รุ่งสาง เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูคลินิกออกมาสำรวจรอบๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เขารู้สึกว่ายามเช้าของเมืองช่างสดชื่นนัก
หลังจากยุคภัยพิบัติ ท้องฟ้าโดยส่วนใหญ่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา จางจิ่งหลิน อาจารย์ที่โรงเรียนบอกว่าช่วงยุคภัยพิบัตินั้นมวลอนุภาคฝุ่นขนาดใหญ่ระเบิดขึ้นไปบนท้องฟ้า นอกจากจะกันการสังเคราะห์แสงแล้ว ยังทำให้อากาศหนาวเย็นขึ้นมาก ก่อให้เกิดฝนกรดขึ้นบ่อยๆ
คลินิกของเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ตรงข้ามกับร้านขายของชำ พอเขาเปิดประตูออก มองเห็นหวังฟู่กุ้ยเดินออกมาพร้อมกับมันฝรั่งหวานอบสดใหม่ในมือสองหัว “เสี่ยวซู่ มาๆ กินมันฝรั่งหวานหน่อย!”
เริ่นเสี่ยวซู่อดถอนหายใจไม่ได้ ก่อนหน้านี้จะขอเข็มมาปักชุนเสื้อผ้าจากเหล่าหวังยังยากเลย ขนาดด้ายยังไม่ให้ นับประสาอะไรกับเรื่องเข็ม
แต่ตอนนี้เจ้าคนขี้เหนียวนี่กลับมาเสนอมันหวานถึงที่เสียฉิบ…
เริ่นเสี่ยวซู่มองหวังฟู่กุ้ยที่หน้าเปื้อนยิ้ม ในเมื่อมีคนให้ของ เขาก็ต้องให้ของตอบแทนกลับไปสินะ เริ่นเสี่ยวซู่เลียปาก “ฉันไม่มีของมากมายจะให้หรอกนะลุง แต่ยาชามีเยอะเชียว ให้สักเข็มแบบไม่คิดเงินเอาไหม”
“เธอจะเอาของแบบนั้นมาแทงฉันเหรอ” หวังฟู่กุ้ยสีหน้าอึมครึมถาม “บอกมา สองสามวันมานี้ไม่เห็นออกไปเก็บสมุนไพรเลย ดูเหมือนยังมียาเหลืออยู่สินะ?”
“ใช่ มียาแก้อักเสบ ยาชา ยาแก้ไอ ยาละลายเสมหะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม
“ฉันจะสื่อว่าเธอมียาดำเหลืออยู่ไหมต่างหากเฟ้ย” หวังฟู่กุ้ยพูดแล้วหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ลุงซื้อไปแล้วเหรอ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้ว
“นั่นมันไว้ให้คนสำคัญในป้อมปราการ อย่าแกล้งโง่ได้ไหม ถ้าฉันไม่ส่งยาเข้าไป คิดเหรอว่าจะได้ครอบครองคลินิกง่ายๆ แบบนี้น่ะ” หวังฟู่กุ้ยบ่น “บอกตามตรง ตอนแรกฉันกะจะส่งให้แค่เฉินไห่ตง ไม่รู้ว่าสุดท้ายไปตกอยู่ในมือเถ้าแก่หลัวได้ยังไง…”
หวังฟู่กุ้ยไม่เข้าใจจริงๆ ว่ายาดำมันไล่ขึ้นไปตามลำดับวิธีไหน อยากรู้จริงๆ ว่าพอตกไปถึงมือเถ้าแก่หลัวแล้วมันเหลือยาให้ใช้ได้กี่ครั้งกัน
“อะนี่” เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขวดยาทำจากกระเบื้องขึ้นมาสองขวด เมื่อวานเขาแลกยาดำมาขวดเพื่อรักษาไข้ของเหยียนลิ่วหยวน ตอนนี้ยังเหลือใช้ได้อีกสองครั้ง ก่อนหน้านี้เขาเลยจัดการแยกใส่ภาชนะ “หนึ่งพันสองร้อยนะลุง ห้ามขาดไปแม้แต่เศษเดียว”
“ฉันจะส่งยาพวกนี้เข้าไปในป้อมปราการ” หวังฟู่กุ้ยจ้องเขม็ง “คิดเงินฉันขนาดนี้รู้สึกละอายใจบ้างไหม”
“ไม่เอาก็ไม่เอา” เริ่นเสี่ยวซู่เตรียมจะชักยาดำกลับใส่กระเป๋า
สุดท้ายหวังฟู่กุ้ยก็ไม่ลีลาอะไรอีก รีบเข้าไปคว้าแขนเริ่นเสี่ยวซู่อย่างหนักแน่น และเอาเงินแลกยาออกมา จากนั้นหวังฟู่กุ้ยถึงกับกล่าวขอบคุณกับเขา!
[ได้รับคำขอบคุณจากหวังฟู่กุ้ย +1!]
เอ๋? เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าหวังฟู่กุ้ยเป็นคนที่น่าสนใจไม่น้อยเลย คำ ‘ขอบคุณ’ ของเขาสองครั้ง ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ได้มาสองเหรียญคำขอบคุณแล้ว!
แต่จะให้ยาไปแบบนี้ เริ่นเสี่ยวซู่ก็อดปวดใจอยู่หน่อยๆ ไม่ได้ แถมทำไมเหรียญคำขอบคุณของเขามันพร่องเหลือเกินเนี่ย เขามีแค่สี่เหรียญเอง
เขาชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว การจะให้เหยียนลิ่วหยวนและพี่สาวเสี่ยวอวี้มีชีวิตที่ดีขึ้นในเมืองได้ อย่างไรก็ต้องผูกความสัมพันธ์กับคนในป้อมปราการ
แถมยาดำไม่ได้ให้ไปแบบให้เปล่าเสียหน่อย จะเสียดายไปทำไมล่ะเนอะ
คิดแล้วเริ่นเสี่ยวซู่ก็ถอนหายใจ ดูสิเป็นหมอประจำคลินิกแล้ว จะได้รับคำขอบคุณจากผู้คนหรือเปล่าก็ไม่รู้
ตอนนี้เรื่องที่ต้องจัดการเป็นอันดับแรกคือไปเก็บสมุนไพรเพิ่ม เริ่นเสี่ยวซู่เป็นคนระมัดระวังตัว ทุกขั้นตอนต้องไม่มีข้อผิดพลาด หากเกิดมีคนสงสัยอะไรเขาขึ้นมาต้องแย่แน่
โดยเฉพาะต่อไปในอนาคต ยามคนพูดถึงตัวเขา ก็คงเป็น ‘พลังพิเศษของเขาคนนั้นสามารถเสกก้อนน้ำออกมาทลายกำแพง ส่วนพลังวิเศษของเขาอีกคนก็สามารถตัดผ่าภูเขาได้ เริ่นเสี่ยวซู่เหรอ พลังพิเศษของเขาคือเอาไว้สร้างยาอย่างว่าน่ะ’ แบบนั้นก็น่าอับอายขายขี้หน้าเกินไปแล้ว!
หลังจากเริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาถึงแดนรกร้าง ก็แอบเข้าไปดูจุดที่เขาฝังปืนพกไว้ ต้องให้มั่นใจเสียก่อนว่าไม่มีใครมาเจอเข้าเขาถึงวางใจได้ ตอนนี้ปืนเป็นอาวุธที่เขาพึ่งพาได้มากสุดแล้ว ให้เกิดอะไรผิดแผนไปไม่ได้เด็ดขาด
ต่อให้ตอนนี้เขามีพละกำลัง 4.5 แต้ม ความคล่องแคล่ว 4.1 แต้ม แต่มนุษย์ปุถุชนก็สู้รบปรบมือกับปืนไม่ได้อยู่ดี
เริ่นเสี่ยวซู่แบกตะกร้าไม้ไผ่สานกลับมาที่คลินิก เห็นเสี่ยวอวี้กำลังช่วยคู่รักที่มาขอคำแนะนำที่คลินิกด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
พอเธอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว ก็หันไปมองเขาเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ “เสี่ยวซู่ มารับคนไข้เร็ว”
เริ่นเสี่ยวซู่วางตะกร้าไม้ไผ่ลงกับพื้นแล้วถาม “พวกคุณสองคนมีอาการบาดเจ็บอะไรมา ฉันต้องรู้ก่อนว่าพวกคุณมารักษาถูกที่หรือเปล่า”
“แบบนั้นดีเลย” ฝ่ายชายพูด “พวกเราไม่ได้มีอาการบาดเจ็บ แต่ภรรยาของฉันตอนนี้ท้องมาได้สี่เดือนแล้ว ตอนเช้าจู่ๆ เธอก็ปวดท้องขึ้นมา ฉันกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เลยมาดูว่านายรักษาได้หรือเปล่า”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ถึงเขาเป็นหมอก็จริงเถอะ แต่เขาไม่รู้เลยว่าจะรักษาอาการแบบนี้อย่างไร!
