“ท่านพ่อ ข้าขอถามท่าน ใครคือนายหญิงที่แท้จริงแห่งตระกูลฉิน?”
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้นของฉินอวี้โม่
เมื่อไหร่กันที่บุตรสาวคนเล็กเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้ บุตรสาวที่เขาคิดเสมอว่าเป็นเพียงขยะไร้ค่าทว่าวันนี้กลับสามารถมายืนกล่าววาจาต่อหน้าเขาอย่างฉะฉาน ใบหน้าของนางสงบนิ่ง ดวงตาของนางแน่วแน่ อีกทั้งน้ำเสียงยังดุดันไม่กลัวเกรง
“แน่นอนว่าคือแม่เจ้า”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคือนายหญิงแห่งตระกูลฉินและเป็นฮูหยินของเขาอย่างถูกต้อง นางคือภรรยาคนแรก เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกัน คำนับบิดามารดา ตบแต่งเข้ามาในตระกูลตามธรรมเนียม อย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ฉินเทียนไม่สามารถปฏิเสธได้
“เช่นนั้น ข้าขอถามอีก ระหว่างข้ากับฉินฉืออวี้ใครกันที่เป็นบุตรในสมรสของท่าน ผู้ใดที่เป็น ‘คุณหนูที่แท้จริงแห่งตระกูลฉิน’ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของบุรุษผู้ให้กำเนิด
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้า!”
แม้ว่าเขาจะลังเลที่จะยอมรับ แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
“ในเมื่อข้าเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่และเป็นบุตรตามกฎหมายอย่างถูกต้องของผู้นำตระกูล ฉะนั้นข้าก็คือผู้เป็น นายคนหนึ่งแห่งตระกูลนี้ และหากข้าจะสั่งสอนฉินฉืออวี้ลูกอนุตอนนางทำผิด หรือการที่ท่านแม่ของข้าจะสั่งสอนอนุให้อยู่ในโอวาทมันจะมีความผิดได้อย่างไร ?!”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาด้วยดวงตาแข็งกร้าว น้ำที่เคยเสียงหวานใสส่งพลังน่าเกรงขาม
เมื่อฉินเทียนออกปากยอมรับว่าฉินอวี้โม่คือบุตรีในสมรสของตนอย่างถูกต้อง ผู้นำตระกูลฉินจึงสูญเสียเหตุผลทั้งหมดที่จะโต้แย้งเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ตามธรรมเนียมและหลักปฏิบัติดั้งเดิมแล้ว ภรรยาหลวงสั่งสอนภรรยาน้อยนับว่าไม่ผิด และภรรยาคนอื่นๆ รวมทั้งอนุทุกคนจะต้องเคารพเชื่อฟังภรรยาเอกของสามีผู้ซึ่งเป็นนายหญิงของบ้าน
ฉินเทียนน้ำท่วมปากเพราะจำนนต่อวาจาของฉินอวี้โม่ นายใหญ่แห่งตระกูลได้แต่มองบุตรสาวที่เขาคิดว่าไร้ค่าอย่างโกรธเคืองพร้อมกับแค่นเสียง
“ฉลาดพูดนี่!”
“หึ ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้น” ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงตอบกลับเย็นชา นางไม่ขอเกรงใจคนผู้นี้อีกต่อไปแล้ว
“บิดาที่รัก ข้าขอพูดอีกหน่อยก็แล้วกัน หลายปีมานี้ ด้วยสถานะของบิดาและสามี ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้ว่าฉินฉืออวี้และฮูหยินรองรังแกพวกเรา!”
แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนหวานสงบนิ่งแต่ถ้อยคำนั้นถากถางชัดเจน อีกทั้งสายตาที่นางใช้มองฉินเทียนก็เต็มไปด้วยความชิงชังและเหยียดหยาม….สำหรับเธอแล้ว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าถือว่าน่ารังเกียจอย่างแท้จริง
“หุบปากซะ นังลูกชั่ว!”
ยิ่งฟังคำของฉินอวี้โม่ ฉินเทียนก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและตะโกนด่าทอบุตรสาวดังลั่นลานกว้าง
“เจ้าเกิดเป็นทายาทของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองนี้แต่กลับเป็นขยะไร้ค่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ทำให้ตระกูลฉินต้องขายหน้า! ข้าอุตส่าห์ละเว้นไม่ไล่เจ้าออกจากตระกูลทั้งยังเมตตาให้ที่อยู่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ข้าถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่สำนึก บังอาจทำนิสัยเลวทรามต่ำช้า กล้าลงไม้ลงมือกับฮูหยินรองและทำร้ายพี่สาวตัวเอง นังเด็กจองหอง! เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้า!?”
“เพ่ย! ฉินเทียน ยังกล้าพูดว่าได้ทำหน้าที่ของพ่ออีกนะ เมื่อไหร่กันที่ท่านเห็นข้าเป็นลูก? ที่ข้าไม่ออกจากตระกูลไปก็เพราะกลัวว่าท่านจะเสียหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะสติปัญญาของข้าที่ดิ้นรนมาได้จนทุกวันนี้ หลายปีมานี้ข้าคงตายไปเป็นร้อยครั้งแล้ว ข้าและมารดาถูกรังแกมากแค่ไหนก็ยังสู้อดทนอยู่ที่นี่ ตอนนี้ท่านต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำไป!”
ฉินอวี้โม่แผดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย นางยังคงมองฉินเทียนด้วยสายตาดูแคลนและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง….คนคนนี้คงคิดซินะว่าเธอคือฉินอวี้โม่คนเดิม ถ้าคิดว่าแค่พูดไม่กี่คำก็จะทำให้เธอซาบซึ้งได้ล่ะก็ ฝันไปเถอะ!
— เพี๊ยะ! —
ทันทีที่สิ้นวาจาตอบโต้ของฉินอวี้โม่ เสียงฝ่ามือกระทบหน้าก็ดังขึ้น คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินรู้สึกถึงความชาซ่านบนใบหน้า
“ฉินเทียน ท่านกำลังทำอะไร!?”
เมื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองเห็นฉินเทียนตบตีบุตรสาวของนาง แววแห่งความตกตะลึงในตอนที่เห็นฉินอวี้โม่เถียงผู้เป็นบิดาก็หายไปหมดสิ้นแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นขึ้นมาแทน
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าสอนลูกตัวดีของเจ้าอย่างไร ? เหตุใดถึงไม่ให้ความเคารพบิดา ทั้งยังมีกิริยาชั่วช้าเอ่ยวาจาสามหาวกับผู้อาวุโส มารดาสั่งสอนธิดาไม่ดี เจ้าเองก็มีความผิดด้วย!”
ฉินเทียนจ้องอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยสายตาดุดัน ความโกรธเคืองในดวงตาของเขาไม่ต่างจากทางฝั่งฮูหยินใหญ่นัก!
“ท่านแม่ ท่านอยากจะออกจากตระกูลฉินแห่งนี้ไปพร้อมกับข้าหรือไม่?”
ฉินอวี้โม่จับมือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ได้สิ แน่นอน มีเพียงลูกสาวอย่างเจ้าเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างแม่ แม่จะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าเห็นพ้องกับความคิดของบุตรสาว
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนโยนให้มารดาอย่างซาบซึ้ง นางสัมผัสได้ถึงความรักที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีต่อนาง*…ความรักของแม่…รักแท้ที่มั่นคงและมาจากก้นบิ้งของจิตใจอย่างแท้จริง*
ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองฉินเทียนอีกครั้ง ครั้งนี้แววตาของนางเด็ดเดี่ยวจริงจังมากกว่าครั้งไหนๆ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินจ้องมองบุรุษผู้ให้กำเนิดนิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบ
“ฉินเทียน ท่านกล่าวว่า ท่านถือว่าได้ทำหน้าที่พ่อแล้วด้วยการชุบเลี้ยงให้ที่พักอาศัย ข้าเองก็จะถือว่าฝ่ามือตบเมื่อครู่ของท่านเป็นการทดแทนบุญคุณทั้งหมดที่ท่านมีต่อข้า! ข้าและมารดาจะไปจากที่นี่ ต่อไปนี้ข้าไม่ติดค้างอะไรท่านอีก นับตั้งแต่ตรงนี้เวลานี้ท่านไม่ใช่บิดาของข้าอีกแล้วและข้าก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินของท่านอีก!”
….ตอนนี้เธอถือว่าเธอใช้หนี้แทนฉินอวี้โม่คนเก่าหมดแล้ว หากว่าอีกฝ่ายยังกล้าตบหน้าเธออีกเธอก็จะสวนกลับไปสักป้าบหนึ่งอย่างแน่นอน…
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่บางสิ่งบางอย่างขณะที่ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจากลับให้ความรู้สึกที่เยียบเย็นถึงขีดสุด จนถึงขั้นทำให้ฉินเทียนผู้ผ่านโลกมามากยังต้องผงะไปด้วยความหวาดหวั่น
“ฉินอวี้โม่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ที่ยืนอยู่หลังฉินเทียนกล่าวขึ้นมา ทว่าแม้จะพูดเช่นนั้นออกไปแต่ในใจของนางกลับกำลังยิ้มระรื่นเบิกบาน ‘ขอเพียงฉินอวี้โม่ออกจากตระกูลนี้และพาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปด้วย ตำแหน่งฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินก็จะต้องว่างลง เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่านางจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นฮูหยินใหญ่ เป็นนายหญิงแห่งตระกูลนี้แทน และบุตรสาวของนางก็จะได้เป็นบุตรฮูหยินใหญ่ผู้มีหน้ามีตาทัดเทียมคุณหนูตระกูลอื่น’
สิ่งที่อยู่ในใจเยี่ยเสี่ยวตี๋ตื้นเขินเสียจนไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมดูออก ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างดูถูก “ฮูหยินรอง นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่หรือ?”
“เสี่ยวโร่ว ไปเก็บเสื้อผ้า ข้าจะพาเจ้าออกไปพร้อมกับมารดาวันนี้!”
สิ้นเสียงคำสั่งของคุณหนู เสี่ยวโร่วก็หันหลังแล้ววิ่งเข้าห้องไปทันที
“ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดจะทรยศต่อตระกูลฉินอย่างนั้นรึ?!”
อันที่จริงเมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ ฉินเทียนเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน เป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาเกลียดชังบุตรสาวคนเล็กและละเลยนางมาตลอด เพราะความอับอายเขาจึงพยายามทำตัวไม่รู้ไม่เห็นการมีตัวตนอยู่ของนาง ฉะนั้นการที่ฉินอวี้โม่ขอออกจากตระกูลฉินและตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดเช่นนี้ เขาก็ควรจะมีความสุข
อย่างไรก็ตาม การที่ฉินอวี้โม่ชิงเอ่ยปากตัดสายสัมพันธ์เสียก่อน มันทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก มันเสมือนว่าเขาถูกหมิ่นเกียรติและยั่วโทสะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของผู้นำตระกูลฉินชาวูบขึ้นมาทันที
“ฝันไปเถอะ เจ้าเกิดเป็นบุตรีตระกูลฉิน เจ้าก็ต้องตายเป็นผีตระกูลฉิน!”
ฉินเทียนตวาดเสียงแข็ง ก่อนจะกล่าวต่อ “พวกเจ้า! จับตัวนางไว้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนนาง ข้าจะทำให้นางได้รู้ซึ้งถึงกฎของตระกูลฉิน!”
สิ้นคำสั่งของนายใหญ่แห่งตระกูล บ่าวรับใช้หลายคนที่อยู่ด้านหลังฉินเทียนก็พุ่งออกไปเพื่อจับตัวฉินอวี้โม่
“สั่งสอนรึ? หึ ฉินเทียน เจ้าคนหน้าไม่อาย! พอข้าอยากจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกก็เพิ่งรู้ตัวรึว่ามีข้าเป็นบุตรสาว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้ากับมารดาก็จะขอตัดขาดจากตระกูลนี้ ทำใจเสียเถิด!”
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางกวาดสายตาเย็นชามองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ จิตสังหารอันเปี่ยมล้นแพร่กระจายออกจากร่างบางไม่หยุดยั้ง
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าในเมื่อฉินอวี้โม่มีความต้องการเช่นนี้ แล้วฮูหยินอวี๋เองก็เห็นชอบด้วย แล้วเหตุใดท่านต้องขัดขวางพวกนางเล่า?”
เมื่อเยี่ยเสี่ยวตี๋ได้ยินวาจาของฉินเทียน หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ คล้ายกับว่าตอนนี้สามีของนางทำท่าจะใจอ่อนเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกขึ้นมาแล้ว นางจึงรีบกล่าวทัดทานเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสทองที่จะได้ขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่ไป
“ท่านพี่ ฉินอวี้โม่ไม่มีความสำคัญอะไร นางเป็นเพียงขยะไร้ค่า ให้อยู่ที่นี่ไปก็มีแต่จะสร้างความเสื่อมเสียแก่ตระกูล ปล่อยพวกนางไปเถอะเจ้าค่ะ แค่ท่านสั่งคนออกไปป่าวประกาศว่าท่านเป็นผู้ไล่พวกนางออกจากตระกูลด้วยตัวเองเพราะพวกนางละเมิดกฎร้ายแรง เพียงเท่านี้ท่านก็จะไม่ต้องเสียหน้าทั้งยังสร้างความอับอายให้พวกนางได้ด้วย!”
เยี่ยเสี่ยวตี๋กระซิบข้างหูสามีด้วยวาจาที่อาบด้วยยาพิษ
‘ขอเพียงฉินอวี้โม่พาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปจากที่นี่ พวกนางก็จะไม่ได้รับการปกป้องอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนี้ก็ค่อยหานักฆ่ามือดีสักกลุ่ม จากนั้นก็….ฮิ ฮิ’
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ฟังคำพูดของภรรยารอง แต่เขาก็คิดว่ามันสมเหตุผลมิใช่น้อย
และเมื่อหันไปเห็นฉินอวี้โม่ที่มีใบหน้าสงบเรียบเฉยกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่ทอแววตาเย็นชาใส่ ฉินเทียนก็พยักหน้า
“หึ ในเมื่ออยากจะไป ข้าก็จะสงเคราะห์พวกเจ้า! อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเจ้ากับข้าตัดขาดกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าถูกไล่ออกจากตระกูลฉิน พวกเจ้าออกไปได้แล้ว แต่สิ่งของทั้งหมดของตระกูลฉินจะต้องอยู่ครบ!”
หลังจากประกาศประโยคไร้เยื่อใยนั้นแล้ว ฉินเทียนก็พาเยี่ยเสี่ยวตี๋เดินออกไปจากลานกว้าง
ฉินอวี้โม่ทำเพียงแค่ยิ้มเย้ยหยันมองตามหลังคนเหล่านั้น….นี่แหละคือสิ่งที่ เธอต้องการ