“ท่าน…ท่านอ๋อง…” องครักษ์ผู้ติดตามม่อจิ่งหลีเองก็ถูกรังสีของเขาข่มขวัญไปไม่น้อย  

 

 

“เกิดอันใดขึ้นกันแน่!” ม่อจิ่งหลีกัดฟันถามขึ้น 

 

 

องค์รักษ์หนึ่งมองซ้ายมองขวา นึกเศร้าใจที่เห็นว่าตนเองอยู่ใกล้ท่านอ๋องมากที่สุด องค์รักษ์สอง สาม สี่นั้นต่างหลบกันไปหมดแล้ว จึงจำใจต้องรายงานอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “ระ…เรียนท่านอ๋อง ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องคุณหนูสาม…คุณหนูสามตระกูลเยี่ยขอรับ” 

 

 

“ข้ารู้ว่าพวกเขากำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผู้หญิงคนนั้น! แต่ที่เขาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องผู้หญิงคนนั้นมันเกี่ยวอันใดกับข้า!” ที่พวกเขามองข้าประหนึ่งมองคนสารเลวนั้นคิดว่าข้าไม่เห็นหรือ พวกเขาควรจะเยาะเย้ยถากถางหญิงผู้นั้น ควรจะหัวเราะเยาะเจ้าคนไร้สมรรถภาพม่อซิวเหยาที่ถูกสวมเขาไม่ใช่หรือ (เจ้ายังรู้ว่าตนเองสารเลวหรือ) 

 

 

“คือว่า…มีคนพูดว่า ท่านอ๋องทนไม่ได้ที่จะเห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยได้ดี โกรธที่นางกำลังจะได้แต่งเข้าตำหนักติ้งอ๋องอย่างมีความสุข แล้วก่อนหน้านี้ที่ฉู่เซียงเก๋อนางเสียมารยาทกับท่าน ท่านจึงตั้งใจปล่อยข่าวลือ…แค่กๆ เพื่อทำลายชื่อเสียงของ…คุณหนูสาม…” องค์รักษ์ตั้งใจจะอธิบายให้เสร็จโดยเร็วด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่พูดยังไม่ทันจบดีก็เกิดหวาดกลัวท่านอ๋องของตนที่กำพัดในมือแน่นจนแทบจะแหลกเป็นผุยผง 

 

 

“เจ้าว่าอะไรนะ!” รอบกายของม่อจิ่งหลีเหมือนมีเมฆครึ้มปกคลุมไปทั่ว คนที่เดินผ่านไปมาจึงเดินอ้อมไปด้วยความกลัว 

 

 

“ท่าน…ท่านอ๋อง…” ข้าไม่ได้เป็นคนพูดนะพ่ะย่ะค่ะ เป็นพวกชาวบ้านในเมืองหลวงที่ต่างพูดกันเช่นนี้ องครักษ์หนึ่งเอ่ยกับตัวเองในใจอย่างน่าสงสาร สรุปก็คือชื่อเสียงของตำหนักหลีอ๋องได้ตกลงถึงจุดตกต่ำที่สุดอีกครั้ง หลังจากมีเรื่องท่านอ๋องลอบคบหากับน้องสาวคู่หมั้น ตามด้วยการซื้อของแล้วไม่จ่ายเงิน 

 

 

“อาหลี เจิงเอ๋อร์ ขึ้นมาเร็ว ข้างบนนี้ไม่ค่อยมีคน พวกเรานั่งข้างนอกระเบียงก็แล้วกันนะ”  

 

 

เสียงใสๆ ของหญิงสาวถือได้ว่าช่วยองค์รักษ์หนึ่งที่เกือบตัวแข็งตายไว้ ยิ่งเมื่อเห็นสายตาของท่านอ๋องเลื่อนไปมองทางปากบันไดอย่างรวดเร็วด้วยแล้ว องค์รักษ์หนึ่งก็รีบทำตัวลีบหลบออกไปแอบยังที่ปลอดภัยทันที  

 

 

มู่หรงถิงในชุดสีแดงสะดุดตาเดินขึ้นมาถึงชั้นสองก่อนเป็นคนแรก ก่อนหันไปกวักมือเรียกเพื่อนที่อยู่ด้านหลัง  

