เมื่อเยี่ยหลีเดินออกมาจากโรงน้ำชา รถม้าของจวนติ้งอ๋องก็มาถึงพอดี อาจิ่นเตรียมเปิดม่านเชิญม่อจิ่งหลีลงมา  

 

 

“ซิวเหยา” เยี่ยหลีเอ่ยเรียกขึ้นเบาๆ  

 

 

เมื่ออาจิ่นเห็นเยี่ยหลีก็หลบไปยืนฝั่งหนึ่งอย่างนอบน้อม เยี่ยหลีเหยียบเก้าอี้ตัวเล็กก่อนขึ้นไปบนรถม้าอย่างคล่องแคล่ว  

 

 

ม่อซิวเหยาเห็นนางจึงเลิกคิ้วขึ้น “ทำไมลงมาเสียเล่า”  

 

 

เยี่ยหลียิ้มนั่งลงตรงข้ามเขา “พวกเทียนเซียงว่าคนเยอะเกินไปไม่มีที่นั่ง จึงไล่ให้ข้าลงมา พวกนางวุ่นวายกันไปเอง เดิมทีข้าคิดว่าพรุ่งนี้จะค่อยไปหาท่านที่ตำหนักติ้งอ๋อง” 

 

 

ม่อซิวเหยายิ้มน้อยๆ “พวกนางวุ่นวายกันได้ทันการณ์ทีเดียว”  

 

 

“หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยหลีถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ  

 

 

อาจิ่นที่อยู่ด้านนอกบังคับให้ม้าออกเดินอีกครั้ง เยี่ยหลีหยุดคิดเล็กน้อยก่อนยื่นหน้าออกไปบอกจุดหมาย ก็เห็นม่อจิ่งหลียืนอยู่หน้าโรงน้ำชา มองรถม้าที่พวกนางนั่งอยู่ด้วยสายตามืดครึ้ม  

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ตั้งแต่เช้า คนในเมืองหลวงต่างพูดกันว่าข่าวลือเมื่อวานเป็นข่าวที่จิ่งหลีตั้งใจปล่อยเพื่อให้เจ้าเสื่อมเสีย” 

 

 

เยี่ยหลีอึ้งไป เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสีหน้าม่อจิ่งหลีจึงดูย่ำแย่เช่นนั้น ด้วยนิสัยของม่อจิ่งหลีเมื่อโดนกล่าวหาเช่นนั้นแล้วยังใจเย็นอยู่ได้สิถึงเป็นเรื่องแปลก นึกถึงมู่หรงถิงที่ก่อนหน้านี้ดูมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ที่แท้นางก็ไม่ได้คิดเองเออเอง 

 

 

“อาหลีต้องการพบข้ามีเรื่องอันใดหรือ” ม่อซิวเหยาถามด้วยเสียงอ่อนโยนเมื่อเห็นเยี่ยหลีใจลอยไปไกล 

 

 

เยี่ยหลีเรียกสติกลับมาแล้วพยักหน้าน้อยๆ “เมื่อเช้านี้หานหมิงเย่ว์นำตั๋วเงินสองหมื่นตำลึงทอง กับตั๋วเงินกว่าหมื่นตำลึงพร้อมกับเครื่องประดับหยกคู่มาให้ข้า เดิมทีคิดว่าพรุ่งนี้จะนำติดตัวไปตำหนักติ้งอ๋องด้วย จะพกออกมากับพวกชิงซวงก็ไม่สะดวกนัก”  

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก “นั่นเป็นของที่เขาให้เจ้า เจ้ารับไว้ก็พอ” 

 

 

เยี่ยหลีพูดไม่ออก ให้เงินมาที่หนึ่งหลายแสนตำลึงเช่นนี้ หานหมิงเย่ว์กล้าให้ แต่นางคงจะทำใจรับไว้ลำบาก  

 

 

