ตอนที่ 26 ห้าตำลึงถ้วน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 26 ห้าตำลึงถ้วน

ตั้งแต่โจซื่อพาเจียงป่าวชิงไปที่หมู่บ้านวัวเหลือง เจียงต้ายาก็รู้สึกกระวนกระวายตลอดเวลา นางกำลังเย็บเสื้อผ้าเด็กเล็ก แต่ก็เย็บผิดไปหลายจุดอยู่เหมือนกัน

เจียงเอ้อยากลับมาจากไปส่งข้าวในไร่ นางกำลังรินน้ำให้ตัวเองก็เห็นว่าเจียงต้ายามีท่าทางเหม่อลอย นางพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ต้ายา พี่วางใจเถอะ ถ้าพี่เฉิงหยวนของพี่มีพี่กับลูกในท้องของพี่อยู่ในใจ เขาจะต้องปล่อยวางเรื่องสินสมรสห้าตำลึงนั่นอย่างแน่นอน แต่ในหมู่บ้านของเรามีบ้านไหนกันที่แต่งลูกสาว แล้วให้ฝั่งฝ่ายหญิงเป็นผู้ให้สินสมรสเป็นเงินห้าตำลึงเช่นนี้…”

ดูเหมือนเจียงต้ายาจะไม่รับรู้ถึงความไม่พอใจในคำพูดของเจียงเอ้อยา นางวางเสื้อผ้าเด็กในมือลงและถอนหายใจแรง ๆ “ข้าไม่โทษพี่เฉิงหยวนหรอก ทั้งหมดเป็นเพราะในสายตาท่านแม่ของพี่เฉิงหยวนมีแต่เงิน… เฮ้อ ท่านแม่เราไปเจรจาในครั้งนี้ ถ้าสามารถทำให้ท่านแม่ของพี่เฉิงหยวนปล่อยวางได้ก็ดีสิ”

เจียงเอ้อยากลอกตาไปมาเล็กน้อย จากนั้นนางก็เดินไปนั่งข้างเจียงต้ายาด้วยท่าทางทุกข์ใจ “ก็ใช่ บ้านเราเพิ่งจ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมาจัดการเรื่องพี่ฉาย และตอนนี้ก็ไม่มีเงินให้พี่นำมาเป็นสินสมรสแล้วด้วย…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ ?!” เจียงต้ายาเพิ่งรู้เรื่องที่จ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมารักษาเจียงโหย่วฉาย นางตกตะลึงจนหน้าถอดสี

ไหนคนในบ้านบอกว่าไม่มีเงินอย่างไรเล่า ? แล้วเหตุใดถึงมีเงินเชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมารักษาเจียงโหย่วฉายได้ ?!

ห้าตำลึง!  ห้าตำลึงถ้วน!

เจียงต้ายาแค้นใจจนอยากกระอักเลือด

เจียงเอ้อยากะพริบตาปริบ ๆ “เอ… แต่จะว่าไปแล้ว อาการป่วยของพี่ฉายก็แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเขาไปกินอะไรมาจนทำให้ท้องเสียหรือเปล่า…”

เจียงต้ายาใจเต้นแรง ในลำคอของนางก็ค่อนข้างแห้งผาก  นางถึงขนาดไม่กล้ามองหน้าเจียงเอ้อยาเลยก็ว่าได้ สุดท้ายนางก็พูดคล้อยตามเจียงเอ้อยาอย่างคลุมเครือว่า “ใครว่าไม่ใช่ล่ะ…?”

