ตอนที่ 25 ดูถูกเกินไปแล้ว

ปฏิญญาค่าแค้น

“คุณธรรมคือสิ่งสำคัญอันดับแรกของผู้หญิง ทว่าคุณธรรมที่ว่านี้มิใช่เพียงมองด้วยตาแล้วจะสามารถมองเห็นและมองออกทะลุปรุโปร่งได้ แต่มารยาทกลับสิ่งที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และถึงเจ้าทำได้ดีแล้วก็ไม่จำเป็นว่าผู้อื่นเขาจะเอ่ยชมเจ้าออกมา แต่หากเจ้าทำขาดตกบ่งพร่องแล้วนั้น แน่นอนว่าคงได้ตามมาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์ หนึ่งในสิ่งที่สำคัญเป็นพิเศษ แม่นางจะต้องสะสมประการณ์อย่างรอบคอบ” แม่โจวเริ่มด้วยการกล่าวถึงสิ่งเป็นสำคัญขึ้นมาก่อน ซึ่งจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงคุณลักษณะแล้วตามด้วยการเริ่มเข้าถึงหัวข้อหลัก 

 

 

อาจเป็นเพราะเวลาที่ค่อนข้างกระชั้นชิด แม่โจวจึงอดไม่ได้ที่จะต้องใช้สมองนำสิ่งที่ตนเองสามารถถ่ายทอดยัดใส่สมองของหลินหลันไปทั้งหมด 

 

 

ข้อปฏิบัติด้านมารยาทของโบราณมีความซับซ้อน ซึ่งหลินหลันเองก็พอรู้ดี ที่นางคาดคิดไม่ถึงคือ หญิงรับใช้ของตระกูลซึ่งทำกิจการค้าขายจะมีสามารถความรู้ด้านมารยาทและการแสดงออกทางอิริยาบถได้อย่างเป็นมาตรฐานเช่นนี้ เดิมทีคิดว่าเคยเรียนรู้มารยาทกลุ่มชนชั้นสูงทวีปยุโรปมาแล้ว จึงมีพื้นฐานเป็นอย่างแน่นอน การมาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้อีก ก็ยังพอสามารถช่วยได้บ้าง ไม่ยากเย็นนักก็คงคุ้นชินได้ กลับคาดไม่ถึงเลยว่าทั้งหมดล้วนแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง เป็นระบบการเรียนการสอนที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ เนื้อหาเกี่ยวโยงกับภายในบ้าน การเข้าสังคม การออกนอกบ้าน การเยี่ยมเยียนผู้อื่น การต้อนรับแขกไปใครมา การจัดงานเลี้ยง การท่องเที่ยว การเผชิญหน้าต่อสาธารณะชน การมอบของขวัญ การแสดงความยินดีและเสียใจ พิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น แต่ละอย่างล้วนมีข้อกำหนดและรายละเอียดที่เคร่งครัด 

 

 

ต้องเผชิญการเรียนรู้ที่หนักหน่วงเช่นนี้ ตลอดจนการฝึกฝนระดับเคร่งครัดอย่างสูง ต่อให้หลินหลันฉลาดเฉลียวเกินคน มีพรสวรรค์ผิดปกติที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยเวลาอันสั้นนี้ก็ยังยากที่จะจดจำเข้าไปได้ หลินหลันอดไม่ได้ที่จะหยิบเอาพละกำลังเฉกเช่นตอนนั้นที่เข้าร่วมศึกการสอบเข้ามหาวิทยาลัยออกมา เรียกหยินหลิ่วให้ช่วยนางนำเอากระดาษและปากกามาให้ แล้วคัดเอาคำพูดใจความสำคัญทั้งหมดที่แม่โจวกล่าวไว้ ซึ่งสำคัญต่อการปฏิบัติจดลงไปทีละข้อ เตรียมพร้อมสำหรับการศึกษาอย่างช้าๆ ในคำคืนนี้ 

 

 

แม่โจวเฝ้าดูการกระทำของหลินหลันอย่างสงบเงียบ ขณะที่ภายในใจของนางกลับตกตะลึงเป็นอย่างมาก 

 

 

ถึงจะเรียนมาตลอดทั้งวัน สมองของหลินหลันก็ยังไม่มึนสลบไสล ทว่ามือกลับเมื่อยเป็นอย่างยิ่ง จดบันทึกไปจดบันทึกมาจนปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว เงื่อนไขของแม่โจวอยู่ในเกณฑ์ที่สูงมาก เพียงแค่การแสดงท่าคาราวะโดยย่อเข่าลง จะสูงเกินแม้แต่นิดเดียวไม่ได้ ต่ำเกินไปแม้เพียงนิดเดียวก็ไม่ได้ เอวยืดตรงเกินไปไม่ได้ งอเกินไปไม่ได้ เชื่องช้าเกินไปไม่ได้ ทำเอาในใจหลินหลันรู้สึกเสียอารมณ์เป็นอย่างมาก ไม่ได้ไปคัดเลือกหญิงงามเสียหน่อย จะต้องทำอย่างเคร่งครัดเสียขนาดนี้ไปทำไมกัน หรือว่าเหล่าบรรดาเสียวเจี่ยฟู่เหรินตระกูลข้าราชในเมืองหลวงล้วนทำได้ถึงเช่นนี้กันเป็นเรื่องปกติ? นางไม่เชื่อเหรอก 

