หลังจากเก็บของใช้จำเป็นไม่กี่ชิ้นฉินอวี้โม่พร้อมด้วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วพากันออกจากจวนตระกูลฉินโดยไม่มีเค้าลางของความโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์
ยามนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนดูบางตาอย่างชัดเจน
“คุณหนู พวกเราจะไปที่ไหนกันดีเจ้าคะ?”
เสี่ยวโร่วที่กำลังถือห่อสัมภาระเล็กๆ เอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวาย
“ไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างคืนกันก่อนเถอะ”
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี*แล้ว และมันสายเกินกว่าจะหาบ้านพักได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกนางในวันนี้คือหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างแรมไปก่อนสักหนึ่งคืน
(*ยามซวี หมายถึง เวลา 19.00-20.59)
หลังจากพบโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่มีห้องว่าง จัดแจงจ่ายค่าเช่า และเข้ามาในห้องพักเรียบร้อย สตรีทั้งสามก็นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ท่านแม่ โปรดอย่าตำหนิที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
แท้จริงแล้วเหตุผลหลักที่ทำให้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจออกจากตระกูลฉินก็คือ การที่กายเทพมายาของนางถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะการออกมาจากที่แห่งนั้นจะทำให้นางฝึกฝนบ่มเพาะร่างกายได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วคือคนสำคัญที่สุดของนางในดินแดนนี้ พวกนางทั้งสองนับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินอวี้โม่มี แน่นอนว่านางย่อมไม่ต้องการให้คนทั้งคู่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตระกูลฉินต่อไปในขณะที่นางออกมาอยู่ภายนอก
“ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร แม่จะขอสนับสนุนทุกอย่าง”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นลูบไล้มือบางของบุตรสาวอย่างแผ่วเบาเพื่อให้กำลังใจ
“คุณหนู ข้ารู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไป ท่านดูต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน! แต่รู้หรือไม่ว่าข้าชอบมันมาก!”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเทิดทูน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลฉินวันนี้นางได้เห็นด้วยสองตาของตัวเอง สาวใช้ตัวน้อยรู้สึกชื่นชมในตัวคุณหนูของนางยิ่งนัก
คุณหนูคนก่อน แม้ว่าจะเข้มแข็งแต่ก็ไม่เด็ดขาดถึงเพียงนี้ และก็ไม่ฉลาดหลักแหลมขนาดนี้ ที่สำคัญคุณหนูคนก่อนไม่ได้มีทักษะหรือพลังยุทธ์ที่สูงส่งเหมือนอย่างเช่นคุณหนูคนใหม่คนนี้ด้วย
“พูดมากไปแล้วเจ้าตัวดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างไร ข้าไม่ใช่คุณหนูของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ?!”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มสาวใช้ประจำกายเป็นการหยอกล้อ
ถึงอย่างไรเสี่ยวโร่วในวัยสิบสี่ย่างสิบห้าก็ถือว่ายังเด็กมากหากเทียบกับเธอที่มีอายุยี่สิบห้าปีสมัยยังอยู่ในศตวรรษที่ 21
“โธ่ ท่านก็เป็นคุณหนูของข้าเสมอนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วอุทธรณ์เสียงรั้น
“ท่านแม่ มีหลายเรื่องที่ข้าจะต้องอธิบายให้ท่านฟังแต่ข้าไม่สามารถพูดได้ในขณะนี้ สิ่งที่ข้าพูดได้ในตอนนี้มีแค่ว่า ขอท่านแม่จงเชื่อมั่น ลูกของท่านคนนี้ไม่ใช่ขยะที่จะให้ใครรังแกได้อีกต่อไปแล้ว”
เวลานี้เรื่องน่าหนักใจที่สุดที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายหรือพูดอย่างไรให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วทำใจยอมรับได้ก็คือ ความตายของคุณหนูสี่และการมาอยู่ที่นี่ของเธอ
“เอาะเถอะ แค่เจ้ากลายเป็นคนเข้มแข็งได้ แม่ก็มีความสุขมากแล้ว”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้า ไม่เอ่ยถามสิ่งใดมากความกับบุตรสาว
“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาจากตระกูลฉินเลย ข้าอยากทราบว่าตอนนี้พวกเรามีเงินอยู่เท่าไหร่หรือเจ้าคะ?”
