ตอนที่ 27 เจ้าชนข้าทำไม

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 27 เจ้าชนข้าทำไม

แม้ว่าหมู่บ้านต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับภูเขาต้าโม๋จะกระจัดกระจายกันออกไป แต่โดยภาพรวมก็จัดว่าอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอฉือเจียอยู่ดี

เจียงป่าวชิงถามหวังอาซิ่งแล้ว และรู้ว่าการประชุมที่อำเภอฉือเจียจะมีทุก ๆ สามและแปดปี

วันนี้เป็นวันที่แปดของปีใหม่พอดี เจียงป่าวชิงตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตามปกติ นางออกกำลังทำกายบริหารเบญจสัตว์ในลานบ้านเล็กน้อย จากนั้นก็นำผักป่าที่คัดมาเป็นพิเศษเมื่อวานนี้มามัดรวมกัน และออกจากบ้าน

นางกำลังไปหาซุนต้าหู

เจียงป่าวชิงถามหวังอาซิ่งและได้รู้ว่าทุกครั้งที่ถึงวันประชุม ซุนต้าหูจะรับคนไปส่งยังที่ประชุม เขาจะเดินทางไปในตอนเช้า และจะกลับมาในช่วงบ่าย

เจียงป่าวชิงออกมาตั้งแต่เช้าตรู่  นางเห็นซุนต้าหูกำลังให้อาหารล่อแก่ของเขาอยู่และเองก็เห็นว่าเจียงป่าวชิงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง

หลายวันมานี้รอยบวมช้ำบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงหายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้ว จึงทำให้นางดูสวยมากยิ่งขึ้น  เมื่อเห็นดังนั้น ซุนต้าหูก็เกือบจะดันหญ้าเข้าไปในรูจมูกของล่อแก่อยู่รอมร่อ

เจียงป่าวชิงตะโกนเรียกอย่างน่ารัก “พี่ต้าหูเจ้าคะ”

ครั้งนี้ ซุนต้าหูเกือบจะดันหญ้าเข้าไปในตาของล่อแก่แล้ว แต่มีหรือเจ้าล่อแก่จะอยู่นิ่งเฉย มันเกือบถีบเขาด้วยความโกรธ

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซุนต้าหูก็ยังคงยิ้มและผายมือรีบเชื้อเชิญเจียงป่าวชิงให้เข้ามาด้วยท่าทางที่เก้อเขินและดูจนตรอกอย่างไรพิลึก

เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าซุนต้าหูเป็นคนดีที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว นางส่งผักป่าที่คัดมาเป็นพิเศษให้ซุนต้าหูก่อนจะพูดกับเขาว่า “พี่ต้าหู ขอบคุณพี่ที่พาข้ากับท่านอาไปส่งเมื่อวันก่อนนะเจ้าคะ”

ซุนต้าหูแก้มแดงเรื่อ แต่โชคดีที่ท้องฟ้ายังมืดอยู่บ้าง อีกทั้งสีผิวของเขาก็ค่อนข้างคล้ำเล็กน้อยจึงเห็นความแดงระเรื่อนั้นไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ เขารีบโบกมือไปมาทันที “ข้าบอกแล้วว่าทางผ่าน เจ้าไม่ต้องตอบแทนข้าหรอก”

เจียงป่าวชิงพูดอย่างใจกว้าง “พี่ต้าหูเจ้าคะ พี่รับไปเถอะ นี่มันราคาไม่เท่าไหร่ ก็แค่ผักป่าที่ข้าขุดออกมาจากในป่าลึกเท่านั้นเอง ไม่ใช่ของดีอะไรสักหน่อย…”

ซุนต้าหูลูบศีรษะตนเองเล็กน้อย เขารู้สึกว่าบางจุดในหน้าอกผิดปกติไป จึงกระแอมไอออกมา “อะแฮ่ม! ก็ได้ เช่นนั้น… ข้าจะรับไว้” เขารับผักป่ามัดนั้นด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ประคองมันเข้าไปในบ้านอย่างระมัดระวังราวกับกำลังถือของล้ำค่า  ผ่านไปสักพักจึงกลับออกมา

เจียงป่าวชิงปรึกษาซุนต้าหูด้วยความเก้อเขินเล็กน้อย “พี่ต้าหู คือว่าข้าจะไปในอำเภอเจ้าค่ะ ค่ารถไปกลับข้าค่อยให้พี่ตอนกลับมาได้ไหมเจ้าคะ ?”