ยุคสมัยนี้ไม่มีความรู้เรื่องบุรุษเวชศาสตร์หรือนรีเวชศาสตร์ ผู้อพยพรู้เพียงว่าถ้ารู้สึกไม่สบายก็ให้ไปคลินิก
นี่ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ทำตัวลำบากมาก พูดโม้ไว้เสียเยอะ ตอนนี้เจอความคาดหวังของสามีภรรยาคู่นี้เข้า เขาคงทำให้ตัวเองเสียหน้าไม่ได้หรอกใช่ไหม
เริ่นเสี่ยวซู่พยายามนึกไปถึงบทเรียนที่คุณจางสอนในโรงเรียนกับหนังสือที่เคยอ่านมารับมือกับปัญหาข้อนี้ ปกติแล้วพวกหมอจะพูดกับคุณแม่ตั้งครรภ์และสมาชิกครอบครัวของเธออย่างไรนะ
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งแล้วโพล่งว่า “จะช่วยแม่หรือเด็ก”
สองสามีภรรยา “???”
ชายหนุ่มโมโหท่าทางไม่พอใจขึ้นมา “พวกหมอจอมปลอม! ภรรยาฉันแค่ปวดท้องนิดหน่อย ก็ถามว่าจะช่วยแม่หรือจะช่วยเด็กแล้ว คำถามคือภรรยาฉันท้องแค่สี่เดือน! ถ้าฉันคิดจะช่วยเด็กต้องทำยังไงมิทราบ!”
เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วก็เข้าเค้าไม่เลว…
เขาถอนหายใจออกมา “ขอโทษพวกคุณสองคนด้วย ฉันผิดไปแล้ว พูดตามสัตย์จริง ฉันไม่รู้เรื่องวิชานรีเวชศาสตร์เลย ถ้าจะตีหน้าหลอกพวกคุณไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็เกินจะรับไหว หมอคนก่อนหน้านี้ก็ไม่รู้วิธีรักษาเธอเหมือนกัน เจ้าหมอนั่นน่ะพวกจอมปลอมของแท้”
มีคำกล่าวว่าเริ่นเสี่ยวซู่ลงมือสังหารคนสมควรตายได้อย่างตาไม่กะพริบ แต่เขาไม่อาจทำผิดมโนธรรมด้วยการโกหกคุณแม่ตั้งครรภ์ได้หรอก
เริ่นเสี่ยวซู่พูดต่อ “คำแนะนำของฉันคือ ให้พวกคุณไปที่โรงเรียนแล้วยืมหนังสือจากคุณจาง แล้วทุกวันก็ให้ภรรยากินอาหารดีๆ ด้วย จากนั้นจะคลอดมาอย่างราบรื่นหรือเปล่าก็อยู่ที่โชคชะตาแล้ว ฉันจะไม่คิดเงินพวกคุณนะ ที่สำคัญสุดคืออย่าไปเที่ยวซื้อยามาจากคนอื่นมั่วๆ ฉันรู้มาว่าเวลาตั้งครรภ์อย่ากินยาอะไรเด็ดขาด ไม่งั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลให้เด็กเกิดความพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ถ้าไม่เชื่อฉัน ก็ไปยืมหนังสือเกี่ยวกับวิธีหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนดจากคุณจางก็ได้”
ทั้งสองมองหน้ากัน ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะพูดอะไรเช่นนี้ออกมา เขาคิดอยู่พักหนึ่ง “ฉันรู้สึกว่านายดีกว่าหมอคนเดิมอยู่หน่อย ครั้งล่าสุดที่ฉันป่วย เขามัวแต่กลัวว่าฉันจะไม่ซื้อยา แต่ถึงกินยาเขาไปแล้วอาการฉันก็ไม่เห็นจะดีขึ้นเลย สุดท้ายก็รอดมาได้เพราะตัวเองล้วนๆ”
ภรรยาที่ตั้งครรภ์อยู่ยืนขึ้น แล้วยิ้มพูดว่า “ขอบคุณค่ะ คุณหมอ”
[ท่านได้รับคำขอบคุณจากฉินเจียเจีย +1!]
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เขายังไม่ทันได้ทำอะไร แต่จู่ๆ ก็ได้รับคำขอบคุณมาเฉยเลย