ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ได้รู้ว่าชื่อของนายทหารนั้นคือหวังฉงหยางก็ตะลึงไป กังวลว่าอีกฝ่ายจะพยายามเค้นตนไม่หยุด
รุ่งสาง เริ่นเสี่ยวซู่เปิดประตูคลินิกออก มองเห็นหวังฟู่กุ้ยกำลังกวาดร้านขายของชำอยู่ พอเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่ ก็วางไม้กวาดลงและเดินมาหา กดเสียงต่ำพลางว่า “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นน่ะ”
“ไม่มีอะไร” เริ่นเสี่ยวซู่ส่ายหน้า “แค่กองกำลังส่วนตัวจากในป้อมยังสงสัยฉันอยู่ เลยมาค้นอีกรอบเฉยๆ น่ะ”
“ถุย!” หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างอารมณ์เสียว่า “พวกเขาทำอย่างกับผู้อพยพเป็นโจรขโมยตลอดเลย ขนาดฉันบอกแล้วว่าเธอมีเถ้าแก่หลัวหนุนหลังอยู่ ก็ยังจะกล้ามาค้นเป็นคำรบสองอีกเรอะ!”
“เอาละๆ เลิกแสดงได้แล้วลุง” เริ่นเสี่ยวซู่มองหวังฟู่กุ้ยอย่างพูดอะไรไม่ออก “ทำไมถึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฉันนักนะ”
หวังฟู่กุ้ยหัวเราะ “วางใจเถอะ เธอจะไม่เป็นอะไรแน่นอน ฉันเพิ่งส่งยาดำชุดใหม่เข้าป้อมไป”
ตอนนั้นเองก็มีชายคนหนึ่งวิ่งมาพร้อมแขนเลือดอาบ ตะโกนมาแต่ไกลว่า “หมอ! ช่วยด้วย!”
เขาน่าจะตกใจกลัวมากเพราะแขนเลือดไหลออกมาเยอะทีเดียว แต่เริ่นเสี่ยวซู่มองแวบเดียวก็รู้ว่าไม่ได้ร้ายแรงอะไร
ในเมือง ที่ไม่ร้ายแรงก็คือไม่ตายนั่นแหละ
ต้องพูดว่าสำหรับผู้อพยพแล้ว ทุกคนล้วนมีมุมมองต่อชีวิตกว้างขวางมาก นอกเหนือจากความเป็นตายแล้ว เรื่องอื่นล้วนไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไร
เริ่นเสี่ยวซู่มองเขา “เข้ามา นายไม่ได้บาดเจ็บขนาดนั้น ไม่ตายหรอก ไปโดนอะไรมา”
“ตอนเดินไปทำงานที่โรงงาน จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าลืมของเลยจะกลับบ้านไปเอา แต่พอไปถึงบ้านก็เจอว่ามีคนเข้ามาค้นข้าวของในกระท่อม ฉันเลยพยายามจะจับเขาให้ได้ แต่โดนมีดเขาเข้า” ชายผู้นั้นว่า “หมอ ฉันไม่เป็นอะไรใช่ไหม ฉันเสียเลือดเยอะมากเลยนะ”
“นายจะไม่เป็นอะไรหรอก” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบเสียงเรียบนิ่ง