เหมือนเจียงเอ้อยาจะนึกอะไรได้ นางจึงถามเจียงต้ายาด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาว่า “พี่ต้ายา  ยาที่พี่ให้ข้าไปซื้อมาจากบ้านแม่เฒ่ากัวนั้นเป็นยาอะไรกันแน่ ?” หลังจากที่พูดออกไปเช่นนี้ นางก็เหมือนค้นพบอะไรบางอย่าง จากนั้นนางก็เบิกตากว้างและถามเจียงต้ายาอย่างตื่นตระหนก “พี่ต้ายา! อย่าบอกนะว่าพี่ฉายไม่ระวัง กินยาที่พี่ให้ข้าไปซื้อมาจากบ้านแม่เฒ่ากัวเข้าไป… ข้าว่าแล้ว อยู่ดี ๆ ทำไมพี่ถึงได้ให้ข้าเอาของอร่อยไปให้เจ้าปัญญาอ่อนป่าวชิงนั่น และวันนี้เจ้าปัญญาอ่อนนั่นยังสบายดีอยู่เลย…”

เจียงต้ายาปิดปากเจียงเอ้อยาอย่างลุกลี้ลุกลนทันที

เพราะตื่นกลัวเกินไป เจียงต้ายาจึงรู้สึกเจ็บตรงท้องน้อยเล็กน้อย นางกัดฟันพูดกับเจียงเอ้อยาเสียงเบา “เอ้อยา เจ้า… เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล ยานั้นข้าไม่ระวังและทำหกลงบนพื้นไปหมดแล้ว  เมื่อคืนที่ข้าให้เจ้าเอาต้มซี่โครงไปให้เจ้าปัญญาอ่อนป่าวชิงนั้นก็… ก็เพราะข้าอยากเอาใจมัน เพื่อให้มันยอมขายตัวต่างหากเล่า…”

มีช่องโหว่มากมายในคำพูดนี้ แล้วเจียงเอ้อยาจะเชื่อได้อย่างไร แต่จุดประสงค์เดิมของนางก็ไม่ใช่การเปิดโปงเจียงต้ายาอยู่แล้ว สุดท้ายนางก็ยืดน้ำเสียงให้ยาวขึ้นเล็กน้อย “อ้อ… แบบนี้นี่เอง”

ดูเหมือนความเจ็บที่ท้องน้อยของเจียงต้ายาจะหายไปแล้ว นางรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย จากนั้นก็จับเจียงเอ้อยาไว้แน่นกว่าเดิม “เอ้อยา เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปซื้อยา เจ้าอย่าเอาไปพูดที่ไหนนะ… ข้ากลัวว่าคนในบ้านเราจะคิดมาก”

ใบหน้าของเจียงเอ้อยาเต็มไปด้วยความจริงใจ “พี่พูดอะไร เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าจะทรยศพี่ได้อย่างไรกันล่ะ ?”

เจียงต้ายารู้สึกปลื้มใจ นางไปคลำบนเตียงอิฐสักพัก จากนั้นก็หยิบถุงเงินที่เย็บด้วยผ้าป่านออกมา นางล้วงเงินห้าสลึงออกมาจากในนั้น และยัดใส่ในมือเจียงเอ้อยา “เอ้า เจ้าเอาเงินนี้ไปซื้อลูกอมกินนะ”

เจียงเอ้อยารับเงินไป จากนั้นก็ยิ้มหวานให้เจียงต้ายา “ขอบคุณนะพี่ต้ายา… แต่ข้าไม่ค่อยชอบกินลูกอม ก่อนหน้านี้ข้ารู้สึกถูกใจเครื่องสำอางที่เพิ่งออกใหม่ที่ขายโดยพ่อค้าจ้าว มันดูดีมากเลยนะพี่”

เจียงต้ายาแทบกระอักเลือดออกมาเสียให้ได้  นางก็ถูกใจเครื่องสำอางนั้นเช่นกัน… แต่มันแพงเกินไป ตั้งสี่สิบสลึงถ้วน นางทำใจซื้อมันไม่ลงมาโดยตลอด

ต้องทราบก่อนว่าเงินทุกสลึงนั้นเป็นเงินที่นางเก็บออมเอง และนางใช้อย่างตระหนี่ถี่เหนียวมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา

มือที่ถือถุงเงินของเจียงต้ายาสั่นเล็กน้อย นางมองเจียงเอ้อยาที่กำลังส่งยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้  นางตัดสินใจสักครู่ สุดท้ายก็เทถุงเงินลงบนเตียงอิฐและนับเงินด้วยมือที่สั่นเทา