ซุนต้าหูเบิกตากว้าง “น้องชิง ข้าจะเอาค่ารถกับเจ้าทำไม ? อีกอย่าง เจ้าจะไปเอาทองแดงมาจากไหนหรือ ?”

ความยากจนของเจียงป่าวชิงแทบจะเป็นที่รู้จักของทุกคน

เจียงป่าวชิงจะไม่ยอมลำบากใจเพราะเรื่องนี้เป็นอันขาด นางจึงจำเป็นต้องโกหกหน้าตาย “พี่ชายข้าให้ไว้เจ้าค่ะ”

และนางก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

หัวใจแห่งการป้องกันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ หากคนอื่นรู้ว่านางมีเศษเงินอยู่ในมือ ก็ไม่รู้ว่าจะมีความคิดที่ไม่ดีอะไรผุดออกมาบ้าง

ไม่ต้องไปพูดถึงคนอื่น ๆ เลย  เพียงแค่คนในตระกูลเจียงก็สามารถเอามายกตัวอย่างได้ และเจียงป่าวชิงนั้นเชื่อว่า เก้าในสิบส่วน พวกเขาจะบอกว่าเศษเงินในมือของนางนั้นถูกขโมยไปจากในบ้านอย่างแน่นอน

โชคดีที่ซุนต้าหูเป็นคนซื่อสัตย์  เมื่อเขาเห็นเจียงป่าวชิงพูดออกมาเช่นนี้ เขาก็เชื่อสนิท แต่เขายังคงเกาศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็ปฏิเสธเรื่องค่ารถของเจียงป่าวชิงอีกครั้ง

“น้องชิง ทองแดงที่พี่ชายของเจ้าให้ไว้ เขาคงอยากให้เจ้านำไปซื้อของกินมาบำรุงร่างกาย ดังนั้นแล้วเจ้าอย่าสิ้นเปลืองมันเลย คนตัวเล็ก ๆ อย่างเจ้าจะครองพื้นที่ได้แค่ไหนเชียว ? ส่วนค่ารถนี้ ช่างมันเถอะ”

ท่าทีของซุนต้าหูเด็ดเดี่ยวมากเสียจนเจียงป่าวชิงต้องเงียบเพื่อครุ่นคิดสักครู่  นางตัดสินใจว่าถึงตอนนั้น นางจะแลกเศษเงินเป็นทองแดง จากนั้นก็จะยัดใส่ในมือของเขาและวิ่งหนีไปทันที ผู้ชายอย่างเขาคงไม่กล้าฉุดดึงเด็กผู้หญิงอย่างนางกระมัง ?

เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไรอีก ซุนต้าหูจึงคิดว่าเจียงป่าวชิงเข้าใจแล้ว เขายิ้มอย่างอารมณ์ดี

หลังจากที่ซุนต้าหูให้อาหารล่อแก่เสร็จเเล้ว เขาก็นำล่อแก่ไปผูกกับรถ และยังหยิบเบาะรองให้เจียงป่าวชิงอีกด้วย เพื่อที่นางจะได้ไม่เจ็บก้น

เมื่อมาถึงทางเข้าหมู่บ้านก็เป็นเวลาฟ้ารุ่งพอดี เมื่อมองไปโดยรอบก็จะเห็นได้ว่าเริ่มมีคนในหมู่บ้านทยอยมากันบ้างแล้ว พวกเขาก็จะโดยสารรถล่อของซุนต้าหูเข้าไปในอำเภอเช่นกัน

เมื่อพวกเขาเห็นเจียงป่าวชิง สีหน้าบนใบหน้าของพวกเขาก็แปลกประหลาดไป พวกเขาไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงที่เป็นคนปัญญาอ่อนจะสามารถมานั่งอยู่บนรถได้เช่นนี้

