บทที่ 27 สวี่หวินซาน

คนตรงหน้าเป็นหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่ง

ชายหนุ่มอายุราว ๆ 17 ปี ส่วนหญิงสาวดูอ่อนกว่าหน่อย ซึ่งดูแล้วอายุน่าจะไล่เลี่ยกับจางซิ่วเอ๋อ

ชายหนุ่มมีคันธนูอยู่ที่หลัง ส่วนหญิงสาวแบกตะกร้าไผ่สานไว้

ชายหนุ่มตรงหน้านั้นมีผิวคล้ำ หน้าตาไปวัดไปวาได้ เมื่อตอนที่เขากำลังยิ้มก็ให้ความรู้สึกสดใสและดูเป็นคนขยันขันแข็ง

จางซิ่วเอ๋อเห็นสองคนนี้ แต่กลับนึกไม่ออกว่าทั้งสองเป็นใคร ดูท่าแล้วในความทรงจำของจางซิ่วเอ๋อ ทั้งสองคงเป็นคนไม่สำคัญอะไรต่อนางเท่าใดนัก

แต่จางซิ่วเอ๋อรู้สึกว่าสองคนนี้ต้องรู้จักตัวเองแน่ ๆ จึงยิ้มให้เป็นการทักทาย

วินาทีที่ชายหนุ่มเห็นจางซิ่วเอ๋อ ดวงตาเขาเป็นประกายเล็กน้อย และมีท่าทางดีใจ

ส่วนหญิงสาวคนนั้นเบ้ปากเหมือนไม่พอใจ ส่งสายตารังเกียจให้จางซิ่วเอ๋อ ซึ่งแสดงออกว่าเกลียดอย่างชัดเจน

จางซานหยาร้องเรียกด้วยน้ำเสียงใส ๆ ของเด็ก “พี่สวี่”

จากนั้นจางซานหยาก็ชะงักไปครู่นึงก่อนจะเอ่ยอีกครั้ง “พี่หลีฮวา”

ดูออกว่าจางซานหยาไม่ค่อยชอบหญิงสาวที่ชื่อหลีฮวาเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าซานหยาจะยังเด็กแต่ก็เป็นเด็กฉลาดและทักทายได้อย่างมีมารยาท

จางซิ่วเอ๋อก็เรียกตามจางซานหยา “พี่สวี่ หลีฮวา พวกเจ้าก็จะขึ้นเขาเหมือนกันเหรอ?”

นางไม่ได้เรียกหล่อนว่าพี่หลีฮวา เพราะทั้งสองดูแล้วอายุพอ ๆ กัน แต่นี่ถ้าเรียกผิดก็กระอักกระอ่วนอยู่ไม่น้อย

ชายหนุ่มแซ่สวี่บอกยิ้ม ๆ “ใช่แล้ว ข้าจะขึ้นมาวางกับดักบนเขาน่ะ ดูว่าพอจะจับสัตว์ป่าไปทำอาหารได้ไหม”

พูดมาถึงตรงนี้ชายหนุ่มแซ่สวี่ก็พูดเสริมต่อ “หลีฮวาบอกจะขึ้นเขามาหาสมุนไพร ก็เลยมากับข้าด้วยน่ะ”

จางซิ่วเอ๋อฟังมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกแปลก ๆ อย่างกับชายหนุ่มแซ่สวี่นี่จะอธิบายให้ตัวเองฟังว่าทำไมหลีฮวาถึงอยู่กับเขา ทำให้จางซิ่วเอ๋อเริ่มเก้ ๆ กัง ๆ ขึ้นมา

จะอธิบายเรื่องนี้กับนางทำไม?

จางซิ่วเอ๋อข่มความสงสัยในใจไว้ บอกตัวเองว่าคิดมากเกินไป ในความทรงจำที่จางซิ่วเอ๋อเหลือไว้ไม่มีชายหนุ่มแซ่สวี่นี่เลย บ่งบอกได้ว่าคน ๆ นี้เป็นคนไม่สำคัญ

จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “งั้นพวกเจ้ารีบไปเถอะ ข้ากับซานหยาจะกลับแล้ว”

จางซิ่วเอ๋อพูดจบก็จะเดินลงเขาต่อ แต่จู่ ๆ ชายหนุ่มแซ่สวี่ก็เรียกจางซิ่วเอ๋อไว้ “ข้าได้ข่าวว่าเจ้าย้ายออกจากตระกูลจางแล้ว ตอนนี้ไปอยู่ที่บ้านผีสิงเหรอ?”

จางซิ่วเอ๋อพยักหน้า นี่ก็ไม่ใช่ความลับอะไร คนทั้งหมู่บ้านน่าจะรู้หมดว่าตัวเองย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านผีสิง

ชายหนุ่มแซ่สวี่มีแววตาปวดใจ เขาอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง

หลีฮวาอีกด้านก็พูดขึ้นก่อน “พี่ซิ่วเอ๋อ พี่อยู่ที่นั่นก็ดีนะ อย่างไรซะพี่ก็แต่งงานแล้ว ถ้าอยู่ในหมู่บ้านต่อด้วยสถานะแม่ม่าย ไม่รู้ว่าคนอื่นจะเอาไปพูดต่อน่าเกลียดขนาดไหน”

จางซิ่วเอ๋อมองหลีฮวาด้วยสายตาเย็น ๆ

ถ้าแม่นางคนนี้ไม่ได้เป็นคนโง่จริงที่ไม่รู้จักพูดจา งั้นที่พูดมานี่ก็ตั้งใจหาเรื่องชัด ๆ

โชคดีที่ตัวเองไม่ได้จิตใจเปราะบางเหมือนเจ้าของร่าง ถ้าเจ้าของร่างยังอยู่ ได้ยินคำพูดแบบนี้อาจจะไปฆ่าตัวตายอีกรอบก็ได้

ชายหนุ่มแซ่สวี่ขมวดคิ้ว และตำหนิเสียงเบา “หลีฮวา เจ้าอย่าพูดเหลวไหล”

หลีฮวาเชิดหน้ากลม ๆ ของตัวเองอย่างไม่พอใจ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่ยอม “พี่ ข้าพูดไปก็เพราะหวังดีกับพี่ซิ่วเอ๋อนะ”

จางซิ่วเอ๋อผงะกับสรรพนามเรียกขาน นางนึกว่าหนุ่มสาวคู่นี้เป็นคนรักกัน ที่ไหนได้เป็นพี่น้องกันหรอกหรือ

แต่ก็จริงแหละ ในยุคโบราณคนหนุ่มสาววัยรุ่นที่ยังไม่แต่งงานอยู่ ๆ จะมาเดินด้วยกันไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องขึ้นเขาด้วยกันเลย

ต่อให้หมั้นกันแล้ว ขึ้นเขากันสองคนแบบนี้ก็ต้องโดนนินทา

แต่ถ้าเป็นพี่น้อง ก็ไม่ต้องถือขนาดนั้น

จางซิ่วเอ๋อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกข้าไปก่อนนะ”

ถึงแม้นางจะสัมผัสความเป็นศัตรูจากหลีฮวาได้ แต่นางไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดกับหลีฮวา อย่างน้อยก็ไม่อยากทะเลาะกับคนอื่นด้วยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ทั้งยังไร้สาระ

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อยังไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ของนางกับหลีฮวาเป็นอย่างไร

คงไม่มีใครเกลียดนางและโจมตีนางโดยไม่มีเหตุผลหรอก ไม่แน่อาจจะเคยโกรธแค้นกับเจ้าของร่างมาก่อน แต่จางซิ่วเอ๋อนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าสองคนนี้มีความโกรธแค้นอะไรกัน

ถึงอย่างไรเจ้าของร่างก็มีนิสัยอ่อนแอขี้กลัว ไม่น่าใช่คนที่จะไปหาเรื่องคนอื่น

ชั่วพริบตาที่จางซิ่วเอ๋อหันหลัง นางก็สัมผัสได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นมองตัวเองอยู่ตลอด จนกระทั่งนางเดินมาไกลแล้ว ชายหนุ่มคนนั้นถึงได้เลิกมอง

จางซิ่วเอ๋อสัมผัสได้ แต่ไม่ได้หันกลับไป แต่เอ่ยถามเสียงเบา “ซานหยา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับพี่สวี่ดีมากเลยเหรอ?”

“พี่สวี่เหรอ เขาดีกับพวกเราสามพี่น้องนะ แต่สำหรับพี่รองกับข้าที่เขาดีกับเราก็เป็นเพราะเห็นแก่พี่ใหญ่….” เด็กมักพูดความจริงโดยไม่คิดมาก จางซิ่วเอ๋อแค่ถามนิดเดียว จางซานหยาก็เล่าเรื่องที่ตัวเองรู้ออกมาหมดเลย

จางซานหยาเชื่อใจจางซิ่วเอ๋อมาก เวลาอยู่กับจางซิ่วเอ๋อนางไม่มีคิดเล็กคิดน้อย และไม่ระแวงอะไรเลย แต่นี่ถ้าแม่เฒ่าจางถาม รับรองว่าซานหยาไม่พูดอะไรทั้งนั้น

พอจางซิ่วเอ๋อได้ฟังที่จางซานหยาพูดก็รู้สึกหัวโตขึ้นมา

นี่เห็นได้ชัดเลยว่ามีอะไรในกอไผ่ ที่ชายหนุ่มคนนั้นดีกับน้องสาวทั้งสองของนาง…นี่ล่ะมั้งที่เขาว่ารักใครก็รักสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาด้วย

หรือตัวเองไม่ได้คิดมากไปจริง ๆ ชายหนุ่มคนนั้นชอบนางจริง ๆ งั้นเหรอ? บ้าน่า ไม่ใช่หรอก เขาชอบจางซิ่วเอ๋อคนเก่าต่างหากเล่า

จางซิ่วเอ๋อถามอีก “จริงสิ พี่สวี่ชื่ออะไรนะ จู่ ๆ ข้าก็นึกไม่ออก…”

จางซานหยามองจางซิ่วเอ๋ออย่างประหลาดใจ “พี่ พี่เป็นอะไรไป พี่สวี่ชื่อสวี่หวินซานไง พี่จำไม่ได้เหรอ?”

จางซิ่วเอ๋อมองซานหยาและเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าจำได้ แต่อาจจะเป็นเพราะตากแดดบนเขานานเกินไป เลยมึนหัวนิดหน่อยน่ะ พอเจ้าเตือนข้าก็นึกออก”

พอได้ฟังคำอธิบายของจางซิ่วเอ๋อ จางซานหยาก็คลายความสงสัยในใจ

เมื่อก่อนตอนนางขึ้นเขาทำงานโดยที่กินไม่อิ่ม บางครั้งก็รู้สึกวิงเวียน จำอะไรไม่ได้เหมือนกัน พี่ใหญ่ก็คงเป็นแบบนี้แหละ

ช่วงนี้พี่ใหญ่กินดีก็จริง แต่แผลบนตัวยังไม่หายดี จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่แปลก

ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อไม่กล้าถามเรื่องสวี่หวินซานต่อแล้ว

นางเปลี่ยนเรื่อง “เหมือนหลีฮวาจะไม่ชอบข้าขึ้นเรื่อย ๆ เลยแหะ”

คำพูดนี้ของจางซิ่วเอ๋อชาญฉลาดมาก ถ้านางบอกจางซานหยาว่าหลีฮวาไม่ชอบนาง บางทีจางซิ่วเอ๋ออาจจะเคยคุยเรื่องนี้ก้บจางซานหยาแล้ว แต่ถ้าพูดว่าขึ้นเรื่อย ๆ …ต่อให้เมื่อก่อนจางซิ่วเอ๋อไม่เคยพูด พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดปกติอะไร

จางซานหยาได้ยินเข้าก็ย่นหน้าเล็ก ๆ และแค่นเสียงพลางเอ่ย “ก็เพราะพี่สวี่น่ะสิ พี่ไม่ต้องไปสนใจหลีฮวาหรอก นางอิจฉาที่พี่สวี่ดีกับพี่ ไม่ว่าหลังจากนี้นางจะพูดเลวร้ายขนาดไหน พวกเราก็ทำเป็นไม่ได้ยินซะ”