 

 

“แม่โจว วันนี้ก็ถึงเท่านี้ก่อนเถิด! ทุกสิ่งทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป จะให้บรรลุเป้าหมายทั้งหมดในคราวเดียวคงเป็นไปไม่ได้” 

 

 

ในตอนนั้นเองที่หลินหลันแสดงท่าทีคาระด้วยการงอเขาทำไปไม่รู้กี่รอบ งอลงจนทั้งท่อนขาและเท้าล้วนอ่อนล้าไปหมด หลี่หมิงอวินเหมือนรู้งานจึงแสดงตนออกมาอย่างทันจังหวะเวลาพอดี 

 

 

หลินหลินขณะนั้นเองก็ทรุดลงนั่งพับเพียบกองบนพื้นพลางทุบนวดน่องขา 

 

 

แม่โจวเดิมที่ค่อนข้างพึงพอใจต่อการแสดงออกของหลินหลันเมื่อก่อนหน้านี้ ทว่าตอนนี้เห็นนางนั่งกองลงบนพื้นต่อหน้าหมิงอวินเส้าเหยียเช่นนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น 

 

 

หยินหลิ่วอยากจะหัวเราะขึ้นมา ทว่ามองเห็นสีหน้าของแม่โจวไม่ค่อยปลื้มนัก จึงไม่กล้าหัวเราะออกไป ได้แต่กลั้นเอาไว้จนบ่าสั่นคลอน 

 

 

“วันนี้นำทั้งหมดที่ได้เรียนรู้ไปแล้วฝึกฝนด้วยตนเองให้ดี พรุ่งนี้ข้าจะตรวจสอบ” แม่โจวเอ่ยก่อนจะแอบถอนหายใจ สมกับที่เกิดในครอบครัวชาวบ้าน นี่สินะตัวตนที่แท้จริง ช่างเถอะ ช่างเถอะ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยสอนต่อแล้วกัน 

 

 

ทันทีที่แม่โจวเดินไปแล้ว หลี่หมิงอวินก็เรียกหยินหลิ่ว “ไปนำน้ำมาให้แม่นางซักขันหนึ่ง” 

 

 

หยินหลิ่วตอบรับคำสั่งแล้วไปตักน้ำทันที 

 

 

หลี่หมิงอวินเดินไปถึงเบื้องหน้าหลินหลัน โค้งตัวลงเล็กน้อย มองด้วยสายตาที่อบอุ่น และเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ให้ข้าช่วยประครองเจ้าดีไหม” 

 

 

หลินหลันมองไปที่เขาด้วยความเหนื่อยล้า เห็นเพียงเขากำลังจ้องมาอย่างไม่วางตา ฉายให้เห็นความอบอุ่นอย่างชัดเจน และรอยยิ้มอ่อนๆ ซึ่งกำลังปรากฏความรู้สึกห่วงใย 

 

 

หลินหลันรู้สึกงุนงงเล็กน้อย นับตั้งแต่ลงนามในสัญญากับเขาแล้ว เขาก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่เย็นชาและสันโดษเช่นเมื่อก่อนอีกต่อไป บางครั้งยังเผยสีหน้าที่แสนอบอุ่นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเย็นชาหรืออบอุ่น เขาล้วนแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติและไร้ซึ่งความกังวล ทำให้อดรู้สึกไม่ได้ว่า เวลานี้ เขากำลังเผยความเป็นห่วงเป็นใยออกมาจากใจจริง 

 

 

หลังจากนั้นเพียงครู่เดียว หลินหลันก็ได้ข้อสรุปว่า พ่อหนุ่มนี่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเสแสร้งอย่างแน่แท้ 

 

 

“ไม่ต้อง ข้ายังไม่บอบบางเสียขนาดนั้น” หลินหลันลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยมีมารยาทนัก 

 

 

หลี่หมิงอวินหาได้สนใจไม่ เขาจ้องมองหน้าผากที่กำลังเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อของหลินหลัน เอ่ยออกมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป จากที่นี่ไปยังเมืองหลวงอย่างน้อยๆ ก็ตั้งสองเดือนกว่าๆ ยังพอมีเวลาถ่มเถ” 

 

 