มีเงินทั้งหมดสามสิบสองสลึง…

เจียงต้ายาทนดูต่อไปไม่ไหว นางผลักเงินทั้งหมดไปที่เจียงเอ้อยา “เอ้อยา ข้าให้เจ้าหมดเลย เจ้าเอาไปซื้อเครื่องสำอางสิ”

เจียงเอ้อยายิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน จากนั้นก็เขี่ยแผ่นทองแดงทั้งหมดเข้าหาตัวเองอย่างไม่เกรงใจและนำไปใส่รวมกันในแขนเสื้อของตน “ยังขาดอีกไม่กี่สลึง แต่เราเป็นพี่น้องกัน และข้าก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเงินไม่กี่สลึงนั้นหรอก ข้าออกเองก็ได้จ้ะพี่” เจียงเอ้อยาทิ้งท้ายด้วยการยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินออกไปทันที

เจียงต้ายาสูดหายใจเข้าลึก ๆ นางกำมือแน่นขณะที่เดินไปนั่งกระวนกระวายอยู่ข้างหน้าต่าง นางมองออกไปด้านนอกและรอโจซื่อนำข่าวดีกลับมาบอก

ในยามที่อาทิตย์อัสดงคล้อยลงจะตกดิน โจซื่อกับเจียงป่าวชิงก็กลับมา

สีหน้าของโจซื่อเหมือนกับทุกที นางถึงขนาดหยุดคุยกับคนในหมู่บ้านที่เดินผ่านมาเกี่ยวกับเรื่องการเก็บเกี่ยวในปีนี้

เจียงต้ายามองเห็นจากในหน้าต่าง  ดวงตาของนางเป็นประกายทันที ในความคิดของนาง ถ้าหากว่าโจซื่ออารมณ์ดีเช่นนี้ นางก็คงจะพูดเรื่องแต่งงานสำเร็จแล้วอย่างแน่นอน

เจียงป่าวชิงที่อยู่ในลานบ้านเผชิญหน้ากับเจียงต้ายาที่กำลังยิ้มตาหยีอยู่หลังหน้าต่าง เมื่อเจียงต้ายาเห็นเจียงป่าวชิง นางก็หยุดยิ้มทันทีแล้วเปลี่ยนเป็นเบะปากอย่างรำคาญใจ จากนั้นก็โบกมือไล่เจียงป่าวชิงอย่างเบื่อหน่ายราวกับกำลังขับไล่สิ่งสกปรก

ทว่าเจียงป่าวชิงไม่สนใจเจียงต้ายา นางเก็บสายตากลับมาและเข้าไปในห้องดินเหนียวของตนเองทันที

ผ่านไปไม่นาน โจซื่อก็เข้าไปในห้องของเจียงต้ายา ไม่รู้ว่านางพูดอะไร แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงดังมาจากในห้องว่า ‘ข้าไม่เชื่อ!’ เพียงแต่เสียงตะโกนนั้นทั้งรีบร้อนและสั้นไปสักหน่อย จากนั้นก็หยุดลงทันที ราวกับถูกใครบางคนปิดปากอยู่

ครู่ต่อมา ในห้องก็ไร้สุ้มเสียง ไม่มีเสียงอะไรดังออกมาอีก

ตกกลางคืน โจซื่อถือโอกาสออกไปในยามราตรี หลังจากกลับมา นางก็ตรงไปที่ห้องครัวทันที นางล้วงถุงกระดาษถุงหนึ่งออกมาจากในอ้อมอก จากนั้นก็ใส่ลงไปต้มกับน้ำ ต้มจนกระทั่งกลายเป็นสีดำ ถึงจะถือไปที่ห้องของเจียงต้ายา

มีเสียงเคลื่อนไหวในห้องของเจียงต้ายาดังขึ้นเกือบตลอดทั้งคืน และค่อย ๆ เบาลงในช่วงครึ่งหลังของคืนนั้น

