ในที่สุดหลินหลันก็ได้อยู่ต่อ และวันเดียวกันหลังจากมื้ออาหารค่ำ หลี่หมิงอวินถูกท่านป้าสะใภ้รองลากไปเขียนป้ายแขวนหน้าร้าน ทางด้านหลินหลันก็ถูกเหล่าฟู่เหรินเยี่ยเรียกไปอบรมภายในห้องตามลำพังสองต่อสอง หนึ่งหญิงชราหนึ่งหญิงสาวน้อย
“นับแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แม่โจวจะสอนเจ้าเรื่องกฎระเบียบมารยาทต่างๆ เจ้าจำเป็นต้องตั้งใจเรียน จำเป็นต้องรู้เอาไว้ การเข้าสังคมมิใช่เป็นเพียงเรื่องของผู้ชายเท่านั้น การเข้าสังคมระหว่างผู้หญิงด้วยกันก็มีความละเอียดอ่อน เดี๋ยวพอถึงเวลาการพูดการจาท่าทีของเจ้าจะต้องนึกถึงการรักษาหน้าของหมิงอวินเอาไว้ด้วย ข้าไม่อนุญาตทำให้เจ้าทำให้ภาพลักษณ์ของหมิงอวินเสื่อมเสีย นี่คือกรณีอยู่ข้างนอก ในส่วนที่ว่าเมื่อเจ้าอยู่บ้านว่าที่สามีของเจ้านั่น เพียงแค่เจ้าต้องรักษาความเป็นตัวตนของตนเองเอาไว้ อย่าให้ผู้อื่นมาจับผิดเอาได้ เจ้าอยากจะทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยกล่าวออกมาอย่างเนิบๆ ทว่าฟังแล้วมีความรู้สึกชนิดที่ว่าสง่าผ่าเผยอย่างมิอาจละเมิดได้ง่ายดาย
คำพูดของเหล่าฟู่เหรินท่อนแรกๆ ฟังดูเคร่งครัดขณะที่ท่อนหลังฟังดูผ่อนปรน หลินหลันกำลังจับใจความสำคัญของความหมายที่เหล่าฟู่เหรินกำลังสื่อ อยู่ข้างนอกจำเป็นต้องรักษาหน้าให้แก่หลี่หมิงอวิน ถ้าอยู่ในบ้าน จะยังไงก็ได้ เพียงแต่ว่าตนเองต้องไม่เสียเปรียบเป็นพอ การสั่งอบรมสั่งสอนเช่นนี้นับมาน่าสนใจเสียจริง เห็นได้เลยว่าเหล่าฟู่เหรินไม่ค่อยรู้สึกถูกชะตาต่อครอบครัวฝั่งเมืองหลวงเท่าไหร่นัก
หลินหลันเอ่ยขึ้นอย่างเชื่อฟัง “หลินหลันจะตั้งใจเรียนรู้เจ้าค่ะ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเผยสีหน้าที่ออกจะตกตะลึงเล็กน้อย แล้วกล่าวขึ้นอีก “หยินหลิ่วและอวี้หลงเป็นข้าอบรมสั่งสอนด้วยตัวเอง เมื่อเจ้าไปเมืองหลวง รอบกายก็จำเป็นต้องมีสองคนติดตามไปถึงจะน่าเชื่อถือ เช่นนั้นก็ให้พวกนางไปกับเจ้า เจ้าลองใช้ดู ทำความคุ้นเคยนิสัยใจคอซึ่งกันและกันเอาไว้ ไม่กี่วันนี้ซึ่งอยู่ในจวนหากมีอะไรที่ต้องการ เพียงแค่ไปท่านป้าสะใภ้รองของเจ้าเท่านั้นก็พอ”
หลินหลันไม่คาดคิดว่าจะได้รับการสนับสนุนที่ดีเช่นนี้ จึงขอบคุณอย่างดีอกดีใจ “ท่านยายไตร่ตรองได้อย่างรอบคอบจริงๆ เจ้าค่ะ”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยสบถฮึออกมาอย่างเบาๆ “ต่อหน้าผู้อื่นสามารถเรียกข้าว่าท่านยายได้ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ละครนี้ก็ไม่ต้องแสดงเสียเข้าถึงบทบาทนักหรอก มีบางเรื่อง เจ้ารู้ ข้ารู้ หมิงอวินรู้แค่นั้นก็พอ ข้าบอกจะบอกเจ้าให้เข้าใจไว้ว่า ข้ายายแก่ๆ ผู้นี้ก็มีเพียงหลานชายหัวแก้วหัวแหวนเพียงผู้เดียว ในเมื่อในใจเขามีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ แน่นอนว่าข้าจักต้องช่วยเหลือเขาอย่างสุดความสามารถ วันเวลาที่เข้าอยู่ในเมืองหลวง คนของครอบครัวเจ้าตระกูลเยี่ยจะช่วยดูแลให้ แน่นอนว่า นี่คือข้อแลกเปลี่ยนเบื้องต้น แม่นางหลินเป็นผู้ชาญฉลาด คงไม่ต้องการให้ข้ายายแก่ผู้นี้เอ่ยอย่างละเอียดหรอก”
หลินหลันแอบเหงื่อตก ที่แท้หลี่หมิงอวินก็เผยเรื่องราวอย่างหมดเปลือกไปตั้งนานแล้ว มิน่าล่ะหญิงชราผู้นี้จึงได้ยอมให้นางอยู่ ในเมื่อเหล่าฟู่เหรินพูดอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาแล้ว เช่นนั้นหลินหลันก็จะปลดปล่อยให้เต็มที่ เริ่มจากสถานการณ์ที่ยากลำบาก “อันที่จริงเรื่องการแสดงละครชนิดนี้ หลินหลันทำได้ไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ บางทีเหล่าฟู่เหรินน่าจะไปหานักแสดงซักหนึ่งท่านมาแสดงเพื่อช่วยหลี่กงจื่อนั่นจะค่อนข้างดีเสียกว่า ในเมื่อเขาเป็นถึงมืออาชีพ สั่งให้เข้าถึงบทบาทก็เข้าถึงในทันที สังให้ออกจากบทบาทก็ออกได้ทันที หลินหลันเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน การทำหน้าที่สำคัญเช่นนี้มันยากเกินไปเสียจริง!”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยเผยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก แม่โจวพูดถูก แม่นางหลินหลันผู้นี้ก็คือจอมยียวนกวนประสาทให้โมโหจนแทบคลั่ง นางเพียงแต่ย้ำเตือนนางอย่าได้ลืมภูมิหลังของตนเองก็เท่านั้น อย่าได้ลืมจุดประสงค์การมายังตระกูลเยี่ยของนาง กลับคาดไม่ถึงเลยว่า นางจะกล้าต่อปากต่อคำกับนางเสียเช่นนี้ หยิบเอาคำพูดมาตอกกลับนาง นางหากรู้แต่แรกว่าหมิงอวินมีแผนการเช่นนี้ ก็คงจะหาตัวเลือกที่ดีเพียบพร้อมยิ่งกว่านี้ให้แก่หมิงอวินไปตั้งนานแล้ว มีหรือที่จะใช้นาง?
กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุมในทันที “เจ้าก็ไม่ต้องหยิ่งทระนงตัวกับข้านักหรอก เอาเวลาไปคิดจะเรียนรู้กฎระเบียบอย่างไรให้ได้ดีเถอะ ตระกูลเยี่ยไม่เอาเปรียบเจ้าเป็นแน่”
หลินหลันฉีกยิ้ม “เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ ทว่าถึงอย่างไรหลินหลันยังคงยืนยันคำเดิม หลินหลันไม่เหมาะสมกับการแสดงละคร หากเกิดไม่ทันระวังทำเรื่องแตกเข้า…เหล่าฟู่เหรินก็อย่าได้โทษหลินหลันนะเจ้าคะ”
ใบหน้าของเหล่าฟู่เหรินเยี่ยถอดสีไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาด “อนุญาตให้สำเร็จเท่านั้น ไม่อนุญาตให้ล้มเหลว”
หลินหลันตะลึง ความต้องการนี้ช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก
“ช่างมีความยากเสียจริง…” หลินหลันเอ่ยภายใต้ใบหน้าเล็กๆ ที่ดูอ่อนล้าอยากจะยอมพ่ายแพ้
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยกลับมาเผยสีหน้าอารมณ์หยิ่งผยอง จ้องมองนางอย่างเย็นชา “เรื่องที่หมิงอวินสู่ขอเจ้าอะไรนั่นข้าไม่สนใจ หลังจากเรื่องราวสำเร็จแล้ว ข้าจะให้เจ้าอีกสามพันเหลี่ยงเงิน”
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ สามพันเหลี่ยงเงิน!!!
เท่ากับว่าหนึ่งปีหนึ่งพันเหลี่ยงเงิน เงินจำนวนมากขนาดนี้เท่ากับได้กำไรเห็นๆ! หลังจากสามปี นางก็เป็นหญิงผู้ร่ำรวยแล้ว มีเงินมากมายขนาดนี้ อยากจะเปิดร้านขายยาก็คงเป็นไปได้ไม่ยากอีกแล้ว? นับว่าตระกูลเยี่ยช่างร่ำรวยมหาศาลจริงๆ
“ตกลง เช่นนั้นหลินหลันผู้นี้ก็จะทำให้ดีที่สุดเจ้าค่ะ” หลินหลันตอบตกลงในที่สุด และก็ยิ้มดีอกดีใจเอ่ยต่อ “เหล่าฟู่เหริน พวกเราก็จะต้องลงนามสัญญาซักฉบับหรือไม่ ร่างกฎระเบียบข้อตกลงอะไรพวกนี้? ระยะเวลาสามปีจะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น หากว่า…”
เหล่าฟู่เหรินเยี่ยโกรธเป็นอย่างยิ่ง “เจ้าเกรงว่าข้าหญิงชราจะมีชีวิตอยู่ไม่เกินสามปีเช่นนั้นรึ”
“เป็นไปได้ที่ไหนกัน เหล่าฟู่เฟรินเพียงแต่ขาเท้าเดินเหินไม่ค่อยสะดวก สภาพจิตใจยังคงดีเยี่ยม อย่าว่าแต่สามปีเลย ให้อยู่อีกสามสิบปีก็ยังไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่า หากมีหลักฐานเอาไว้ ข้าก็จะได้จัดการเรื่องราวได้อย่างสบายใจใช่หรือไม่” หลินหลันหัวเราะฮ่าฮ่า
หลังจากจุดธูป หลินหลันก็พกสัญญาฉบับที่สองเอาไว้ เบิกบานใจกลับไปยังที่พักซึ่งเหล่าฟู่เหรินจัดเตรียมไว้ให้นาง
ทว่าเหล่าฟู่เหรินเยี่ยเพราะว่าความรู้สึกอัดอั้น เลือดลมเดินไม่สะดวก อาการปวดข้อจึงกำเริบ ปวดขาไปตลอดทั้งคืน
เดิมที่คิดว่าหลี่หมิงอวินจะยังไม่ได้กลับมาคืนนี้ หลินหลันและหยินหลิ่วพูดคุยกันอยู่ชั่วครู่ขณะที่กำลังเตรียมตัวนอนนั้น ใครจะไปรู้ว่าหลี่หมิงอวินมาแล้ว
หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวินอย่างคาดการณ์ ในใจครุ่นคิด เขาคงไม่น่าจะพักที่นี่หรอกมั้ง
หลี่หมิงอวินมองนางซึ่งดวงตากำลังมองไปมองมา ราวกับว่าปีศาจตัวน้อยที่กำลังหวาดระแวง จึงเอ่ยพร้อมกับร้อยยิ้มบางๆ “ข้าเพียงแวะมาบอกเจ้า ข้าได้ส่งคนไปที่บ้านเจ้ารายงานความสงบเรียบร้อย ในส่วนของพิธีแต่งงาน ข้าให้คนบอกพี่ชายของเจ้าไปว่าไว้ถึงเมืองหลวงแล้วพวกเราค่อยจัด ด้วยเพราะเหตุผลหลากหลายประการ ก็จะไม่เชิญพวกเขาไปเข้าร่วมพิธีที่เมืองหลวง”
กลับเป็นเขาที่คิดอยากรอบคอบ เช่นนี้ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงการที่พี่ชายจะรับรู้ว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่การแต่งงานจอมปลอม หลินหลันเอ่ยถามด้วยความสงสัยขึ้นหนึ่งประโยค “แค่เรื่องนี้?”
