงจิงยังไม่หายดี เขาควรจะอยู่เคียวข้างเธอ

 

 

เขาไม่อาจโทษใครได้ เขาทำได้แค่โทษตัวเองที่ไม่อาจปกป้องเธอได้ดีพอ…

 

 

หลังจากนั้น ฟังอวี้ก็บอกผลการสืบของเขาให้ถังหนิงรู้ หลังจากได้ยินฟังอวี้ ถังหนิงก็ตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่ง แม้เธอจะไม่อยากยอมแพ้ แต่ฟังอวี้ได้ทำการสืบทุกอย่างโดยละเอียดแล้ว หากเธอยังยืนกรานต่อไปจะมีประโยชน์อะไร

 

 

แม้กระนั้นลึกลงไปแล้วเธอยังรู้สึกว่าเหตุการณ์นี้มีบางอย่างเกี่ยวข้องกับคนคนนั้น…

 

 

 

 

เวลาผ่านไปหลายวันนับจากเหตุการณ์ของฮั่วจิงจิง ในระหว่างหลายวันนั้น บรรดาสื่อได้สูบเอาความชื่อเสียงทุกหยาดหยดของฮั่วจิงจิงก่อนที่จะหันเหความสนใจไปยังประเด็นร้อนเรื่องอื่นอย่างรวดเร็ว นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับฮั่วจิงจิงอีกเลย

 

 

ในวงการนี้นั้น การขึ้นมาโดดเด่นนั้นเป็นเรื่องยาก แต่การถูกลืมนั้นกลับง่ายเหลือเกิน

 

 

การได้เห็นงานโชว์เดินแบบและงานอื่นๆ ที่เป็นของฮั่วจิงจิงถูกยกให้คนอื่นนั้น หัวใจถังหนิงก็รู้สึกราวถูกจุดไฟเผาเป็นเถ้าถ่านจนหมด แต่กลับไม่มีสิ่งใดที่เธอทำได้เลย

 

 

เพื่อรักษาโอกาสให้ฮั่วจิงจิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถังหนิงจึงโทรหาบริษัทหลายแห่งเช่น บริษัททีคิวส์หลินเหว่ยเซิน เฟียเลสนักออกแบบชื่อดังชาวฝรั่งเศส และคนอื่นๆ อีกมากมาย กระนั้นแม้พวกเขาจะรับปากด้วยวาจาโดยไม่ลังเล แต่เฟียเลสบอกเธอว่า “ไม่มีใครเกิดมาเพื่อไถ่บาปให้คนอื่นหรอกนะ ไม่ว่าคุณจะเป็นห่วงเธอมากแค่ไหน ฮั่วจิงจิงจะต้องกลับมายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครทำอะไรในเรื่องนี้ได้”

 

 

ถังหนิงเข้าใจเหตุผลนี้มาตลอด ดังนั้นเธอยังได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันแค่ทำตัวดื้อด้านอยู่นะ”

 

 

อาจจะเป็นเพราะความกดดันที่เธอได้รับจากซ่งซินที่ทำให้เป็นเรื่องยากที่เธอจะไม่ห่วงเรื่องของฮั่วจิงจิงและตัวเธอเอง

 

 

ในขณะเดียวกัน จากซ่งซินได้รับรางวัลนักเขียนบทของเธอแล้ว เธอยังได้รับรางวัลสำหรับการแต่งเพลงอีกด้วย ส่งผลให้เธอดังเป็นพลุแตก

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ถังหนิงกำบทละครที่อยู่ในมือจนแน่น เมื่อผู้หญิงคนขึ้นมีอายุถึงวัยเดียวกับเธอ คนพวกนั้นจะสูญเสียความมั่นคงไปจริงอย่างนั้นหรือ

 

 

 

 

เวลาผ่านไปหลายวันนับจากวันที่ซ่งซินบอกแผนของเธอให้กับผู้ช่วย ทว่าเธอยังไม่ลงมือ กลับกัน เธอใช้เวลาเกือบทั้งหมดหมดไปกับการพยายามทำความเข้าใจกิจวัตรประจำวันของฮว่าเหวินเฟิ่ง

 

 

เธอเข้าใจดีว่าความสำเร็จจะต้องอาศัยจังหวะที่เหมาะสม ด้วยเหตุนี้ ผู้ช่วยของซ่งซินจึงทำเพียงแต่ค่อยอยู่ข้างๆ ฮว่าเหวินเฟิ่งอย่างเงียบๆ รอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม

 

 

นับตั้งแต่วันที่ฮว่าเหวินเฟิ่งถูกฉีกหน้า เธอก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้ถังหนิงมานานแล้ว แม้เธอจะไม่อยากยอมรับความพ่ายแพ้ แต่คนทั้งประเทศด่าว่าเธอและผู้อาวุโสโม่เองก็ข่มขู่เธอเอาไว้ ดังนั้นเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมถอยและจดจ่ออยู่กับงานวิจัยของเธอเป็นการชั่วคราว

 

 

ในวันนั้น ฮว่าเหวินเฟิ่งกำลังดื่มชายามบ่ายอยู่ภายในร้านกาแฟแห่งหนึ่งร่วมกับเพื่อนนักวิจัยอีกสองสามคน เพื่อนร่วมงานของเธอเริ่มนินทาเกี่ยวกับถังหนิงเพื่อจะได้ดูปฏิกิริยาของฮว่าเหวินเฟิ่ง

 

 

ท่าทีของฮว่าเหวินเฟิ่งเย็นชาตลอดเวลา เธอไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับบทสนทนานี้ ดังนั้นหลังจากอดทนอยู่พักใหญ่ เธอจึงใช้ห้องน้ำเป็นข้ออ้างในการหลีกเลี่ยงคำนินทาชั่วคราว

 

 

ทว่าเมื่อเธอคว้ากระเป๋าถือและเดินไปยังห้องน้ำ ก็บังเอิญเดินชนกับหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินสวนทางมา ผู้หญิงคนนั้นไว้ผมสั้นและมีรูปร่างผอมสูง

 

 

“ขอโทษที” หลังกล่าวคำขอโทษ ฮว่าเหวินเฟิ่งก็เดินต่อไป แต่ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะจำเธอได้ขณะที่ชี้ไปที่ฮว่าเหวินเฟิ่งและกล่าว “คุณคือแม่สามีของถังหนิงใช่ไหม”

 

 

สีหน้าของฮว่าเหวินเฟิ่งเริ่มบูดเบี้ยว เพราะเธอคาดว่าผู้หญิงคนนั้นจะล้อเลียนเธอ ดังนั้นเธอจึงรีบเร่งฝีเท้าเดินจากไป ทว่าหญิงสาวคนนั้นกลับไม่หัวเราะใส่เธอ แต่กลับยังดูเป็นมิตรอย่างมาก “คุณป้า สวัสดีค่ะ”

 

 

“สวัสดี ฉันมีเรื่องที่ต้องไปทำ ฉันขอตัวก่อนนะ” ฮว่าเหวินเฟิ่งกล่าวก่อนจะเตรียมตัวเดินออกไป ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บังคับให้เธออยู่ต่อ เพียงแต่พยักหน้ายิ้มให้ ก่อนมองฮว่าเหวินเฟิ่งเดินจากไป

 

 

อย่างไรก็ตาม… ก่อนที่ฮว่าเหวินเฟิ่งจะทันได้เดินห่างออกไป ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งไล่ตามเธอและคว้าแขนเสื้อของเธอเอาไว้ จากนั้นเธอจึงกล่าวอย่างไม่สบายใจ “ที่จริงนะคะคุณป้า… ฉันได้ยินข่าวลือสองสามเรื่องมาจากเอเจนซี่ แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า”

 

 

“ข่าวลืออะไร” ฮว่าเหวินเฟิ่งถาม

 

 

“ฉันไม่แน่ใจว่าควรบอกคุณป้าไหม” ผู้หญิงคนนั้นจงใจพูดตัดบท

 

 