“พรุ่งนี้ข้าจะให้คนส่งไปให้ที่ตำหนักติ้งอ๋อง ท่านช่วยจัดการทีเถิด เงินข้ามีพอใช้แล้ว”  

 

 

ม่อซิวเหยาถอนหายใจอย่างไม่ใส่ใจ “อาหลี…หานหมิงเย่ว์นำของไปให้เจ้ามันก็เป็นของเจ้าแล้ว เจ้าก็รับไว้ด้วยความเต็มใจเถิด แล้วก็ไม่ต้องรู้สึกติดค้างอะไรเขาด้วย หานหมิงเย่ว์คนนี้เพียงต้องจ่ายเงินเพิ่มแค่หนึ่งหรือสองตำลึงก็รู้สึกปวดใจแล้ว ที่เขายอมมอบให้เจ้าเพื่อเป็นของขวัญชดเชยเช่นนี้ เขาย่อมเห็นว่าคุ้มค่าที่จะให้ เจ้าไม่จำเป็นต้องไปเจรจาอะไรกับเขาให้มากความ” 

 

 

เยี่ยหลียิ้ม “ข้าไม่ได้คิดที่จะเจรจากับเขาเลยจริงๆ” เยี่ยหลีนึกคาดเดาเงียบๆ ในใจว่าหานหมิงเย่ว์คงเคยทำอะไรผิดต่อม่อซิวเหยาไว้ รวมกับเรื่องที่เขาทำในครั้งนี้ด้วย ไม่คิดว่าม่อซิวเหยาจะยอมปล่อยเขาไปเช่นนี้ หานหมิงเย่ว์คงรู้สึกผิดหรือไม่ก็ละอายใจ แต่หาทางชดเชยความผิดไม่ได้ จึงได้ส่งของมาเอาใจนางโดยไม่คิดถึงต้นทุนเช่นนี้ เสียก็แต่เยี่ยหลีไม่คิดจะสอดมือเข้าไปยุ่งเรื่องสานสัมพันธ์ให้กลับมาดีดังเดิมอยู่แล้ว ดังนั้น เงินของหานหมิงเย่ว์นี้เห็นทีจะเสียเปล่าเสียแล้ว 

 

 

“เช่นนั้นที่เจ้านัดข้าออกมาก็ด้วยเรื่องนี้เองหรือ” ม่อซิวเหยาถามขึ้น 

 

 

เมื่อเสียงนุ่มรื่นหูของม่อซิวเหยาดังขึ้น เยี่ยหลีที่กำลังคิดเรื่องอื่นอยู่ก็สะดุ้งขึ้น พูดอย่างเขินๆ ว่า “ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรจริงๆ ข้ารบกวนท่านหรือไม่”  

 

 

เมื่อเห็นม่อซิวเหยาดูจะไม่สนใจกับของที่หานหมิงเย่ว์ส่งมาให้เลยแล้ว ทำให้เยี่ยหลีอดนึกสงสัยไม่ได้ว่าตำหนักติ้งอ๋องมีทรัพย์สินเงินทองมากมายสักเพียงใด  

 

 

“ปกติข้าก็อยู่ว่างๆ” ม่อซิวเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อออกมาแล้ว เจ้าไปที่หนึ่งเป็นเพื่อนข้าหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

เยี่ยหลีพยักหน้า “ข้าไม่ค่อยคุ้นกับเมืองหลวงนัก ให้ท่านเป็นผู้ตัดสินใจแล้วกัน” 

 

 

เมื่อได้คำตอบรับจากเยี่ยหลี ม่อซิวเหยาจึงหันไปสั่งการอาจิ่นที่ขับรถม้าอยู่ เขาจึงหันรถม้าให้มุ่งหน้าไปอีกทางทันที 

 

 

ในรถม้า เยี่ยหลีถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า “ร้านเฟิงหวาหรือ ท่านคงไม่ได้คิดจะซื้อเครื่องประดับให้ข้าหรอกกระมัง ข้าเองก็มีร้านขายเครื่องประดับของตัวเองอยู่ร้านหนึ่งอยู่แล้ว” 