ถึงแม้ว่าเจียงป่าวชิงจะหายจากอาการป่วยนั้นแล้ว และเรื่องที่นางไม่ปัญญาอ่อนแล้วแทบจะถูกเล่าต่อ ๆ กันไปทั่วหมู่บ้าน แต่เมื่อมาเห็นคนที่ปัญญาอ่อนมาหลายปีนั่งรวมกับคนธรรมดาโดยที่ไม่มีความแตกต่างใด ๆ  ในใจของพวกเขาหลายคนก็ยังคงรู้สึกแปลกใหม่

ชาวบ้านที่ค่อนข้างมีอัธยาศัยดี ได้ทำการทักทายเจียงป่าวชิงเล็กน้อยตามมารยาท “สวัสดีเด็กบ้านตระกูลเจียง ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหายป่วยแล้วหรือ ?”

เจียงป่าวชิงไม่ถือที่คนอื่นพูดเรื่องนี้ นางจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ข้าหายแล้ว”

นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไรอีก คนที่ไปในอำเภอเวลานี้ ส่วนใหญ่จะไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพคนในครอบครัวกันทั้งนั้น

เหมือนผู้หญิงที่กำลังกอดถุงผ้าไว้ในมือ ดู ๆ แล้วนางน่าจะไปขายงานเย็บปักถักร้อยของตัวเองที่ในอำเภอ ส่วนชายชราที่แบกหาบผักสองด้านนั้น ก็คงจะไปขายผักในอำเภอเพื่อหารายได้ไม่กี่ทองแดง และหญิงสาวผู้ซึ่งอุ้มเด็กกำลังนอนหลับคนหนึ่งอยู่นั้น ดูจากแก้มที่แดงมากของเด็กน้อยที่นอนหลับอยู่  บนหน้าผากมีเหงื่อรำไร อีกทั้งข้อมือที่โผล่พ้นแขนเสื้อก็มีอาการบวมน้ำเล็กน้อย ดูจากสภาพนี้แล้วก็คงจะไปในอำเภอเพื่อให้หมอดูอาการ

เมื่อมองดูคนอื่น ๆ  เจียงป่าวชิงก็คิดว่าส่วนใหญ่ทุก ๆ คนก็ล้วนมีความทุกข์ในแบบของตัวเองกันทั้งนั้น

ชีวิตไม่ง่ายเลยจริง ๆ

“นางคนนั้นก็มากับลูก แล้วทำไมเจ้าถึงเก็บเงินเพียงคนเดียว ?”

น้ำเสียงก้าวร้าวของใครคนหนึ่งดังขึ้น นั่นทำให้ความคิดของเจียงป่าวชิงกลับมาทันที  เจียงป่าวชิงมองออกไปก็เห็นป้าคนหนึ่งที่มีผ้าสีฟ้าพันรอบศีรษะกำลังโต้เถียงกับซุนต้าหูอยู่  นางพาเด็กชายอายุประมาณสิบขวบมาด้วย แต่นางต้องการจ่ายค่ารถเพียงแค่หนึ่งคน

ป้าคนนั้นชี้หญิงสาวที่กำลังอุ้มลูกที่หลับใหลอยู่ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงแหลม “ซุนต้าหู หรือเจ้าเห็นว่าผัวของสาวน้อยคนนั้นตายแล้วจึงคิดจะเสียบต่อล่ะห๊ะ ?!”

หญิงสาวผู้ที่อุ้มลูกน้อยคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองทันที ใบหน้านางแดงก่ำ ปากก็พึมพำอยู่สักพัก แต่สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออก

ซุนต้าหูหน้าแดงลามไปถึงใบหู เดิมทีเขาก็เป็นคนที่ซื่อสัตย์และเห็นแก่คนอื่นอยู่แล้ว  แล้วคนเช่นเขาจะมีหน้ามาทะเลาะกับป้าแก่ ๆ ได้อย่างไร เขาจึงทำได้เพียงอธิบายอย่างเหนื่อยใจ “ป้าตู่ ไม่ใช่นะขอรับ ถึงแม้ว่าสะใภ้ตระกูลป๋ายจะอุ้มลูกน้อยอยู่ แต่นางครองพื้นที่นั่งเพียงที่เดียว… ช่างเถอะขอรับ” สายตาของเขามองป้าตู่