 

 

เสี่ยวเอ้อร์ที่เดินนำทางอยู่ด้านหน้านึกแล้วก็อยากร้องไห้ออกมานัก คุณหนูมู่หรง ข้างบนไม่ค่อยมีคนที่ไหนกันเล่าขอรับ ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงน้ำชาที่ดีที่สุดของเมืองหลวงเชียวนะขอรับ ลูกค้าท่านอื่นหวั่นกลัวท่านหลีอ๋องจนหลบไปกันต่างหาก 

 

 

“เอ๋” หันกลับมาอีกที มู่หรงถิงก็เห็นสีหน้าดำสนิทประหนึ่งแท่งหมึกก็ไม่ปานของม่อจิ่งหลี จึงอดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับไปอีกครั้งพร้อมใคร่ครวญว่าควรจะเปลี่ยนไปนั่งโรงน้ำชาอื่นหรือไม่ แต่ในตอนนั้นฮว่าเทียนเซียงและคนอื่นๆ ต่างก็ขึ้นมาด้านบนกันหมดแล้ว ดังนั้นคุณหนูทั้งห้าจึงได้แต่มองหน้ากันไปมาอย่างอับจนหนทาง โดยเฉพาะเยี่ยหลี นางนึกสงสัยว่าชาติที่แล้วนางได้ทำกรรมอันใดกับม่อจิ่งหลีไว้ เพราะดูเหมือนไม่ว่านางจะไปที่ใดจะต้องพบเขาเข้าเสมอ เยี่ยหลีไม่ทันคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะถึงแม้เมืองหลวงจะเป็นเมืองที่คึกคักที่สุดในต้าฉู่ แต่เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในความทรงจำของนางแล้ว ที่นี่จะนับเป็นเมืองใหญ่อะไรได้ อีกทั้งผู้มีฐานะทั้งหลายก็ไม่ได้เดินเล่นที่เดียวกับชาวบ้านคนธรรมดา สถานที่ที่พวกเขาไปกันบ่อยๆ ก็มีอยู่เพียงไม่กี่ที่เท่านั้น ดังนั้นนอกจากเยี่ยหลีที่ไม่ค่อยได้ออกไปไหนแล้ว คนที่เที่ยวเล่นไปทั่วอย่างมู่หรงถิง โดยปกติเมื่อเข้าไปร้านไหนแล้วก็มักเจอแต่คนรู้จักทั้งนั้น 

 

 

“อาหลี…” มู่หรงถิงมองเยี่ยหลีด้วยสายตาขอโทษ นางไม่ทันคิดเลยจริงๆ ว่า คนเพิ่งแต่งงานใหม่อย่างหลีอ๋องจะไม่อยู่ที่ตำหนักกับชายารัก แต่กลับมานั่งจิบชาอยู่ที่โรงน้ำชานี้ตั้งแต่กลางวันแสกๆ 

 

 

“ไม่เป็นไร ที่นี่แหละ” เยี่ยหลีเข้าใจและไม่คิดโทษมู่หรงถิง อีกอย่างนางก็ไม่ได้คิดที่จะหลบหน้าม่อจิ่งหลี ถึงอย่างไรพวกตนก็อยู่ในเมืองหลวงด้วยกันและต่างก็เป็นตระกูลชนชั้นสูง ทั้งยังมีความสัมพันธ์ฉันญาติกันอีก จะหลบหน้ากันไปไหนได้ นางหันไปพยักหน้าให้ม่อจิ่งหลี ก่อนจะจูงฉินเจิงและฉินอวี่หลิงไปทางมุมที่ค่อนข้างสงบ 

 

 

มู่หรงถิงแลบลิ้นน้อยๆ ก่อนจูงฮว่าเทียนเซียงให้รีบเดินตามไป 

 

 

“นี่ เจ้าว่าติ้งอ๋องจะมาหรือไม่” มู่หรงถิงเอ่ยถามเสียงต่ำ นางไม่ได้โตมาในเมืองหลวง จึงไม่รู้จักมักคุ้นกับติ้งอ๋อง ฮว่าเทียนเซียงพยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “วางใจเถิด ท่านปู่ข้าว่าติ้งอ๋องท่านเป็นคนใช้ได้ ในเมื่อได้รับจดหมายแล้วจะต้องมาอย่างแน่นอน” 

 

 

ฉินอวี่หลิงพูดเสียงเบาว่า “เช่นนั้นพวกเรารีบหลบกันไปดีกว่า อย่ารบกวนอาหลีกับติ้งอ๋องเลย” 

 

 

มู่หรงถิงหัวเราะอย่างยินดี “ยังมีเวลาน่า พวกเราออกมากันเร็ว ตอนนี้ติ้งอ๋องคงยังไม่ออกจากตำหนักหรอก รอท่านมาก่อนแล้วพวกเราค่อยเปลี่ยนร้านก็ยังได้ เมื่อครู่พวกเจ้าเห็นสีหน้าคนที่นั่งอยู่ด้านล่างหรือไม่ พอเห็นพวกเราเข้ามาก็หน้าเปลี่ยนสีกันไปทันที ข้ายังนึกกลัวว่าพวกเขาจะตาถลนจนหล่นลงไปในถ้วยชากันหมด”  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงส่งเสียงเหอะเบาๆ “คนพวกนั้นคงคิดว่า ตอนนี้อาหลีจะเอาแต่ร้องไห้ ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้านน่ะสิ อยู่ดีๆ เห็นพวกเราออกมาเช่นนั้นคงตกใจกันไม่น้อย” 

 

 

ฉินเจิงปิดปากหัวเราะ “ข้ายังไม่เคยเห็นคนตกตะลึงจนตาโต อ้าปากค้างพร้อมกันมากมายเช่นนี้มาก่อนเลย และเพิ่งจะเคยตกเป็นเป้าสายตาคนเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย” 

 

 

เยี่ยหลีนั่งมองเพื่อนของตนแต่ละคนเอ่ยความรู้สึกในการออกมาข้างนอกในวันนี้แล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความขบขัน อันที่จริงข่าวลือพวกนั้นไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางคิดไว้ ม่อซิวเหยากับท่านลุงใหญ่คงได้ทำอันใดสักอย่างอย่างลับๆ อย่างน้อยสายตาคนส่วนมากที่มองนางก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงและเห็นใจ แต่ไม่ใช่สายตาเหยียดหยามหรือดูหมิ่นอย่างที่นางคิดไว้แต่แรก ดูเหมือนคนส่วนใหญ่คงไม่เชื่อข่าวที่นางถูกลักพาตัวไปเป็นแน่ 

 

 

คณะของเยี่ยหลีนั่งอยู่ในมุมที่ค่อนข้างไกล ต่างมัวแต่คุยกันไปเรื่อยเปื่อย ส่วนม่อจิ่งหลีหน้าตาบึ้งตึงนั่งดื่มชาต่างเหล้าอยู่คนเดียวที่โต๊ะริมหน้าต่าง ด้วยเพราะโต๊ะค่อนข้างห่างกัน เขาจึงไม่ได้ยินว่าโต๊ะอีกฝั่งกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ แต่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศและอารมณ์ร่าเริงของพวกนาง ดูเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากข่าวลือเลยแม้แต่น้อย  

 

 

ม่อจิ่งหลีได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทั้งที่คนที่เกิดเรื่องคือนางแท้ๆ แต่เยี่ยหลีกลับดูเป็นปกติเหมือนไม่ได้เผชิญเหตุอันใดเลย แต่เขากลับต้องมารับเคราะห์แทน แต่หากจะให้เดินดุ่มเข้าไปขอคำอธิบายจากนาง ม่อจิ่งหลีรู้สึกว่าตนไม่มีหน้าจะทำเช่นนั้น ดังนั้นเขาจึงได้แต่แผ่รังสีอำมหิตจนแขกรอบๆ หลบหลีกกันไปหมด แล้วนั่งสาดน้ำชาลงคอต่อไป 

 

 