พอเขาได้ยินว่าตนเองไม่ตาย ถึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้นิดหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่มองแผลของเขา แล้วคิดว่าจะใช้ยาชาที่เพิ่งได้มาดีไหมนะ
เริ่นเสี่ยวซู่มองชายหนุ่มแล้วพูด “พวกเรามียาชาอยู่ หลังจากฉีดแล้ว ตอนเรารักษานายจะไม่รู้สึกอะไรเลย”
“งั้นเหรอ” เขาผงะไป “ฉันต้องจ่ายหรือเปล่า”
“จ่ายสิ!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ถ้านายไม่ต้องจ่าย ฉันจะให้ยาแพงๆ นายเหรอ ดูจากขนาดแผล อย่างน้อยก็คงยาวสิบเซนติเมตรได้ แผลยาวขนาดนี้ ขืนฉันใช้เข็มเย็บสด นายได้ตายเพราะความเจ็บแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเรื่องจริง แผลนี่ใหญ่เกินไป ตอนที่ทายาดำต้องระวังให้มาก ดูแล้วคงใช้ปริมาณแบบครั้งเดียวไม่น่าพอ
เขาละกลัวจริงๆ ว่าชายผู้นี้จะทนเจ็บไม่ไหว
ตอนนั้นเองเสี่ยวอวี้ก็เดินออกมาพร้อมถาดเหล็ก บนนั้นมีเข็มฉีดยากับยาชาขวดเล็ก เข็มฉีดยานี้คืออุปกรณ์ที่เหลือไว้ในคลินิกอยู่แล้ว
ด้วยสภาพการรักษาตอนนี้ พวกเขาเลยไม่มีเข็มเย็บแผลและเข็มฉีดยาแบบใช้แล้วทิ้ง ดังนั้นได้แต่ทำการฆ่าเชื้อหลังใช้เสร็จเท่านั้น หากยึดตามหลักการที่ควรแล้ว ทำแบบนี้ถือว่าผิดแน่นอน แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี
วิธีที่ดีสุดเท่าที่ทำได้คือฆ่าเชื้ออุปกรณ์อย่างถูกต้อง อย่างเช่นนำเข็มไปลนไฟให้นานกว่าเดิมหน่อย
คราวนี้เสี่ยวอวี้รอให้เข็มเย็นก่อนจะนำมาใช้เย็บแผล แต่พอจะทิ่มลงไป เธอก็เกิดทำอะไรไม่ถูก “เสี่ยวซู่ ฉันต้องฉีดยาชาในแผลหรือนอกแผล”
พวกเธอไม่เคยใช้ยาชามาก่อน เสี่ยวอวี้จึงกำลังสงสัยว่าฉีดยาชานอกแผลหรือในแผลจะให้ผลดีกว่า
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ เรื่องนี้เขาไม่ทันคิดเลย “ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ชายที่อยู่ด้านข้างฟังแล้วก็แทบปัสสาวะรดกางเกง “…พวกนายไม่เคยใช้ยาชามาก่อน? รู้ไหมเนี่ยว่ารักษาแผลยังไง”
เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่สามารถรักษาแผลได้ แถมเริ่นเสี่ยวซู่เองก็ยังมีชื่อเสียงดีงามไม่น้อยในเมือง ทำให้เขาคิดจะมารักษาแผลที่นี่ทันที
แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างที่ข่าวลือว่าไว้นี่หว่า!