ป้าตู่ที่มีผ้าสีฟ้าพันรอบศีรษะนั้นจ้องเขาเขม็ง ทั้งยังทำท่าจะพูดจาไม่น่าฟังออกมาอีก เห็นดังนั้น ซุนต้าหูจึงรีบพูดขึ้น “ถึงอย่างไรวันนี้คนก็ไม่ได้เยอะมาก ยังมีที่เหลืออยู่ อีกอย่าง ชู่เชิงก็เป็นเด็กเหมือนกัน งั้นก็เอาตามนั้นขอรับ”

ป้าตู่ส่งเสียงออกมาเล็กน้อย ราวกับไปรบชนะมาทำนองนั้น นางมองหญิงสาวที่อุ้มลูกน้อยคนนั้นอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง จากนั้นก็หาที่ว่างสำหรับนั่งลงและเรียกหลานของตัวเองให้มานั่งข้าง ๆ “ชู่เชิง เจ้ารีบขึ้นมาเร็ว มานั่งข้าง ๆ ย่านี่มา…”

หญิงสาวสะใภ้ตระกูลป๋ายคนนั้นน้ำตาคลอเบ้า แต่นางกลับไม่กล้าพูดอะไร นางก้มหน้ากอดลูกที่กำลังนอนหลับอยู่แน่นยิ่งขึ้น

ตู่ชู่เชิงปีนขึ้นรถและเบะปากแค่นเสียงใส่เจียงป่าวชิง “เจ้าปัญญาอ่อน” จากนั้นเขาก็ชนนางอย่างแรงจนเกือบทำให้นางตกจากรถ เจียงป่าวชิงรีบจับกระดานรถไว้แน่นเพื่อไม่ให้ตัวเองตกลงไป

เจ้าเด็กซน!

เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ และยังคงแกล้งทำตัวไม่นิ่ง มือของนางรีบคว้าข้อเท้าของตู่ชู่เชิงไว้ จากนั้นก็ออกแรงดึงเพื่อแสร้งทำเป็นรักษาสมดุลร่างกาย ขณะเดียวกัน ปากก็ส่งเสียงร้องออกมา “ไอ้หยา! เจ้าชนข้าทำไม ?”

ตู่ชู่เชิงรู้สึกชาตรงข้อเท้าเล็กน้อย เขาไม่ทันได้ตอบสนองอะไร รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายใช้แรงผิดไปอย่างกะทันหัน จากนั้นเขาก็ตกลงไปจากริมรถ และล้มลงไปบนพื้นดินด้วยหน้าตาที่มอมแมมไปด้วยฝุ่น

เจียงป่าวชิงซ่อนผลงานและเก็บกรงเล็บของตัวเองกลับมา

“ไอ้หยาชู่เชิง!” ป้าตู่รีบลงจากรถราวกับสงสารหลานมากเสียเต็มประดา  นางประคองตู่ชู่เชิงขึ้นมาจากบนพื้น  เดิมทีตู่ชู่เชิงอยากแกล้งเจียงป่าวชิง แต่สุดท้ายยังไม่ได้แกล้ง ตัวเองกลับตกลงไปจนหน้าตามอมแมมเสียก่อน เขาทั้งร้อนใจทั้งโมโห จากนั้นก็จ้องเจียงป่าวชิงเขม็ง “เจ้าปัญญาอ่อนบ้า!”

ไม่มีใครเห็นการกระทำของเจียงป่าวชิง ตู่ชู่เชิงเป็นเพียงแค่เด็กซนในหมู่บ้าน เขาไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกเมื่อสักครู่อย่างไรด้วยซ้ำ ทำได้เพียงจ้องเจียงป่าวชิงอย่างโหดเหี้ยมราวกับอยากจะเข้าไปต่อยนางทำนองนั้น

ในทางกลับกัน ป้าตู่ยิ่งแล้วใหญ่ นางเห็นหลานชายของตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงก่นด่าเจียงป่าวชิงอยู่ตรงนั้น นางมั่นใจว่าเจ้าเท้าเล็กเจียงป่าวชิงเป็นคนทำร้ายหลานชายตัวเองจนทำให้เขาตกลงไป

นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและตั้งใจจะเข้าไปทำร้ายเจียงป่าวชิง