หลินหลันนิ่งเงียบ ไม่รีบร้อน? นางก็ไม่ได้รีบร้อนหรอก ทว่าเหล่าฟู่เหรินเยี่ยต่างหากที่รีบร้อน อย่างว่าแหละก็ลงทุนก้อนใหญ่เสียขนาดนั้นแล้ว สามพันสองเงินเชียวนะ! หากก่อนเดินทางนางยังไม่เรียนรู้ให้ได้ซักเจ็ดแปดส่วน และผ่านเกณฑ์ไม่ได้ ไม่แน่ว่าท่านหญิงชราผู้นั้นอาจจะทำลายสัญญาทิ้งไปก็ได้ 

 

 

“เฮ้อ! เป็นหญิงสาวตระกูลใหญ่โตนี่ช่างไม่ง่ายดายเลยจริงๆ พูดจาก็ต้องเสียงเบาฟังชัด เก้าเดินต้องอ่อนช้อยราวกับสายลมที่พัดไหว ไม่สามารถเหล่ตามองได้ ไม่สามารถยิ้มเห็นฟันได้ ผู้หญิงต้องเชื่อฟังบิดาของตนเมื่ออยู่ที่บ้าน ต้องเชื่อฟังสามีเมื่อแต่งงานออกเรือนไปแล้ว ชั่วชีวิตนี้ไม่ต่างจากการเป็นท่อนไม้ แล้วจะมีความหมายอะไรกัน ยังไม่สู้เป็นหญิงสาวบ้านนอกพอได้เป็นอิสระอย่างที่อยากจะทำ เวลาอารมณ์ดีๆ อยากจะพูดก็สามารถพูดอย่างเสียงดังได้ เวลาในใจเป็นทุกข์ จะด่าทอออกไปซักกี่ประโยคก็ไม่เป็นไร…” หลินหลันนั่งพิงลงบนเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง อดไม่ได้ที่จะบ่นออกมายาวพรืด 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มฝืด “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะเป็นต้องอดทนไปสามปี” 

 

 

“สามปีก็ไม่ใช่ระยะเวลาอันสั้นเลย ทว่าเจ้าวางใจได้ ข้าหลินหลันผู้นี้เป็นคนที่รักษาคำพูด” หลินหลันเอ่ยอย่างเคร่งขรึม ขณะที่ในใจกลับคิดว่า…ถึงตอนนั้นแล้วหลี่หมิงอวินจะให้อะไรแก่นางเพื่อเป็นการตอบแทน 

 

 

หลี่หมิงอวินก้มหน้าลงเล็กน้อย นัยน์ตาฉายความรู้สึกอย่างที่ไม่ค่อยเชื่อถือเสียเท่าไหร่ 

 

 

“เจ้าวันนี้ทั้งวันทำอะไรอยู่หรือ” หลินหลันรู้สึกประหลาดใจเป็นยิ่งนัก นางเหนื่อยจะเป็นจะตายมาทั้งวัน แล้วเขามัวไปทำอะไรอยู่หรือ 

 

 

“อ่านหนังสือ” หลี่หมิงอวินยกชายเสื้อคลุมขึ้น ก่อนจะนั่งลงไปบนเก้าอี้ด้านข้างหลินหลัน ด้วยท่าทางที่แสนจะสง่างาม 

 

 

“อ่านหนังสือ? อะไรจะสบายเสียขนาดนี้?” หลินหลันไม่ค่อยพอใจนัก ในใจรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “กลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะต้องเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ [1] เดิมทีสามปีก่อนก็ควรทำการสอบแล้ว หากว่าข้าสอบได้ไม่ดี ไม่ว่าเจ้าจะเรียนรู้มารยาทได้มากมายเพียงใด ผู้อื่นก็ยังจะดูถูกดูแคลนเจ้าอยู่ดี” 

 

 

สิ่งที่พูดมานี้นับว่าเป็นความจริง มีคำกล่าวว่าสามีที่มีเกียรติ ภรรยาก็เจิดจรัสตามไปด้วย ถ้าหากหลี่หมิงอวินสามารสอบได้เป็นลำดับที่หนึ่งในจักรวรรดิ ต่อให้นางจะโง่เหมือนหมู ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนยอมจำใจต้อนรับขับสู้นางอยู่ดี 

 

 

หลินหลันมองไปยังหลี่หมิงอวินอย่างครุ่นคิด แล้วยิ้มอย่างมีเล่ห์สะนัยเล็กน้อย “ทำให้เจ้ามีเวลาอ่านหนังสือไปแล้วสามปี ได้เตรียมตัวแล้วตั้งสามปี หากยังสอบได้ไม่ดี เจ้าก็ไร้ความสามารถเกินไปแล้ว เช่นนั้น…สัญญานั้นของพวกเราก็สามารถถือเป็นโมฆะได้” 

 

 

หลี่หมิงอวินใส่อารมณ์เคร่งขรึม “ทำไมหรือ” 

 

 

หลินหลันยกสองมือขึ้นแบข้างลำตัว “ก็ไม่มีความหมายแล้วหนิ! หากเจ้าสอบไม่ได้ เจ้าอยู่ที่บ้านนั้นยังจะมีสถานะอะไรให้พูดได้อีกหรือ ซึ่งข้าก็จะไม่สามารถแสดงฝีมืออะไรออกมาได้!” 

 

 

หลี่หมิงอวินเลิกคิ้วมองไปที่นาง เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีสงบ “เจ้าวางใจได้ ข้าสามารถให้โอกาสเจ้าแสดงฝีมือได้แน่” 

 

 

ระหว่างการสนทนา หยินหลิ่วนำน้ำร้อนเข้ามา โดยมีอวี้หลงตามหลังมาด้วย เมื่อเห็นหลี่หมิงอวิน จึงแสดงท่าคาราวะ “เส้าเหยีย กงจื่อแห่งตระกูลเฉินมาเจ้าค่ะ ต้องการพบเส้าเหยีย” 

 

 

“อยู่ไหนหรือ” 

 

 

“อยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินรีบร้อนลุกขึ้นยืน จัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้าทีเข้าทาง แล้วหันไปพูดกับหลินหลัน “ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วก็ตามไปพบกงจื่อเฉิน” 

 

 

“เฉินจื่ออวี้นั่นใช่ไหม” หลินหลันเอ่ยปากถาม 

 

 

มองดูนางซึ่งเผยสีหน้าอย่างรู้สึกผิด หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะหลุดยิ้มออกมา “ทำไมกัน ไม่กล้าสู้หน้าเขาหรือไร” 

 

 

ไม่ใช่ไม่กล้า ก็แค่รู้สึกละอายใจนิดหน่อย หลินหลันบ่ายเบี่ยงไม่อยากไปเท่าไหร่นัก 

 

 

“อวี้จื่อไม่ใช่คนใจแคบเสียขนาดนั้น อีกอย่าง พรุ่งนี้เขาก็ต้องกลับเมืองหลวงไปก่อนแล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องรบกวนเขา เจ้าไปพบด้วย จะได้เข้าใจสถานการณ์ อย่างน้อยจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ” หลี่หมิงอวินเอ่ยโน้มน้าวอย่างใช้ความอดทน 

 

 

แม่โจวหลังจากกลับไปก็ตรงไปพบเหล่าฟู่เหรินเยี่ยทันที 

 

 

“นางเรียนเป็นอย่างไรบ้าง” เหล่าฟู่เหรินเยี่ยถือถ้วยน้ำชาด้วยสองมือ โดยอีกมือถือฝาปิดชาปาดไปมาระบายความร้อนในถ้วย แล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลาย 

 

 

“เหล่าฟู่เหริน พวกเราดูถูกนางเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” แม่โจวเอ่ย 

 

 

เหล่าฟู่เหรินเยี่ยหยุดชะงักมือที่กำลังลูบคลำถ้วยน้ำชาไปชั่วขณะ “หมายความว่า?” 

 

 

“นางเรียนอย่างค่อนข้างตั้งใจ และก็เรียนรู้ได้ค่อนข้างไว ที่สำคัญคือ…นางไม่ต่างจากเสี่ยวเจี้ยเลยเจ้าค่ะ ชอบหยิบเอาสมุดจดบันทึกมาคอยจดบันทึก ข้าแอบดูอยู่พักหนึ่งสมุดเล่มนั้น มีการเขียนไว้เต็มไปหมด แบ่งออกไปเป็นแต่ละประเภท จดไว้อย่างละเอียดชัดเจน เสี่ยวเจี้ยตอนนั้นไม่ใช่ว่าก็เรียนเช่นนี้หรือเจ้าคะ” แม่โจวเอ่ยออกมา 

 

 

เหล่าฟู่เหรินนิ่งเงียบ จนกระทั่งผ่านไปชั่วครู่ จึงกล่าวขึ้น “วันนี้หมิงอวินบอกข้าว่า นางเป็นเด็กฝึกงานของท่านหมอฮู๋ สามารถวินิจฉัยโรคได้” 

 

 

นี่เป็นการอธิบายให้แม่ของโจวรับฟัง และก็อยากโน้มน้าวตัวนางเองด้วยเหตุผลว่านี่คงเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้นเอง 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เซียงซื่อ(乡试)คือการสอบในระดับมณฑล หากสอบผ่านขั้นนี้ก็จะได้เลื่อนเป็นจวี่เหยิน (举人)ทำให้มีสิทธิ์สอบในระดับที่สูงขึ้น