 

 

ม่อซิวเหยาอมยิ้มมองนาง “ให้เครื่องประดับกับคู่หมั้นถือเป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ หรือว่าไม่ได้” 

 

 

เยี่ยหลีจึงปิดปากเงียบ หรือว่าจะให้นางบอกให้เขาซื้อของแต่จากร้านของนาง เพื่อที่เงินจะได้ไม่รั่วไหลอย่างนั้นหรือ ถึงแม้นางจะไม่เคยคบหากับใครจริงจังมาก่อนแต่ก็รู้ดีว่าการพูดเช่นนี้จะเป็นการทำลายบรรยากาศเสียเปล่าๆ เพียงแต่…นี่ม่อซิวเหยากำลังเอาใจนางอยู่หรือ เยี่ยหลีรู้สึกปั่นป่วนใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นม่อซิวเหยามีท่าทีสบายๆ เป็นปกติ ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าเขาตั้งใจจะทำสิ่งใด เยี่ยหลีจึงจำต้องล้มเลิกความคิดของตนไป มีชายหนุ่มท่าทางดี ไม่ดูน่ารังเกียจ ซ้ำยังกำลังจะเป็นสามีนางในอนาคตมาให้เครื่องประดับเพื่อเอาใจ ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่ใช่หรือ 

 

 

ร้านเฟิงหวาเป็นร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง เครื่องประดับที่วางขายที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเครื่องหยก เหตุผลที่ร้านนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้ดีในเมืองหลวงนั้นไม่เพียงเพราะสินค้าประณีตงดงาม ราคาสูงลิ่ว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเครื่องประดับที่วางขายที่นี่ไม่มีแบบที่เหมือนกันแม้แต่ชิ้นเดียว ทุกชิ้นล้วนไม่เหมือนใคร ทำให้บรรดาคุณหนูและชนชั้นสูงทั้งหลายที่ไม่อยากใส่เครื่องประดับซ้ำกับใครชื่นชอบมากเป็นพิเศษ เยี่ยหลียังเคยคิดที่จะให้ร้านฉางเจินเก๋อใช้รูปแบบร้านชั้นสูงเช่นนี้ แต่ก็ทำได้เพียงคิด เพราะร้านฉางเจินเก๋อไม่ได้มีช่างที่ออกแบบและแกะสลักออกมาได้อย่างโดดเด่น นอกจากนั้น เยี่ยหลีเองก็มีความรู้เกี่ยวกับการออกแบบเพชรพลอยแค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น จึงได้แต่จนใจ 

 

 

เมื่อเข้ามาในร้านเฟิงหวา หลงจู๊ก็ออกมาต้อนรับทันที เมื่อเห็นม่อซิวเหยาที่นั่งรถเข็นเข้ามาก็อึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มนอบน้อม “ที่แท้ก็คือท่านติ้งอ๋องและคุณหนูสามตระกูลเยี่ยนี่เอง ช่างเป็นเกียรติแก่ร้านเล็กๆ ของเรายิ่งนักที่ทั้งสองท่านมาเยือนร้านเฟิงหวา เชิญท่านอ๋อง คุณหนูเยี่ย ด้านในขอรับ” 

 

 

เมื่อเชิญทั้งสองเข้าไปยังห้องด้านในแล้ว ก็มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยนำชาเพิ่งเก็บใหม่ชั้นดีมาให้ทันที เยี่ยหลีจิบชาพร้อมคลี่ยิ้มเล็กน้อย สายตามองสำรวจห้องที่ได้รับการตกต่างอย่างหรูหราแต่ดูน่าสบาย อดที่จะถอนใจไม่ได้ ช่างเป็นที่น่าเพลิดเพลินของชนชั้นสูงยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ร้านเฟิงหวาจะกลายเป็นร้านที่ชนชั้นสูงชอบมากัน ออกมาต้อนรับด้วยความใส่ใจเช่นนี้ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เงินจากแขกที่มาที่นี่หรือ 

 

 

อาจด้วยเพราะฐานะของม่อซิวเหยา ทำให้หลงจู๊ของที่ร้านมายืนรอบริการด้วยตนเอง “ท่านอ๋องอยากเลือกเครื่องประดับให้คุณหนูสามตระกูลเยี่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนคุณหนูสามตระกูลเยี่ยจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าท่านชอบเครื่องประดับแบบใดหรือขอรับ” 

 

 

เยี่ยหลีหันมองไปทางม่อซิวเหยา ม่อซิวเหยาจิบชาก่อนพูดว่า “เลือกชุดที่ดีหน่อยมาดูก่อนก็แล้วกัน” 

 

 

หลงจู๊รับคำ ก่อนหมุนตัวออกไปหยิบของมาให้ดูด้วยตนเอง  

 

 

เยี่ยหลีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเรามาซื้อเครื่องประดับกันจริงๆ หรือ” 

 

 

ม่อซิวเหยายิ้ม “อาหลี เจ้าคิดมากไปแล้ว ในเมื่อออกมาทั้งที หากมีอะไรที่ชอบก็ซื้อไปสักสองสามชุดจะเป็นไรไป” 

 

 

เยี่ยหลีถามด้วยความสงสัย “หรือว่าการแต่งตัวปกติของข้าทำให้ท่านเสียหน้า” คิดไปคิดมาก็ดูมีความเป็นไปได้ ถึงแม้เยี่ยหลีจะมีเครื่องประดับอยู่ไม่น้อย และทั้งหมดล้วนเป็นของที่สวีซื่อทิ้งไว้ให้ แต่เยี่ยหลีเป็นคนไม่ชอบอะไรรุงรัง โดยเฉพาะเครื่องประดับศีรษะ ดังนั้นเมื่อต้องแต่งตัวจึงเพียงให้ถูกกาลเทศะเท่านั้น แต่เรื่องแต่งตัวอย่างหรูหรานั้นนางรู้สึกรับไม่ค่อยได้ ด้วยฐานะของติ้งอ๋อง หากชายาในอนาคตแต่งตัวเรียบเกินไปก็อาจทำให้เขารู้สึกเสียเกียรติได้ 

 

 

ม่อซิวเหยาส่ายหน้าอย่างจนใจมองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเจ้าเกิดเพชรพลอยเต็มศีรษะขึ้นมาจริงๆ ข้าก็คงรับไม่ไหว อันที่จริงข้าก็ไม่รู้จะไปที่ใดดี จึงพาเจ้ามาดูของที่นี่ เฟิ่งจือเหยาบอกว่าเครื่องประดับร้านนี้ไม่เลว” 

 

 

เยี่ยหลีมองเขาด้วยความสงสัย นางพยายามมองหาความผิดปกติในสีหน้าของเขา กับบางคนที่นิ่งเกินไป แม้ขณะที่พูดสิ่งที่แสดงถึงน้ำใสใจจริงก็ยังคงนิ่งอยู่ได้ประหนึ่งกำลังอ่านหนังสือโบราณอยู่ในห้องหนังสือก็มิปาน เยี่ยหลีจึงได้แต่บอกตนเองว่าคิดมากเกินไป คิดไปคิดมาก็อาจจะใช่ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูเป็นสุภาพบุรุษที่สุภาพ สง่างาม และผึงผายประดุจหยก แต่ก็เคยได้ยินมาว่าสมัยนั้นเขาก็เคยเป็นเด็กหนุ่มเสเพล ดีแต่เที่ยวขี่ม้าไปเรื่อย และรายล้อมไปด้วยสาวๆ  

 

 

ไม่นาน หลงจู๊ก็ยกกล่องสองกล่องเข้ามาในห้อง เขาวางลงบนโต๊ะพร้อมเปิดกล่องออกอย่างระมัดระวัง  

 

 

“ท่านอ๋องและคุณหนูสามตระกูลเยี่ยให้เกียรติมาที่ร้านทั้งที เครื่องประดับชุดนี้เป็นชุดใหม่ล่าสุดที่เถ้าแก่ของเราออกแบบและทำออกมาเองกับมือ ปีนี้เกรงว่าคงจะมีเพียงชุดนี้ชุดเดียว คุณหนูเยี่ยลองชมดูเถิดขอรับ ว่าถูกใจหรือไม่” 

 

 

เมื่อได้ฟังหลงจู๊เอ่ยถึงความพิเศษของเครื่องประดับชุดนี้ ก็ทำให้เยี่ยหลีสนใจขึ้นมาทันที 

 

 

เครื่องประดับชุดนี้เป็นเครื่องประดับที่ทำจากหยกเขียวชั้นดี แม้หยกเขียวจะไม่ถือว่าเป็นหยกที่มีมูลค่าสูงที่สุดในบรรดาหยกทั้งหลาย แต่หยกคุณภาพดีเลิศที่ใช้ทำเครื่องประดับชุดที่อยู่ตรงหน้านี้ แม้แต่ในเซิ่นเต๋อเซวียนหรือฉางเจินเก๋อเอง เยี่ยหลีก็ยังไม่เคยพบชิ้นใดที่มีคุณภาพดีกว่าชุดนี้ ที่สำคัญกว่านั้นคือ แบบที่ดูเรียบง่ายแต่สง่างามนั้น ทำให้เครื่องประดับชุดนี้เปรียบประหนึ่งดอกอวี้หลาน[1] อันงดงามที่เบ่งบานในยามค่ำคืน ให้ความรู้สึกสงบเยือกเย็นและอ่อนโยน ในโลกนี้ไม่มีสตรีนางใดที่หลุดพ้นแรงดึงดูดจากเครื่องประดับที่วิจิตรงดงามไปได้ เยี่ยหลีได้แต่นึกทอดถอนใจ  

 

 

“เครื่องประดับชุดนี้ ประกอบด้วยปิ่นดอกอวี้หลานสองชิ้น สร้อยข้อมือหนึ่งเส้น กำไลข้อมือหนึ่งวง และสร้อยประดับหน้าผากอีกหนึ่งชิ้นขอรับ”  

 

 

เมื่อหลงจู๊เห็นสายตาที่ชื่นชมของเยี่ยหลี ก็รีบเปิดกล่องอีกใบหนึ่งที่ใส่สร้อยประดับหน้าผากไว้ทันที หยกงามสีเขียวอ่อน ไม่มีลายดอกไม้หรือการฝังอัญมณีใดๆ ให้ดูรกรุงรัง เป็นเพียงเครื่องประดับที่ประกอบขึ้นจากดอกอวี้หวานแต่ละดอกวางเปล่งประกายอยู่ในกล่องผ้าไหมตรงหน้านาง 

 

 

“ชอบหรือไม่” ม่อซิวเหยาหันมองทางเยี่ยหลีพร้อมอมยิ้ม “เหมาะกับอาหลีมาก” 

 

 

“สวยจริงๆ” เยี่ยหลีพยักหน้า 

 

 

“ชุดนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวให้ใครไปรับเงินที่ตำหนักข้า” 

 

 

เมื่อเห็นว่าทั้งสองต่างพอใจ หลงจู๊ที่เพิ่งขายสินค้าได้เงินก้อนโตก็พอใจมากเช่นเดียวกัน  

 

 

“ขอรับ คุณหนูเยี่ยจะรับไปเลยหรือจะให้เราไปส่งให้ที่จวนขอรับ”  

 

 

ม่อซิวเหยาเอ่ยตอบเรียบๆ ว่า “ส่งไปที่จวนเจ้ากรมเยี่ยเลยก็แล้วกัน”