“พูดมาสิ ฉันไม่โทษเธอหรอก” ฮว่าเหวินเฟิ่งพร้อมที่จะได้ยินเรื่องไร้สาระเกี่ยวกับถังหนิง หลังจากพิจารณาอยู่สองสามวินาที ผู้หญิงคนนั้นก็โน้มตัวมาใกล้ แล้วกระซิบบอกข่าวลือที่เธอได้ยินมาที่ข้างหูของฮว่าเหวินเฟิ่ง พูดจบ เธอก็เน้นกับฮว่าเหวินเฟิ่ง “คุณป้าคะ ฉันมั่นใจว่าคุณป้ารู้กฎของไห่รุ่ยดี ไม่มีใครอนุญาตให้ปล่อยความลับนี้ออกสู่สาธารณะ เดิมทีฉันก็ไม่อยากพูดอะไร แต่ในเมื่อฉันบังเอิญมาพบคุณป้าแบบนี้ จิตใต้สำนึกบอกให้ฉันบอกคุณป้าค่ะ ฉันหวังว่าคุณป้าจะเก็บความลับนี้ให้ฉันนะคะ”

 

 

ที่จริงใบหน้าของฮว่าเหวินเฟิ่งได้เปลี่ยนจากสีแดงระเรื่อด้วยความโมโหกลายเป็นแดงก่ำด้วยความเดือดดาล

 

 

เธอไม่เคยนึกว่าถังหนิงจะชั่วร้ายถึงเพียงนี้

 

 

กล้าดียังไงมาฝันว่าจะเอาอวัยวะของเธอ

 

 

“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครทั้งนั้น” ฮว่าเหวินเฟิ่งยืนยันด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

 

 

“ดีค่ะ คุณป้าควรตัดสินใจว่าจะทำยังไงให้เร็วที่สุดนะคะ…” ผู้หญิงคนนั้นมองดูฮว่าเหวินเฟิ่งด้วยความเวทนาพลางตบหลังอีกฝ่ายเบาๆ เป็นการปลอบใจ

 

 

ฮว่าเหวินเฟิ่งไม่ทันสังเกตว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเพียงแต่ตัวสั่นเทิ้มขณะพยุงตัวเองกับผนังอยู่อีกพักใหญ่

 

 

ในเมื่อนังสารเลวนั้นอยากไปไกลขนาดนั้น เธอก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้ เธอไม่อาจนั่งรอไปวันๆ ให้เด็กคนนั้นคลอดออกมา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเด็กนั้นเกิดมามีไม่สมประกอบแล้วคนพวกนั้นคิดจะใช้ร่างกายของเธอจริงๆ

 

 

เธอไม่อาจบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อโม่ได้ ไม่เช่นนั้นเธออาจจะทำอะไรไม่ได้เลยเพราะคุณพ่อโม่จะคิดว่าเธอแค่กลัวไปเอง

 

 

เธอตัดสินใจที่จะกำจัดเด็กในท้องของถังหนิงเป็นการเร่งด่วน เธอจำเป็นต้องคิดแผนการที่แยบยล

 

 

ด้วยเหตุนี้ ฮว่าเหวินเฟิ่งจึงเริ่มแอบสะกดรอยตามถังหนิง เพื่อที่จะได้เข้าใจกิจวัตรประจำวันของอีกฝ่าย

 

 

เธอสังเกตว่าถังหนิงจะเดินทางไปโรงพยาบาลทุกวันศุกร์เพื่อตรวจร่างกาย นอกจากนั้นก็แทบจะไม่ออกจากบ้านเลย ส่วนนังสารเลวที่นามสกุลไป๋ มีหน้าที่ดูแลอาหารประจำวันของถังหนิง อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องระวังคือถังหนิงจะพาทีมบอดีการ์ดไปด้วยทุกครั้งที่เธอเดินทางไปตรวจร่างกาย

 

 

นั่นเป็นช่องทางโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของฮว่าเหวินเฟิ่ง หากเธอแอบเข้าไปในบ้านระหว่างเวลานั้นและโยนความผิดทั้งหมดให้แม่บ้านชั้นต่ำนั่น เธอก็จะยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัว