เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกสับสนนิดหน่อย เขาแค่บอกเรื่องไปตามจริงเท่านั้นเอง แต่ก็ยังได้รับคำขอบคุณมาจากคนไข้เฉยเลย
ทั้งเขาและเหยียนลิ่วหยวนต่างมีความคิดฝังหัวที่ว่า ‘คนจะขอบคุณก็ต่อเมื่อได้ของแบบให้เปล่าเท่านั้น’
เริ่นเสี่ยวซู่เคยเข้าเรียนคาบที่คุณจางสอนว่าอารยธรรมนั้นเคยเลิศเลอเพียงใด นี่ทำให้เขาสงสัยนักว่าเหตุใดความมากน้ำใจหลายพันปีถึงล่มสลายได้รวดเร็วนัก
วันนี้คู่สามีภรรยาทำให้เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจอย่างเลือนรางบ้างแล้ว แต่ยังไม่ถึงกับแน่ใจนักว่ามันคืออะไร
วันเดียวกัน เริ่นเสี่ยวซู่ให้เสี่ยวอวี้นำป้ายที่แขวนหน้าคลินิกลงมา แล้วปักคำว่า ‘รักษาแผล’ หลังคำว่า ‘คลินิก’
เขาโกหกหลายครา คดโกงมากมาย ขโมยนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งล้วนกระทำไปด้วยการไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
วันนี้เริ่นเสี่ยวซู่ตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะ จากนี้ไป อาการป่วยใดเขารักษาได้ก็จะรักษา หากรักษาไม่ได้ ก็ปล่อยไปตามยถากรรมเถอะ
สุดท้ายแล้วทั้งวันนี้ไม่มีผู้ป่วยที่มารักษาแผลอะไรเลย กลับมีแต่พวกอาการปวดหรือโรคบางอย่างที่เขารักษาไม่เป็น ที่น่าประหลาดใจมากคือ ยามเริ่นเสี่ยวซู่บอกเหล่าคนไข้ว่าตนช่วยอะไรพวกเขาไม่ได้จริงๆ พอสิ้นวันก็ได้เหรียญคำขอบคุณมาเพิ่มเป็นสิบเหรียญโดยที่ไม่ได้ใช้ยาดำสักกระผีกเดียว!
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งอย่างสับสนมึนงงในคลินิก นี่มันเชี่ยไรวะเนี่ย
เขาไม่รู้เลยว่าทุกคนเก็บความแค้นเคืองอวี่ถงหมอคนที่แล้วของคลินิกมานานแล้ว เพราะการกระทำของเริ่นเสี่ยวซู่ คนที่เข้ามารักษาล้วนลือกันออกไปเกี่ยวกับเขาว่า “ฉันว่าเริ่นเสี่ยวซู่ผู้โหดร้ายยังดีกว่าหมอเวรอย่างอวี่ถงเยอะเลย! ถ้าเขาไม่รู้วิธีรักษานาย เขาก็ไม่เขียนใบจ่ายยาขูดเลือดขูดเนื้อนาย!”
เหล่าคนขี้เสือกทั้งหลายรู้เข้าก็คิด ว้าว มีเรื่องงี้ด้วย? จากนั้นก็แห่เข้าไปลองที่คลินิกบ้าง
พวกเขาสนุกสนานกันยกใหญ่ ส่วนเริ่นเสี่ยวซู่กำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จำนวนคนไข้ที่เข้ามาขอคำปรึกษา เยอะกว่าเหรียญคำขอบคุณที่ได้มานับสิบเท่า!