“อุ๊ย อาหลี! ท่านอ๋องมาแล้ว!” ในขณะที่กำลังนึกเบื่อหน่ายอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงของมู่หรงถิงดังขึ้นจนได้ยินกันไปทั่วชั้นสอง  

 

 

ทุกคนต่างหันหน้าไปมอง เห็นมู่หรงถิงยื่นตัวออกนอกระเบียงมองลงไปข้างล่างด้วยความตื่นเต้น ฉินเจิงรีบดึงนางกลับเข้ามา ก่อนหันไปยิ้มให้เยี่ยหลี “หลีเอ๋อร์ เจ้าลงไปรับท่านอ๋องเถิด”  

 

 

ฮว่าเทียนเซียงปิดปากลอบยิ้ม ก่อนโบกมือแล้วเอ่ยสำทับว่า “ไม่กลับมาก็ไม่เป็นไรนะ พอพวกเรากินขนมกันเสร็จแล้วจะไปหาที่เดินเล่นกันต่อเอง ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่มีที่เหลือให้ติ้งอ๋องนั่งอยู่ดี” 

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ แขกบนชั้นสองที่เหลือกันอยู่เพียงไม่กี่คนก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที เพราะพวกเขาเกรงกลัวรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวหลีอ๋องจึงเลือกที่จะเข้าไปนั่งอยู่มุมที่ลึกที่สุด ตอนนี้จึงทำได้เพียงเงี่ยหูตั้งใจฟังหญิงสาวโต๊ะด้านนอกคุยกันเท่านั้น  

 

 

เยี่ยหลีเห็นเช่นนั้นก็อดรู้สึกขันไม่ได้ เรื่องซุบซิบนินทานี่ไม่ว่าคนยุคสมัยใดก็เป็นขาดไม่ได้เลยจริงๆ เยี่ยหลีลุกขึ้นเดินลงไปด้านล่างท่ามกลางสายตาผู้คนที่ทั้งแอบมองและมองอย่างเปิดเผย ขณะที่เดินผ่านโต๊ะม่อจิ่งหลียังรู้สึกได้ถึงสายตาเคียดแค้นที่จ้องมาที่นางได้อย่างชัดเจน หากเยี่ยหลีก็มิได้สนใจ กับคนบางคนก็ไม่ถูกชะตากันมาตั้งแต่เกิดก็มิอาจบังคับขืนใจกันได้ 

 

 

เมื่อเห็นคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเดินลงไปด้วยท่าทีปกติ สายตาและสีหน้าของแขกบนชั้นสองที่มองม่อจิ่งหลียิ่งดูหลากหลายขึ้นไปอีก คุณหนูสามตระกูลเยี่ยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งยังนัดหมายกับติ้งอ๋องตามปกติ ดูเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อนเลย เมื่อหันกลับไปมองสีหน้าบึ้งตึงดุดันของหลีอ๋องแล้วก็ดูประหนึ่งโกรธแค้นที่ตนวางแผนร้ายแล้วทำไม่สำเร็จกระนั้น ทุกคนต่างลอบแลกเปลี่ยนสายตากัน พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเงียบๆ ดูเหมือนในที่สุดม่อจิ่งหลีจะทนบรรยากาศแปลกๆ เช่นนี้ไม่ไหว เขาวางถ้วยชาลงบนโต๊ะโดยแรง ก่อนยืดตัวขึ้นมองออกไปยังถนนนอกหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งบาน ก่อนหมุนตัวเดินลงไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง 

 

 

เมื่อคุณหนูสามตระกูลเยี่ยเดินลงมาชั้นล่าง ห้องโถงชั้นล่างก็เงียบลงทันที จนเมื่อเยี่ยหลีเดินยิ้มน้อยๆ ด้วยท่าทีสงบนิ่งออกไปแล้ว ทุกคนกำลังจะหันไปเปิดปากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ทว่าก็พลันเห็นม่อจิ่งหลีเดินหน้าตาบึ้งตึงตามลงมาอีกคน จากนั้นทั้งชั้นก็เงียบกันไปอีกพักใหญ่ เมื่อทุกคนได้เห็นสีหน้าของทั้งสองแล้ว คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ค่อนไปทางเห็นใจเยี่ยหลีเสียมากกว่า