เจียงป่าวชิงนอนอยู่บนเตียงอิฐโดยมีฟางแห้ง ๆ อยู่ข้างใต้ ส่วนบนหัวเป็นหลังคาบ้านที่เผยให้เห็นฟางโคลน รอจนด้านนอกไร้การเคลื่อนไหว นางถึงจะหลับตาลงและผล็อยหลับไป…

หลายวันต่อมา ตระกูลเจียงเงียบสงบมาก ดีที่ไม่มีใครมาหาเรื่องเจียงป่าวชิงเช่นกัน  เจียงป่าวชิงได้ใช้เวลาอันเงียบสงบที่หาได้ยากในตลอดหลายวันมานี้  ทุก ๆ เช้าตอนที่ฟ้ายังไม่สว่าง เจียงป่าวชิงก็จะตื่นมาเก็บฟืนเพื่อทำอาหาร จากนั้นก็จะเข้าไปขุดผักป่าในป่าลึก ตลอดการปีนเขา นางถือว่านี่เป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง

มีครั้งหนึ่ง นางจับไก่ป่าตัวผอมแห้งได้จากพุ่มไม้ ถึงแม้ว่ามันจะผอมไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่หายากเลยก็ว่าได้

เจียงป่าวชิงรู้สึกว่าแสงในตาของตนเองแทบจะเผาไก่ป่าตัวนั้นให้หัวโล้นอยู่รอมร่อ นางเชือดคอไก่ด้วยก้อนหินที่แหลมคมหนึ่งก้อน จากนั้นก็รีดเลือดออกจากตัวไก่และทำการล้างไก่ป่าที่แม่น้ำสายเล็ก ๆ ซึ่งแยกมาจากแม่น้ำคราดที่ไหลอยู่ในป่าลึก นางจุดไฟ ถอนขนไก่ ระหว่างนั้นก็ไปหาผักป่าใกล้ ๆ เพื่อนำมาปรุงรส

เมื่อหาเจอแล้ว นางก็เค้นเอาน้ำผักป่าออกมาแล้วนำไปทาบนเนื้อไก่ป่า เสร็จแล้วก็เสียบไม้ ยกไปวางบนที่ย่าง และย่างออกมาได้อย่างสวยงามหน้าตาน่ากินอย่างมาก

กลิ่นหอมนั้นหอมจนร่างกายที่ไม่ได้เห็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์มาหลายปีของเจียงป่าวชิง อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหลออกมาเล็กน้อย

แม้จะอยู่ในป่าลึก แต่เจียงป่าวชิงกลับนิ่งมาก นางเช็ดปาก จากนั้นก็ย่างไก่ป่าตัวผอมนั้นต่อไป

ในตอนหลัง จิตใจของนางรู้สึกทรมานเล็กน้อย ยังไม่รอให้ไก่สุก นางก็อดไม่ได้ที่จะฉีกปีกไก่และกินมันทันที

ต่อมาเจียงป่าวชิงก็อิ่มจนกินไม่ไหวแล้ว  จะไม่อิ่มได้อย่างไร ? ในเมื่อไก่ย่างมากกว่าครึ่งตัวตกไปอยู่ในท้องของนางเป็นที่เรียบร้อย

ส่วนไก่ย่างครึ่งตัวกับโครงกระดูกไก่ที่เหลือนั้น เจียงป่าวชิงก็ไม่ได้สิ้นเปลืองแม้แต่น้อย นางทำการจัดเก็บให้เรียบร้อย จากนั้นก็ห่อด้วยถุงผ้าและนำกลับไปที่บ้าน

เนื้อไก่นั้นสามารถเอามาใส่ในโจ๊กเพื่อทำเป็นโจ๊กไก่ได้ ส่วนโครงกระดูกไก่ก็สามารถนำมาต้มเป็นน้ำต้มกระดูกไก่รสเยี่ยมได้เช่นกัน

นี่คือสารอาหารที่หายากเสียจริงเชียว

เจียงป่าวชิงครุ่นคิดถึงเรื่องอาหารไม่หยุด