บางคนก็มาบ่นเรื่องอาการปวดหัว บ้างก็คิดว่าหน้าตัวเองบวมขึ้น แถมยังมีเรื่องมาขอคำทำนายจากเขาอีก ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่พูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
อย่างไรเสียเมื่อเริ่นเสี่ยวซู่ตั้งมั่นอะไรแล้ว เขาก็จะไปจนสุดตัว เขาแนะนำชาวเมืองและส่งพวกเขาออกไปเหมือนกับที่อธิบายให้สองสามีภรรยาคู่นั้นฟัง
จากนั้นชาวเมืองก็ได้รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้เรียกเก็บเงินค่ารักษาตามใจชอบ
ภาพจำดั้งเดิมที่พวกเขามีต่อเริ่นเสี่ยวซู่คือคนเหี้ยมโหดอำมหิต เพราะเริ่นเสี่ยวซู่ในวัยเด็กซึ่งต้องดูแลเหยียนลิ่วหยวนไปด้วยต้องการมีที่ยืนในเมืองนี้ เขาจึงต้องทำตัวหาญกล้าโหดร้ายต่อผู้อื่นให้มากที่สุด ต่อให้มันจะสร้างโอกาสรอดเพียงน้อยนิดก็ตามที
และให้หลัง ภาพจำของทุกคนที่มีต่อเริ่นเสี่ยวซู่ก็คือ…คนขายยา
แต่ตอนนี้ทุกคนเริ่มคิดแล้วว่า ถ้าตัวเองเกิดมีแผลบาดเจ็บอะไรขึ้นมา ก็จะไปรักษาแผลกับเริ่นเสี่ยวซู่ที่คลินิกทันที
คำลือแบบปากต่อปากเช่นนี้โผล่มาจากไหนก็ไม่ทราบ ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่งุนงงมาก
ตอนบ่าย เสี่ยวอวี้แบกตะกร้าเข้าไปซื้อของในเมือง ล่าสุดพวกเขาเพิ่งมีเงินเก็บถึงสามพันสี่ร้อยหยวน สามารถซื้อของดีๆ มาปรนเปรอให้กับชีวิตได้แล้ว ด้วยเหตุนี้เองพวกเขาก็สามารถซื้อพวกของสดจากในตลาดได้ด้วย
นอกเมืองมีฟาร์มสุกรอยู่ พวกสุกรท้องถิ่นหลังจากยุคภัยพิบัติก็เกิดวิวัฒนาการขึ้น แต่ตราบใดที่เลี้ยงแต่เด็ก ก็จะโตขึ้นมาเป็นสัตว์แสนโอชะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามนุษย์นี่แหละเป็นสายพันธุ์ที่ปรับตัวและใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมได้เก่งที่สุดแล้ว สายพันธุ์อื่นใดไม่อาจเทียบเคียงได้
โดยปกติเนื้อส่วนดีๆ จะถูกส่งไปบริโภคกันภายในป้อมปราการ เหลือเพียงส่วนเล็กส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังคงขายในเมือง
หนึ่งในความคาดฝันที่ใหญ่สุดของเหยียนลิ่วหยวน คือการได้เข้าไปกินเนื้อในป้อมปราการนี่แหละ!
เสี่ยวอวี้กลับคลินิกมาพร้อมกับผักเต็มตะกร้า พอเธอเข้ามา สายตาก็ทอประกาย “ไอหยาเสี่ยวซู่ เธอยังไม่รู้สินะ ตอนนี้ในเมืองกล่าวสรรเสริญเธอกันยกใหญ่เลย”
เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงไป “จริงเหรอ”
“จริงสิ” เสี่ยวอวี้ยิ้ม เริ่มหั่นผัก “เสี่ยวซู่ของพวกเราเป็นหมอแล้ว ภรรยาในอนาคตต้องเป็นสาวที่ดีที่สุดของเมืองแน่ พอเธอแต่งงานมีลูก ฉันจะช่วยดูแลเด็กๆ เอง”
เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกกระอักกระอ่วน “ยังไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อนเลย”
เสี่ยวอวี้โมโหขึ้นมา “เธออายุเท่าไรแล้ว มันถึงเวลาที่เธอต้องคิดได้แล้วนะ อ๊ะ วันนี้ฉันซื้อถั่วลิสงมาด้วย สงสัยจริงว่าคนในเมืองไปสรรหามาจากไหน ฉันจะเอาไปทำอาหารให้พวกเธอสักหน่อยแล้วกัน”
ตอนนั้นเองเหยียนลิ่วหยวนก็กลับมาจากโรงเรียนพอดี ทุกวันนี้เขาเหมือนเด็กนักเรียนคนอื่นแล้ว ตอนบ่ายกลับบ้านมากินข้าว ทุกเช้าก็จะพกมันฝรั่งสองหัวไว้สำหรับกินตอนเที่ยง
หลังจากเดินผ่านประตูมา เหยียนลิ่วหยวนก็เห็นถั่วลิสงจึงหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้แกะเปลือกออก เสี่ยวอวี้ก็เข้ามาตบมือเขาไปที “อย่าเพิ่งกิน ยังเปื้อนดินอยู่เลยนะ”
เหยียนลิ่วหยวนเคือง กระแทกลงกับโต๊ะ “พี่สวยขนาดนี้ ทำไมต้องมาห้ามผมกินถั่วด้วย!”
พี่สาวเสี่ยวอวี้เผยยิ้มออกมาอีกครั้ง แล้วว่า “กินจ๊ะกินเลย”
ขณะแกะเปลือกถั่วลิสง เหยียนลิ่วหยวนก็พูดกับเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่ วันนี้มีคนตั้งเยอะมารวมตัวกันนอกโรงเรียนแน่ะ ช่วงมีสอนคุณจางไม่ให้ใครเข้ามาเลย แต่พอสอนเสร็จ พวกเขาก็กรูกันเข้ามายกใหญ่ ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น พี่อยากไปดูไหม”
“เอ๋?” เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไปครู่หนึ่ง ลางสังหรณ์กรีดร้อง…
ฉับพลันร่างอันคุ้นเคยหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอย่างโกรธเกี้ยว คืออาจารย์สอนหนังสือที่โรงเรียน จางจิ่งหลินนั่นเอง!
เริ่นเสี่ยวซู่ตาลุกโชน “ท่านจางมาแล้วเหรอครับ? มากินข้าวเที่ยงกันครับ”
“กินข้าวผายลมสิ!” จางจิ่งหลินพูดอย่างหัวร้อน “ถ้ารักษาคนไม่เป็นก็ไม่ต้องรักษา! ทำไมต้องให้ทุกคนมาหาฉันด้วย!”
เริ่นเสี่ยวซู่จำได้ว่าพูดกับสองสามีภรรยาไปว่า ‘ถ้าไม่เชื่อฉัน ก็ไปยืมหนังสือเกี่ยวกับวิธีหลีกเลี่ยงการคลอดก่อนกำหนดจากคุณจางได้’
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าวิธีนี้ใช้การได้ดีมาก เลยแนะนำคนไข้ทุกคนที่มาขอคำปรึกษากับเขาเมื่อเช้าแบบนี้หมดเลย
จางจิ่งหลินพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ถ้าเป็นอาการป่วยธรรมดาๆ ฉันยังพอปล่อยผ่านได้หรอกนะ แต่นี่เล่นแนะนำคนเป็นโรคน้ำกัดเท้ามาหาฉัน! เธอไม่รู้หรอกว่าตอนหมอนั่นถอดรองเท้าออกมาแล้วกลิ่นมันหึ่งขนาดไหน! ดีนะฉันหนีออกมาได้ทัน!”
เริ่นเสี่ยวซู่ขวยเขินไปเลย ยิ้มเป็นเชิงขอโทษขอโพย “เพราะผมคิดว่าท่านเป็นผู้มีปัญญาลึกล้ำหรอก”
จางจิ่งหลินแทบจะสติแตก “ฉันเป็นอาจารย์ ถ้าเธอรักษาไม่ได้ แล้วคิดว่าฉันจะมีปัญญารักษาเหรอ ต่อไปขืนยังผลักคนไข้มาให้ฉันอีก ฉันจะสั่งการบ้านท่วมหัวเหยียนลิ่วหยวนซะ!”
เหยียนลิ่วหยวนที่กำลังแกะเปลือกถั่วลิสงอยู่ถึงกับไปไม่ถูก ทำไมต้องลากผมเข้าไปเอี่ยวด้วยเนี่ย!
เริ่นเสี่ยวซู่คว้าถั่วลิสงขึ้นมากำมือหนึ่งแล้วยื่นใส่มือจางจิ่งหลิน “วางใจได้เลยครับ ผมไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว ผมไม่ทำแล้ว สาบานเลย!”
จางจิ่งหลินคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับโรงเรียนไปพร้อมกับแกะเปลือกถั่วลิสงกินพลาง