ในตอนที่ออกจากตระกูลฉิน พวกนางไม่ได้นำสมบัติมีค่าติดตัวมาด้วยเลย อันที่จริงหลายปีมานี้สองแม่ลูกก็ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก วันๆ หนึ่งขอเพียงมีอาหารกินได้ครบทุกมื้อก็นับว่าดีมากแล้ว จะหวังให้ได้รับทรัพย์สมบัติของมีค่านั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดให้เอามาแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อถูกถามถึงเรื่องเงิน ใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วก็หม่นหมองลงในพริบตา
“นี่คือทั้งหมดที่เรามีตอนนี้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วนำถุงเงินโทรมๆ ออกมาเทลงบนโต๊ะ นางเขย่าอยู่นานกว่าจะมีเหรียญเงินเก่าๆ ร่วงหล่นลงมา
ภายในดินแดนนี้ สื่อที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนหลักๆ ก็คือ เหรียญเงิน เหรียญทองและตั๋วเงิน
เมื่อเห็นเหรียญเงินจำนวนน้อยนิดที่กระจายอยู่บนโต๊ะ ฉินอวี้โม่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ เพราะเหรียญเงินเพียงเท่านี้ใช้จ่ายค่าเช่าห้องของโรงเตี๊ยมที่พวกนางอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันด้วยซ้ำไป
“คุณหนู หลายปีมานี้ความเป็นอยู่ของพวกเราในตระกูลฉินย่ำแย่มาก และพวกเราก็แทบไม่มีเงินออมเลย นี่คือทั้งหมดที่เรามีแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วไม่มีทางเลือก ตลอดหลายปีมานี้ผู้ที่คุมการเงินของตระกูลก็คือเยี่ยเสี่ยวตี๋ ลำพังเพียงแค่จะจ่ายเงินมาแต่ละเดือนก็ขาดบ้างไม่ให้บ้าง แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่มีโอกาสจะเก็บเงินได้เลย
“ข้ายังมีเครื่องประดับอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้เราเอาไปจำนำคงจะพอได้เงินมาใช้”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนำเครื่องประดับเก่าๆ ที่นางเคยได้รับสมัยเพิ่งแต่งเข้าตระกูลฉินของตนออกมาและสั่งให้เสี่ยวโร่วนำมันไปที่โรงรับจำนำในวันพรุ่งนี้
“เช่นนั้น วันนี้ท่านแม่กับเสี่ยวโร่วก็พักกันก่อนเถิด ส่วนเรื่องเงินพรุ่งนี้ข้าจะลองหาวิธีแก้เอง”
หลังจากคิดใคร่ครวญเรื่องอนาคตอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ได้ข้อสรุปว่าเรื่องเงินถือเป็นปัญหาสำคัญและใหญ่ที่สุดสำหรับพวกนางที่ต้องจัดการให้ได้ในตอนนี้!
…….
วันรุ่งขึ้น หลังจากสั่งให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่ดูแลอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง
นางต้องการจะออกไปหาดูว่า พอจะมีวิธีดีๆ ในการหาเงินบ้างหรือไม่
เพื่อปิดบังตัวตน ฉินอวี้โม่จึงออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมผ้าคลุมหน้า นางไม่ต้องการให้ผู้ใดจดจำตนเองได้
ซึ่งในทันทีที่ออกมาด้านนอก อดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็ได้ยินผู้คนพูดถึงข่าวเรื่องที่นางและมารดาออกมาจากตระกูล
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่คุณหนูสี่กับฮูหยินใหญ่ตระกูลฉินถูกไล่ออกจากตระกูลเพราะทำผิดกฎร้ายแรงบ้างหรือไม่?”
“เจ้าโง่ ไปอยู่ที่ไหนมา ข่าวนี้แพร่ไปจนทั่วเมืองหลิงซีแล้ว มีใครบ้างที่ไม่รู้”
“พูดก็พูดเถอะ คุณหนูผู้นั้นน่าสงสารจริงๆ เดิมทีก็เป็นสตรีไร้ค่าอยู่แล้ว นี่ยังถูกขับไล่ออกจากตระกูลอีก ต่อไปนี้นางจะมีชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไร? ข้าได้ยินมาว่ามีหลายตระกูลที่ไม่ถูกกับตระกูลฉิน คิดหรือว่าคนพวกนั้นจะไม่ตามรังควานพวกนางแม่ลูก?”
“&@฿&=$%~+….”
เหล่าชาวเมืองต่างบอกเล่า ถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไปต่างๆ นานา ทว่าบนใบหน้าของคุณหนูสี่ผู้เป็นหัวข้อเรื่องกลับปรากฎเพียงรอยยิ้มเย็นเฉียบและสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อน
ฉินอวี้โม่รู้ดีว่ามีคำจำนวนมากที่ไม่ชอบนาง ซึ่งก็รวมถึงคุณหนูจากอีกสองตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลิงซี พวกนางต่างก็เป็นบุตรีของผู้นำตระกูล และมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉินอวี้โม่และฉินฉืออวี้ ทว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่งเท่ากับฉินฉืออวี้ และไม่มีรูปโฉมที่งดงามเหมือนฉินอวี้โม่ ทำให้พวกนางเกิดความริษยา แต่ในเมื่อพวกนางไม่สามารถรังแกฉินฉืออวี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า ผู้ที่ตกเป็นเป้าให้ถูกเล่นงานจึงกลายเป็นฉินอวี้โม่แทน
ทว่าฉินอวี้โม่ในตอนนี้ไม่กลัวแม้แต่น้อย หากผู้ใดกล้าท้าทายนาง นางก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าดอกไม้งามที่มีหนามแหลมคมเป็นเช่นไร
ขณะเดินไปตามท้องถนน ฉินอวี้โม่ก็เร่งคิดวิธีหาเงินอย่างร้อนใจ
ในตอนที่เดินผ่านตลาดในย่านที่มีแผงลอยตั้งเรียงรายเต็มถนน ฉินอวี้โม่ก็เหลือบไปเห็นผลึกกลมลูกเล็กๆ บนแผงลอยร้านหนึ่ง… ‘นี่สินะแก่นมายาของอสูรมายาในดินแดนนี้’
“น้องชาย แก่นมายาพวกนี้ขายยังไงหรือ?”
ฉินอวี้โม่เดินตรงไปยังแผงลอยเล็กๆ ที่มีพ่อค้าเป็นเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวโร่ว ก่อนจะชี้ไปที่แก่นมายาสีเขียวลูกหนึ่งพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงหวานหยด
“อันนั้นคือแก่นมายาระดับหนึ่ง ราคาหนึ่งเหรียญทองขอรับ”
เมื่อพ่อค้าหนุ่มน้อยเห็นว่าผู้เข้ามาถามเป็นหญิงสาวจึงรีบตอบด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“หนึ่งเหรียญทอง?”
*‘แค่แก่นมายาระดับหนึ่งก็สามารถเอามาขายได้ในราคาถึงหนึ่งเหรียญทองแล้วหรือ’*ฉินอวี้โม่คิดอย่างตกตะลึง
‘เช่นนั้นก็แสดงว่าถ้าหากเป็นแก่นมายาในระดับที่สูงกว่านี้ มูลค่าของมันก็จะต้องมากกว่านี้เป็นเท่าทวีแน่!’
คำตอบของพ่อค้าน้อยจุดประกายความคิดบางอย่างให้ฉินอวี้โม่… ‘นางสามารถออกไปล่าอสูรมายาและชิงเอาแก่นมายาของพวกมันมาได้ ด้วยวิธีนี้น่าจะได้ทั้งเงินและยังได้ทดสอบความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของตัวนางด้วย!’
หากพิจารณาจากความแข็งแกร่งของตัวนางในตอนนี้ การสังหารอสูรมายาระดับหนึ่งถึงระดับสองคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก….แผนกิจการล่าอสูรมายาเริ่มต้นขึ้น!
หลังจากบอกลาพ่อค้าหนุ่มน้อย ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจไปดู ‘สถานที่จริง’ และ *‘สินค้า’*สำหรับกิจการใหม่ของนางเพื่อเป็นการประเมินอีกครั้ง
ที่นี่คือดินแดนหวนหลิงที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับโลกของเธอในยุคโบราณ ซึ่งในยุคนั้นก็มีอาชีพและวิธีที่สามารถทำเงินได้อยู่มากมายหลายรูปแบบ แต่ที่น่าจะทำรายได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นอาชีพผู้หลอมโอสถ ช่างโลหะ ช่างหลอมอาวุธ หรืออะไรที่ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยา รวมถึงวิธีการสร้างอาวุธหรือแม้แต่ความรู้เกี่ยวกับโลหะอยู่เลย หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วนางจึงเปลี่ยนจุดหมาย เดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างของเมืองหลิงซีก่อน
ตัวเธอในชาติก่อนมีอาชีพเป็นนักฆ่า ทักษะที่เธอช่ำชองมากที่สุดก็คือทักษะการสังหารทุกรูปแบบและการปล้นสมบัติ
และสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นที่ที่มีความน่าจะเป็นสูงสุด ที่จะมีงานเกี่ยวกับด้านนี้ให้นางทำได้ และงานอย่างเช่นการเข้าร่วมภารกิจล่าอสูรมายาก็เป็นงานที่ทำเงินได้ไม่น้อยด้วย
ฉินอวี้โม่ตัดสินใจไปยังสมาคมทหารรับจ้างเพื่อดูว่าพอจะมีงานที่เหมาะสมตามที่นางต้องการให้เลือกทำบ้างหรือไม่ และขณะที่ปฏิบัติภารกิจนางก็จะได้สังหารอสูรมายาและเอาแก่นมายาของพวกมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อีกด้วย!…..อดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินเดินออกจากตลาด มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายด้วยรอยยิ้มสดใส และดวงตาแสนมุ่งมั่น!