บทที่ 26 อบเชย
จางชุนเถาถูกจางซิ่วเอ๋อกำชับไว้จึงอยู่แต่ในบ้าน แต่นางเป็นคนขยัน จะให้อยู่เฉย ๆ ทั้งวันเลยก็ไม่ได้หรอก อีกอย่างหม้อนั่นก็ไม่ได้ต้องจับตาดูอยู่ตลอดเวลาเสียหน่อย นางจึงหาท่อนไม้มาพรวนดินด้วยวิธีที่โง่ที่สุด
จอบด้ามนึงไม่ถูกหรอกนะ ตอนนี้ที่บ้านไม่มีเงินพอจะซื้อหรอก
ทางด้านจางซิ่วเอ๋อก็ไม่รู้ว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นบ้าง เวลานี้กำลังหาของกินไปทั่วเขา
ต้องยอมรับเลยว่าผักป่าที่กินได้บนเขานี่ไม่น้อยเลย
ทั้งผักเบี้ย ผักโขม ฮุยไฉ่[1] รากผอพอติง[2] ล้วนแล้วแต่กินได้ทั้งนั้น
แต่ถึงผักป่าจะกินได้ ก็ยังเป็นผักป่า
คนนะไม่ใช่หมู ที่จะกินแค่ผักป่าก็อิ่มได้ ถ้าคนได้กินแต่ผักป่าจะทนอยู่ได้อย่างไรไหว ต่อให้ไม่อดตายก็จะร่างกายอ่อนแอจนป่วยเพราะกินไม่อิ่ม
ในยุคโบราณที่การแพทย์ยังไม่ค่อยเจริญ ต่อให้โรคเบา ๆ อย่างเป็นหวัดเป็นไข้ก็ตายได้
ตอนนี้ที่บ้านยังพอมีผักป่าอยู่ เป้าหมายที่จางซิ่วเอ๋อออกมาไม่ใช่ผักป่าพวกนี้
นางอยากหาของที่ขายได้
แต่ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น จางซิ่วเอ๋อโชคไม่ดีพอจะเจอของหายากอย่างเห็ดหลินจืออีก
ท้ายที่สุด นางจึงมองไปที่ต้นกุ้ยฮวย[3]
วันนั้นที่นางไปซื้อพวกเครื่องเทศน์เครื่องปรุงรสในแคว้นก็เห็นของจำพวกน้ำตาล น้ำส้ม ซีอิ๊ว ส่วนพวกเครื่องเทศหัวหอมอบเชยนั้นไม่มีเลย
พอคิดมาถึงตรงนี้นางก็ตื่นเต้นขึ้นมา
นางกรอกตาเล็กน้อย และพึมพำกับตัวเอง “จะโง่จนขายอบเชยเปลือกต้นกุ้ยฮวยเลยไม่ได้ ต้องบดของพวกนี้เป็นผงแล้วผสมเข้าด้วยกัน ให้คนดูไม่ออกว่าอะไรคืออะไร……”
หลังจากใช้ความคิดอยู่สักพัก จนเมื่อจางซิ่วเอ๋อตั้งสติได้ นางก็มีรอยยิ้มดีใจบนใบหน้า
ใช่แล้ว นางตั้งใจจะขายเครื่องเทศเครื่องหอม
ในเมื่อคิดได้แล้วนางก็ไม่ชักช้าอีก
อบเชยน่ะหาง่ายมาก
ส่วนโป๊ยกั๊กหรือจันทน์แปดกลีบ…แบบสด ๆ นั้นยังโตไม่เต็มที่ แต่หาที่เหลือจากปีที่แล้วได้อยู่ แบบที่ยังอยู่บนกิ่ง ถึงแม้พวกนี้จะเคยโดนฝนมาแล้ว และรสชาติไม่จัดเหมือนตอนแรกก็ตาม
แต่แค่แงะเปลือกโป๊ยกั๊กที่ยังปิดสนิทไม่สุกดีออก ก็ยังได้กลิ่นหอมกรุ่นจากมันอยู่
ถ้าเอามาตุ๋นเลยอาจจะยังไม่มีผลอะไร แต่ถ้าแงะออกแล้วบดเป็นผง ถึงจะได้ผลไม่เต็มที่ แต่โดยรวมแล้วก็ไม่เลวนัก
แต่พริกไทยสิ หายาก
ที่นี่ต้องมีต้นพริกไทย แต่พริกไทยไม่แข็งแรงเท่าโป๊ยกั๊ก เม็ดก็เล็กนิดเดียว ยากจะเก็บรักษาบนต้นได้
แต่โป๊ยกั๊กเป็นของที่นางต้องการมากในตอนนี้จริง ๆ
จางซิ่วเอ๋อชักเริ่มจะปวดหัวนิดหน่อย นี่เพิ่งจะเริ่มปฏิบัติการจริง ๆ ทำไมเจอโจทย์หินเลยล่ะ
นางยืนเหม่ออยู่ใต้ต้นพริกไทยอยู่เนิ่นนาน แต่แล้วจางซิ่วเอ๋อก็พลันดวงตาตาเป็นประกาย เพราะคิดหาทางแก้ไขได้แล้ว
นี่ยุคโบราณนะ ทุกคนต้องรักษาโรคด้วยสมุนไพร
ถ้านางจำไม่ผิด พริกไทยก็เป็นสมุนไพรในตำราร้อยยาเสินหนง รวมถึงโป๊ยกั๊กก็เช่นกัน
ถึงแม้จางซิ่วเอ๋อจะไม่ค่อยมั่นใจว่ายุคสมัยนี้มีตำราร้อยยาเสินหนงหรือไม่ แต่นี่ก็เป็นยุคสมัยที่สมุนไพรจีนรุ่งเรือง พืชหาง่ายที่ทำเป็นยาได้แบบนี้ โรงขายยาต้องมีแน่
คิดมาถึงตรงนี้ จางซิ่วเอ๋อก็เดินวนรอบเขา
ทั้งยังตัดกิ่งต้นกุ้ยฮวยมาเยอะมาก
บางทีที่โรงขายยาก็อาจหาซื้ออบเชยได้ แต่ที่นี่มีเต็มไปหมด ทำไมนางต้องเสียเงินไปซื้อด้วยล่ะ?
มีแค่ของที่ตัวเองหาไม่ได้เท่านั้นแหละที่นางถึงจะยอมเสียเงินซื้อ
ตำลึงเองนางก็มีไม่เยอะ จะใช้อย่างไม่คิดให้รอบคอบไม่ได้
นอกจากอบเชยแล้ว ยังมีจันทร์เทศหอม บักเฮียงหรือมู่เซียง[4] แปะจี้[5] เฉินผี[6] ขิงแห้ง ของพวกนี้ถ้าเดาไม่ผิดล้วนหาได้ที่โรงขายยาทั้งสิ้น
พอคิดได้แบบนี้ จางซิ่วเอ๋อก็มีสีหน้าตื่นเต้นดีใจขึ้นมา
นางเงยหน้ามองท้องฟ้า เวลานี้เองก็เริ่มเข้าสู่ช่วงยามเย็นแล้ว หากนางออกไปไกลกว่านี้ต้องกลับช้าแน่ ตัวนางเองน่ะไม่กลัวหรอก แต่นางไม่สบายใจที่จะทิ้งชุนเถาไว้ที่บ้านคนเดียวเนี่ยสิ
ตอนนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสถานที่ที่พวกนางอาศัยอยู่ ว่ามีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับภูตผีเลย เพราะนอกจากเรื่องภูตผีแล้วที่ตรงนั้นยังอยู่ในพื้นที่เปลี่ยว ซึ่งนางไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อคิดวิธีหาเงินได้แล้ว ทำให้อารมณ์ดีไม่น้อย นางจึงมาอยู่ริมแม่น้ำ
ลำธารเล็ก ๆ สายนี้ไหลลงมาจากเขา ทั้งยังเป็นลำธารที่ใสทีเดียว
จางซิ่วเอ๋อนั่งปอกเปลือกกุ้ยฮวยอยู่ริมน้ำ ก่อนจะล้างฝุ่นบนนั้นออก แล้ววางตากไว้บนหินริมลำธาร
เวลานั้นเอง จางซิ่วเอ๋อเห็นเหมือนมีแสงสีเงินแว้บผ่านไปในลำธาร ดวงตานางเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ถ้าดูไม่ผิดนั่นปลาใช่ไหม?
จางซิ่วเอ๋อตื้นเต้นนิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าในลำธารนี้มีปลาด้วย แต่ดูแล้วปลานั่นตัวไม่เล็กเลย
นางถอดชุดคลุมด้านนอกออก และเดินลงไปจับปลาในน้ำ
แต่วิธีของจางซิ่วเอ๋อนั้นจะเรียกว่าโง่อย่างมากก็ย่อมได้ นางวุ่นวายอยู่ในน้ำตั้งนานเพิ่งจับปลาขนาดเท่าฝ่ามือได้ 2 ตัว ถือว่าประสิทธิภาพต่ำทีเดียว
แต่ที่นี่ไม่ใช่หมู่บ้านประมง ใครจะเสียแรงไปทำแหจับปลากัน
เดี๋ยวก่อนนะ…
สถานการณ์ตอนนี้แหจับปลาคงจะเกินเอื้อมไป แล้วแหครอบล่ะ?
พอคิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาจางซิ่วเอ๋อก็เป็นประกายอีกครั้ง ใช่แล้ว นางถักแหครอบได้ เมื่อครู่นี่ช่างโง่จริง ๆ ที่คิดวิธีนี้ไม่ได้
บางทีคนในหมู่บ้านนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องถักแหครอบอย่างไร แต่นางทำเป็นนี่ เมื่อก่อนตอนไปเที่ยวเคยเห็นคนอื่นถักแหครอบในหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ยูนนาน แถมซื้อแบบขนาดเล็กมาเป็นของแต่งบ้านได้ด้วย
นางไม่เคยลองทำเอง แต่ก็ถักตามที่จำความได้ อย่างไรซะก็น่าจะทำได้โดยไม่เพี้ยนมากนักหรอก
พอคิดได้ดังนั้นจางซิ่วเอ๋อก็ขึ้นจากน้ำ เสื้อผ้าบนตัวเปียกชุ่มไปหมด
แต่เสื้อที่นางใส่เป็นผ้าหยาบทุกชิ้น ต่อให้เปียกและเสื้อผ้าแนบกับตัว มันก็ไม่เกิดเหตุการณ์เห็นเนื้อหนังลาง ๆ หรอก ยิ่งไม่เผยสัดส่วนอ้อนแอ้นให้เห็นอย่างเด็ดขาดเลย
เพราะอย่างนางน่ะเหรอ ตอนนี้เหมือนต้นอ่อนถั่วงอก บาง ๆ ผอม ๆ ตั้งแต่หัวจรดเท้าเสียมากกว่า
จางซิ่วเอ๋อสะบัดน้ำ และเก็บของตัวเองเข้าตะกร้า ตะกร้านี่เป็นของซานหยาเสียด้วย เดี๋ยวตอนซานหยากลับตระกูลจางต้องเอาไปคืนนาง
ถ้าแม่เฒ่าจางรู้ว่าตะกร้าหาย ซานหยาซวยแน่
พอกลับมา จางซิ่วเอ๋อก็ช่วยตัดหญ้าหมูให้ซานหยาอยู่พักหนึ่ง พอมีจางซิ่วเอ๋อช่วยแล้วงานของซานหยาก็เสร็จอย่างรวดเร็ว ทั้งสองลงเขาด้วยกัน ซึ่งตอนลงเขาก็ไปเจอกับต้นกระวานเข้า นี่ก็ของดีเช่นกัน จางซิ่วเอ๋อจึงเด็ดใบกระวานมาไม่น้อย เพราะนี่ก็คือใบหอมที่ยุคปัจจุบันชอบใช้กัน
ถึงแม้นางจะผสมเครื่องเทศแบบยุคปัจจุบันได้ไม่ครบ แต่เอาที่ไม่ต่างกันมากก็พอได้อยู่
จางซิ่วเอ๋อเพิ่งจะเก็บเอาใบต่าง ๆ ที่จัดมาเรียบร้อยใส่ในตะกร้า แล้วเอาให้ซานหยาแบก ส่วนตัวนางเองแบกหญ้าหมูหนัก ๆ ที่เอาเชือกมัดไว้
เห็น ๆ อยู่ว่าจะถึงตีนเขาแล้ว แต่ก็ดันบังเอิญเจอเข้ากับคนบางคนเข้าอย่างจังเสียได้
————————————–