กู้ชูหลานจ้องมองนาง

ยังไม่ทันแต่งงานก็เอาแต่พูดอยู่นั่นว่าเป็นพระชายาหาน

ใครไม่รู้บ้างว่าท่านเทพแห่งสงครามโหดเหี้ยมอำมหิตเพียงไหน หากแต่งงานกันจริงๆ นางจะมีชีวิตยืนยาวแค่ไหนก็ยังไม่รู้

หลิ่วเย่ว์และคนอื่นๆ ร้อนใจจนหัวปั่น “พี่ใหญ่ มันเป็นการพนันแขนขาท่านเชียวนะ เราไม่พนันมิได้หรือ”

“เงินตั้งสองแสนตำลึง เหตุใดจึงไม่ลองพนันดูสักตั้งล่ะ”

“นางเป็นเพียงบุตรีของอนุภรรยา จะเอาเงินสองแสนตำลึงมาจากที่ไหน ถ้าชนะ ท่านก็ไม่ได้เงิน ถ้าแพ้ท่านจะต้องถูกตัดแขนตัดขาทิ้งเลยนะ”

กู้ชูหน่วนกระตุกมุมปากยิ้มอย่างเบิกบาน “น้องห้า ที่หลิ่วเย่ว์พูดก็ถูก ถ้าเจ้าไม่มีเงินสองแสนตำลึงล่ะ งั้น… ถ้าข้าชนะแล้วไม่ได้เงินมาจะทำอย่างไร ข้าว่าเราลืมๆ การพนันคราวนี้ไปเถอะ”

เมื่อครู่นี้กู้ชูหลานยังสงสัยอยู่ว่านี่เป็นเรื่องโกหกหลอกลวงใช่หรือไม่ ตอนนี้พอเห็นว่านางล่าถอยจึงคิดว่านางกลัวความพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะมั่นใจขึ้นเล็กน้อย

นางหยิบตราประทับออกมาจากแขนเสื้ออย่างไม่เต็มใจนักและวางลงบนโต๊ะ “นี่คือสิ่งที่ท่านตามอบไว้ให้ข้า ด้วยตราประทับนี้ ข้าจึงได้ครอบครองทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มีในนามของท่านตา เท่านี้ก็มูลค่ามากถึงสองแสนตำลึงแล้วถูกไหม”

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

นี่คือประโยคที่นางเฝ้ารอ

“ตกลง เช่นนั้นก็มาร่างหลักฐานกัน”

กู้ชูหน่วนและกู้ชูหลานร่างสัญญาด้วยกันเสร็จสรรพโดยที่ทุกคนที่เหลือทำตัวไม่ถูก

“พระเจ้า นี่มันอะไรกัน… กู้ชูหลานไม่ใช่บุตรีของอนุภรรยาหรอกหรือ เหตุใดนางจึงมีเงินมากมายขนาดนั้น”

“ดูเหมือนเมื่อก่อนท่านตาของนางจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองหมี่ เขามีลูกสาวและลูกชายสองคน แต่ลูกชายตายไปนานแล้ว ถ้าไม่มอบทรัพย์สมบัติให้ลูกสาวกับหลานสาว เขาจะมอบให้ใครได้อีก”

“เหตุใดเราจึงไม่มีท่านตาดีๆ อย่างนั้นบ้างนะ”

“นี่ เราเป็นถึงบุตรคนโตของภรรยาเอก กับบุตรีของอนุภรรยาหนึ่งคนยังเทียบไม่ได้เลยหรือนี่”

กู้ชูหลานยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ “รอให้ข้าตัดแขนตัดขาเจ้าฝังไปพร้อมกับศพของซย่าอวี่เถอะ”

เซี่ยวอวี่เซวียนเยื้องย่างมาถึงอย่างเชื่องช้าไร้ชีวิตชีวา ดูเหมือนเขาจะซึมเซาและไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนเคย

หลิ่วเย่ว์และคนอื่นๆ มองเซี่ยวอวี่เซวียน ต่างคนต่างส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้เขาฟัง

มุมปากของเซี่ยวอวี่เซวียนกระตุก เขาโกรธจนเส้นเลือดหัวใจแทบจะอุดตัน

กู้ชูหน่วนวอนหาที่ตายด้วยการขยับเข้ามาใกล้แล้วยื่นมือออกมา “เสี่ยวเซวียนเซวียน วันนี้เจ้าเอาเงินมาเท่าไหร่”

“กู้ชูหน่วน ถ้าเจ้าจะรนหาที่ตายก็ช่วยไปตายไกลๆ หน่อยได้หรือไม่” เซี่ยวอวี่เซวียนคำรามออกมา ทั่วทั้งสำนักศึกษาวังหลวงที่กว้างขวางต่างได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธของเขา

กู้ชูหน่วนเกาหูตัวเอง

ผู้ชายที่นี่เป็นอะไรกัน ชอบทำเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาหูของนางอื้ออึ้งไปหมด

“กินระเบิดมาแต่เช้าเลยรึยังไง”

“กู้ชูหน่วน เจ้าไม่มีความสุขงั้นหรือถ้าไม่ได้รนหาที่ตาย”

“ข้าก็แค่ทำเพื่อหาเงินให้พวกเจ้าเท่านั้น”

“ยกเลิกไปเลย ใครจะไปอยากได้เศษเงินของเจ้า”

“แล้วเจ้าเอาเงินมาเท่าไร”

เซี่ยวอวี่เซวียนตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่มี เท่าไรก็ไม่มีทั้งนั้น”

“เป็นอะไรไป โกรธอะไรขนาดนั้น ใครทำให้เจ้าโกรธงั้นหรือ”

“เจ้ายังจะมีหน้ามาพูดอีก เจ้าเอาเงินของข้าไปเดิมพันจนหมด ทั้งยังเอาจี้หยกประจำตระกูลไปด้วย ท่านพ่อเกือบจะตัดข้าทิ้งเหมือนหมูเหมือนหมา”

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เซี่ยวอวี่เซวียนก็รุ่มร้อนไปด้วยความโกรธ

ถ้าไม่ใช่เพราะวันนี้ที่สำนักศึกษามีการคัดเลือกคนที่จะเข้ารอบชิงชนะเลิศสามอันดับแรกของรัฐ วันนี้เขาคงจะมาแน่ๆ

ที่น่าโมโหยิ่งกว่าก็คือท่านอาจารย์สวีไปบอกเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่สำนักศึกษาเมื่อวานนี้ให้พ่อของเขาฟัง ทำให้เขาถูกดุด่ายกใหญ่ ทั้งยังบังคับไม่ให้เขาไปคลุกคลีกับกู้ชูหน่วนอีก

เมื่อมองแผ่นหลังที่จากไปของเซี่ยวอวี่เซวียน รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนก็ค่อยๆ คลายลง มีประกายแสงอันเยียบเย็นประหนึ่งคมมีดฉายออกมา

นางโบกมือเรียกหลิ่วเย่ว์มากระซิบว่า “ไปสืบมาว่าใครแอบไปรายงานท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยว”

“ได้เลย ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”

ในสำนักศึกษา กู้ชูหน่วนนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองและงีบหลับทันที