ตกดึก เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าชีวิตของตนกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ตอนนี้พระราชวังในห้วงจิตมีคำขอบคุณทั้งหมดสิบเหรียญ อดคิดไม่ได้ว่าถ้าปลดล็อกอาวุธได้เร็วๆ จะดีขนาดไหนกันนะ

เหยียนลิ่วหยวนกำลังหลับปุ๋ยอยู่ข้างเขา คาบเรียนช่วงบ่าย พวกนักเรียนอยากให้เริ่นเสี่ยวซู่เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับหมาป่าอีกเพราะพวกมันเพิ่งโจมตีเมืองมาหมาดๆ พวกเขาอยากรู้ว่าเวลาเจอหน้าฝูงหมาป่าสมควรทำตัวหรือหลบหนีอย่างไรดี

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดอะไรให้พวกนักเรียนฟัง และเล่าประสบการณ์การเอาตัวรอดในแดนรกร้างอื่นๆ แทน เขารู้สึกว่าถ้าถึงวันที่พวกเด็กนักเรียนต้องเจอฝูงหมาป่าจริงๆ ก็น่าจะจบสิ้นกันหมดนั่นแหละ ลักษณะทางกายภาพของมนุษย์กับพวกสัตว์ป่าในสมัยนี้มันต่างกันเกินไปจนผลลัพธ์ชัดเจนมาก สอนไปก็ไม่ช่วยอะไรหรอก

นอกจากสอนล่ากับฆ่าพวกสัตว์ป่าแล้ว ยังสอนวิธีการหาอาหารเพื่อประทังชีวิตเวลาไม่เจอหมาป่า ซึ่งดีกว่าไม่น้อยเลย

การถูกพวกหมาป่ารุมฆ่าเป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหิวจนตายนี่ก็ออกจะน่าสมเพชไปหน่อย

อย่างไรเสีย เรื่องที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดไม่ใช่เนื้อหาบทเรียนไม่เป็นไปตามที่พวกนักเรียนคาดหวัง แต่เป็นเริ่นเสี่ยวซู่ที่ยังจะปล่อยช้าอีก ทำเอาพวกนักเรียนโมโหมาก กลับไปฟ้องพ่อแม่เสียยกใหญ่

ทว่าพวกนักเรียนดันไม่รู้ตัวเลยว่า พวกเขาไม่กล้าไปยั่วยุเริ่นเสี่ยวซู่ฉันใด พวกพ่อแม่ของนักเรียนเองก็ไม่กล้ายั่วยุเริ่นเสี่ยวซู่ฉันนั้นแล…

ทันใดนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกดังมาจากนอกกำแพงลานบ้าน คนผู้นี้ดูเหมือนกำลังระมัดระวังตัวแจ แต่คนอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ผู้อยู่รอดในแดนรกร้าง ถ้าไม่มีปฏิกิริยาว่องไวต่อเสียงหรือการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ใด ก็คงตายไปแล้ว

เขาเป่าตะเกียงในห้องให้ดับ ก่อนลอบออกไปที่ลาน

เริ่นเสี่ยวซู่ซ่อนตัวอยู่ใต้กำแพง และแอบฟังการเคลื่อนไหวข้างนอก

เขาได้ยินเสียงคนกระโดด คนผู้นั้นใช้มือทั้งคู่คว้าจับเหนือกำแพง ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นไปและรุดตัวเข้ามาข้างใน

ขณะกำลังอยู่กลางอากาศ เขาก็ก้มมองเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ ที่กวาดตาสำรวจเขาอย่างสงสัย

วินาทีต่อมานั้น เขาพลันเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ย่อตัวลง รั้งแขนไปข้างหลัง เหมือนกับว่ากำลังรวบรวมพลังเตรียมโจมตีอย่างแรงอย่างไรอย่างนั้น!

เริ่นเสี่ยวซู่ส่งหมัดทรงพลังราวกับสามารถทลายขุนเขาได้ไปยังเป้าของแขกที่ไม่ได้รับเชิญ! แขกผู้ไม่ได้รับเชิญพยายามจะเอี้ยวตัวหลบ ดูมีความสามารถไม่น้อย สามารถหลีกเลี่ยงอันตรายด้วยการงอเข่าทั้งสองข้างมารวบการโจมตีเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ได้!

ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลับรวดเร็วกว่าที่เขาคิด!!

“เดี๋… อ๊ากกก!” แขกผู้ไม่ได้รับเชิญเสียสมดุล ร้องโหยหวนล้มลงกับพื้น งองุ้มกุมส่วนลับของตนเองอย่างเจ็บปวดรวดร้าวระทม

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังอื้ออึงมาจากข้างนอก เหมือนกับคนที่มาจะมากกว่าหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่มองคนที่นอนกับพื้นด้วยสายตาสงบนิ่ง ดูจากเสื้อผ้าแล้วยังมองไม่ออกว่าเป็นใคร

วินาทีต่อมา ก็มีเงาร่างกระโดดผ่านกำแพงมาอีกสองคน

“เดี๋…อ๊ากกก!”

“ฉิบ!”

แล้วก็ตามด้วยอีกสองคนที่นอนเกลือกกลิ้งกับพื้น

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว ถ้าจะให้วิจารณ์ทักษะพวกเขา บอกได้เลยว่าธรรมดาๆ หากเขาโจมตีละก็ คนพวกนี้คงทนการโจมตีจากเขาไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว

มีคนเคาะประตูให้เปิด เสียงคุ้นหูดังมา “เปิดประตู”

เริ่นเสี่ยวซู่จำเสียงนี้ได้ เป็นนายทหารที่นำกองกำลังมาค้นทั่วเมือง

พริบตานั้นเขาทราบทันทีว่าคนพวกนี้มาจากกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงได้อ่อนแออะไรขนาดนี้

ความจริงแล้วพวกทหารไม่ได้อ่อนแอ ถึงทหารในกองกำลังส่วนตัวจะละเลยการฝึกฝน แต่คนธรรมดาก็ไม่สามารถสู้อะไรได้อยู่ดี

พวกทหารได้ยินข่าวลือมาว่าเริ่นเสี่ยวซู่อำมหิตมาก แต่ผู้อพยพจะแข็งแกร่งได้ขนาดไหนกันเชียว

เสี่ยวอวี้กับเหยียนลิ่วหยวนที่นอนหลับปุ๋ยในบ้านตื่นขึ้นมา พวกเขารีบใส่เสื้อผ้าแล้วออกมาดูว่าข้างนอกมีเรื่องอะไร “เกิดอะไรขึ้น!”

“กลับเข้าบ้านไป” จากนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็เข้าไปเปิดประตูให้นายทหาร สงสัยนักว่าทำไมทหารกองกำลังส่วนตัวถึงใส่ชุดพลเรือนมาบุกรุกบ้านพวกเขา

ดูโจ่งแจ้งไม่น้อยทีเดียวว่าพวกเขาคิดจะหันม้าจู่โจม[1] กลับมาตรวจสอบผู้ที่น่าสงสัยที่สุดในคดี ‘ปืนหาย’ บางทีทหารพวกนี้คงอยากหาคำตอบไปให้เบื้องบน แต่ขณะเดียวกันก็กลัวจะไปแกว่งเท้าหาเรื่องเถ้าแก่หลัวด้วย

หากพวกเขาหาหลักฐานเจอก็คงไม่เป็นอะไร เถ้าแก่หลัวไม่ใช่คนเดียวที่กุมอำนาจในป้อมปราการ 113 แถมเจ้าตัวก็ไม่น่าจะยกยอเริ่นเสี่ยวซู่อะไรสูงส่งนัก แต่ถ้าพวกเขาเกิดไม่เจอปืนละก็ คงได้เผชิญโทสะของเถ้าแก่หลัวแล้ว

ถ้าตอนออกไปเก็บสมุนไพรเริ่นเสี่ยวซู่พกปืนกลับมาด้วยจะเกิดอะไรขึ้นนะ แบบนั้นเขาคงตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง จากที่หวังฟู่กุ้ยว่ามา ผู้จัดการโรงงานที่ถูกฆ่าไปเหมือนจะมาจากครอบครัวที่มีอิทธิพลไม่น้อยในป้อม

เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว คืนนี้พวกเขาบุกรุกมาในพื้นที่ของเขา แถมยังมาค้นเขาเป็นครั้งที่สองแล้วด้วย สถานการณ์แบบนี้เขาน่าจะยืนอยู่ฝ่ายถูกมากกว่า แต่ที่แห่งนี้ สถานที่นอกป้อมปราการ ใครเล่าจะคุยด้วยเหตุผลได้

เหตุผลหนักไหมอยู่ที่หมัดใครใหญ่กว่า และหมัดเขาก็ไม่ใหญ่ถึงเพียงนั้น

อึดใจเดียวเริ่นเสี่ยวซู่ก็ล้มทหารไปสามนาย ทำเอารู้สึกว่าพวกเขาไม่น่าปล่อยเรื่องไปง่ายๆ หลังจากครั้งนี้ เริ่นเสี่ยวซู่รู้ได้ทันทีว่าต้องเตือนตัวเองให้ระมัดระวังมากกว่านี้ ห้ามประเมินใครต่ำไปเด็ดขาด

ที่จริงนายทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขานับสิบนอกประตูก็กำลังเดือดจัด รู้สึกรับไม่ได้ที่ทหารอย่างพวกตนไม่อาจรับมือกับผู้อพยพอย่างเริ่นเสี่ยวซู่ แถมยังต้องให้ไปช่วยอีก!

ขืนเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียงเขาได้ดิ่งลงเหวแน่! วันนี้ต้องมีข้อสรุปอะไรให้ได้!

ขณะเขากำลังจะให้คนของตัวเองถีบประตู ประตูคลินิกก็เปิดออกเสียก่อน

ทหารที่ยืนอยู่หน้าประตูนิ่งไป เขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เอาธงที่เขียนว่า ‘มือมหัศจรรย์ ไม้ผลิกลับคืน หลัวหลาน’ พันตัวเอง

นายทหารนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ หัวเราะลั่นในใจ นี่อะไรเนี่ย เอาธงมาคุ้มกันตัวเองเหรอ!

เริ่นเสี่ยวซู่ตื่นตัวสุดขีด จับจ้องดูอารมณ์ของนายทหารผู้นี้ เขาละกลัวมากว่าแม้นายทหารจะเห็นธงพันรอบกายเขาแล้ว จะยังเกิดหุนหันพลันแล่นลงมือล้างแค้นอยู่ดี

ทว่านายทหารเดินผ่านตัวเขาไป แล้วพูดออกมาตรงๆ ว่า “ค้น!”

เริ่นเสี่ยวซู่ตามพวกเขาไปแล้วพูด “พวกคุณค้นฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอไง”

พอนายทหารเห็นทหารของตนนอนอยู่กับพื้นลานบ้านก็หน้าทะมึนไปเลย “พวกขยะ”

เขาหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “ฉันชื่อหวังฉงหยาง ถ้าอยากให้เถ้าแก่หลัวช่วย ก็บอกชื่อฉันให้เขาฟัง”

“ไม่สามารถทำได้” เริ่นเสี่ยวซู่ภายนอกยิ้มแย้มแต่ภายในไม่ยิ้มพูดต่อ “พวกคุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”

หวังฉงหยางสำรวจมองเริ่นเสี่ยวซู่ หลังจากให้คนของตัวเองค้นไปหลายนาที พวกเขาก็กลับมารายงานว่า “ไม่พบอะไรครับ”

หวังฉงหยางพาทหารตัวเองออกไปทันที แต่ก่อนจากไป ยังไม่วายหันกลับมาส่งสายตาคล้ายยิ้มคลายไม่ยิ้มให้เริ่นเสี่ยวซู่ “ถ้านายเกิดในป้อมปราการคงจะดีมาก นายเป็นทหารที่เก่งกาจกว่าเศษสวะพวกนี้มาก”

เดี๋ยวนะ! เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ผู้จัดการโรงงานชื่อหวังตงหยาง นายหวังฉงหยางนี่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาสักทางหรือเปล่า

ถึงว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมลดละจะสืบสวนตนให้ได้ เป็นเพราะกำลังตามล่าตัวฆาตกรอยู่นี่เอง

……………

[1] **หันม้าจู่โจม (回马枪)**หมายถึงโจมตี/ตอบโต้โดยฉับพลัน