เขาพยักหน้า
หลินหลันผ่อนลมหายใจออก “ข้ารู้แล้ว เจ้า…ก็รีบไปพักผ่อนเถอะ! พรุ่งนี้ข้าต้องเริ่มเรียนกฎระเบียบมารยาท”
เขาเลิกคิ้ว ผ่านไปชั่วขณะ จึงได้พยักหน้าอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าก็รีบพักผ่อนเสีย”
หยินหลิ่วซึ่งอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเส้าเหยียเดินไปแล้ว ก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไร เพียงรู้ดีว่าหมิงอวินเส้าเหยียและแม่นางหลินหลันยังไม่ได้จัดพิธีงานแต่ง เป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่สามารถร่วมห้องเดียวกันได้
หลี่หมิงอวินมาถึงใจกลางลานหน้าบ้าน ยืนเอามือทั้งสองข้างไพล่หลังเอาไว้ แหงนหน้าขึ้นมองดูพระจันทร์
พระจันทร์เสี้ยวครึ่งดวงที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆจางๆ ปกคลุมเอาไว้จนเห็นไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ที่มองดูสงสัยในความเป็นจริง สายตาเปลี่ยนฉายออกมาซึ่งเข้มแข็งสงบและห่างไกลออกไป ราวกับว่าต้องข้ามเวลาทะลุมิติหลายพันหมื่นลี้ภายใต้ควันเมฆ…
ณ ตอนนี้และนาทีนี้ เขตเมืองหลี่ซึ่งห่างไกลออกไปหลายพันลี้นั่น เกรงว่าคงเต็มไปด้วยแสงและเปลวไฟทำให้ค่ำคืนสว่างไสวเป็นอย่างมาก เต้นรำทำเพลง ดื่มด่ำสำราญใจ มีชีวิตชีวาไม่น้อยเลย?
วันนี้เป็นงานแต่งที่ยิ่งใหญ่ของหลี่หมิงเจ๋อ
พี่ชายคนโตที่จู่ๆ โผล่ขึ้นมากะทันหันผู้นี้ ทำให้เขาเปลี่ยนจากลูกชายคนโตไปเป็นลูกชายคนรองอย่างยากจะเข้าใจได้ พรากทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเขาไป ตัวตน ตำแหน่ง ความรัก แล้วก็ยังมีหลั้วเหยียน…
ไม่ ไม่ใช่กะทันหัน เป็นไปโดยเจตนาต่างหาก
ฮานซิ่วเยว่ เจ้าเป็นผู้หญิงแน่วแน่ยอมลำบากตรากตรำมาเป็นระยะเวลาสิบหกปีและในที่สุดก็สามารถตะเกียกตะกายหลุดพ้นความยากลำบากนั่นขึ้นมาได้ แล้วท่านแม่ข้าล่ะ? เห็นท่านแม่ข้าเป็นอะไร? ถูกปกปิดความจริงให้สมรู้ร่วมคิดในระยะเวลาสิบหกปี ท้ายที่สุดก็จบลงด้วยสิ่งที่เรียกว่าความอิจฉาริษยาที่ไม่สามารถทนต่อความใจแคบและไร้ซึ่งความชอบธรรม อัดอั้นตันใจตายจากไป…
ทว่าผู้ริเริ่มเรื่องไม่ดีอย่างหลี่จิ้งเสียนนั้น ไม่เพียงแต่ไร้ซึ่งความละอายใจ แต่กลับใช้โอกาสในการสร้างข้ออ้างที่แสนประเสริฐสูง ว่ามิอาจทอดทิ้งภรรยาที่เคยร่วมทุกข์มาด้วยกันได้ แล้วไต่ขึ้นสู่ตำแหน่งซ่างซู [1] ไปอย่างราบรื่น
มือที่ไพล่ไว้ด้านหลังกำจนเป็นหมัดแน่น นัยน์ตาแผ่ซ่านไปด้วยความเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
ท่านแม่ พวกเหล่านั้นที่รังแกท่าน ทำร้ายคนของท่าน ลูกจะปล่อยให้พวกมันเสวยสุขไปได้อย่างไรกัน
หลี่จิ้งเสียน อีกไม่นาน ข้าจะทำตามปรารถนาของเจ้า โดยการกลับมา หวังว่าเจ้า….จะไม่เสียใจภายหลัง
——
[1] ซ่างซู (尚书) เป็นชื่อเรียกตำแหน่งของข้าราชการระดับสูงในยุคศักดินาของจีน ในราชวงศ์ชิงหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของหกแผนกและสำนักหลี่ฟ๋านถูกเรียกว่าซ่างซู