“สรุปฉันควรฉีดตรงไหนดี” เสี่ยวอวี้ถาม
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นใบหน้าของคนไข้แล้วก็คิดอะไรบางอย่างได้ “ทำไมไม่ฉีดที่ขาเขาแทนล่ะ จะได้กันไม่ให้เขาวิ่งหนีไปด้วยไง”
คนไข้ “…”
……
[ภารกิจสำเร็จ รางวัลพละกำลัง 1.0 แต้ม]
[ภารกิจ: รักษาผู้ป่วย 20 ราย]
ถึงตลอดทั้งวันนี้ เริ่นเสี่ยวซู่จะทำภารกิจต่อเนื่องรอบที่สามอย่างการรักษาผู้ป่วยให้ครบ 10 รายสำเร็จ แต่เหรียญคำขอบคุณกลับได้แค่แปดจากสิบ มีผู้ป่วยไม่น้อยที่แม้ว่าเขาจะรักษาได้สำเร็จด้วยดี ก็ยังไม่ให้คำขอบคุณอะไรเขาสักเหรียญเลย
ถึงอย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นเจริญขึ้นมาก
ตอนเช้าเขาจะรักษาคนไข้ที่คลินิก ตอนบ่ายทำหน้าที่เป็นอาจารย์สอนแทนที่โรงเรียน ตอนกลางคืนออกมาคุยกับเสี่ยวอวี้และเหยียนลิ่วหยวนที่นอกลาน ซึ่งเขาขุดพื้นที่ลานไว้เป็นช่องๆ กะจะใช้ปลูกผัก หนึ่งในความหวังที่ยิ่งใหญ่สุดของเขาคือการมีสวนไว้ปลูกหัวหอม กระเทียม และผักต่างๆ นี่แหละ
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าพละกำลังตนเองมากกว่าผู้ใหญ่สองเท่าได้ กล้ามเนื้อในร่างก็แน่นขึ้น
เริ่นเสี่ยวซู่ถามพระราชวังในห้วงจิต ‘ตอนนี้พละกำลังกับความคล่องแคล่วของฉันมีกี่แต้มแล้ว’
เสียงจากในพระราชวังดังขึ้น [ท่านมีพละกำลัง 5.5 แต้ม และความคล่องตัว 4.1 แต้ม]
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ดูเหมือนค่าสถานะตอนนี้สมดุลไม่เลว เขาคงไม่จู่ๆ ก็กลายเป็นพวกกล้ามปูแน่นอน
ทันใดนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็ถามขึ้น “พี่ ทำไมพี่ไม่รักษาคนไข้ทุกคนไปเลยล่ะ พวกเขาแต่ละคนก็เท่ากับเงินทั้งนั้นเลยนะ”
เริ่นเสี่ยวซู่เหลือบมองเขา “ฉันไม่รู้วิธีรักษา”
“หมอคนก่อนก็ไม่รู้วิธีรักษา แต่ก็ยังจะรักษาทุกคนที่มาคลินิกเลย” เหยียนลิ่วหยวนคิดตามและถามต่อ
“พวกเรายึดเขาเป็นบทเรียนไม่ได้หรอก” เริ่นเสี่ยวซู่อธิบาย “ดูจากชะตากรรมเขาตอนนี้ ถ้าเกิดเขาตกอยู่ในปัญหาบางอย่างเข้า จะมีใครช่วยเขาหรือเปล่าล่ะ ในฐานะมนุษย์ เราต้องมีหลักการที่ไม่อาจละเลยได้”
“แต่ถ้ามีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา ก็ไม่มีใครมาช่วยอยู่ดี” เหยียนลิ่วหยวนงุดหน้าพึมพำ “ในเมื่อพวกเขาไม่ช่วยเรา ทำไมพวกเราต้องใจดีมีเมตตากับพวกเขาด้วย ยุคสมัยแบบนี้มีคนมากมายที่รอดูเราล้มกันอย่างใจจดใจจ่ออยู่นะ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวนด้วยแววตาจริงจังยิ่ง เขารู้ว่าเหยียนลิ่วหยวนยังเด็กมาก คุณค่าในตัวเขาก็เพิ่งก่อร่างสร้างตัว สภาพแวดล้อมที่เหยียนลิ่วหยวนเติบโตมา ทำให้เขาได้รับความประสงค์ร้ายมามากมายจากโลกภายนอก
เริ่นเสี่ยวซู่ต้องยอมรับว่าเหยียนลิ่วหยวนพูดถูกต้องแล้ว ยุคสมัยนี้ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวเป็นเรื่องธรรมดา กระทั่งการคิดร้ายต่อผู้อื่นก็เป็นเรื่องธรรมดาไปในที่สุด ทว่าเริ่นเสี่ยวซู่ต้องการสอนให้เหยียนลิ่วหยวนเข้าใจอย่างหนึ่ง เรื่องบางเรื่อง เพียงเพราะผู้อื่นเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ก็ใช่ว่าเราจะต้องเห็นมันเป็นเรื่องธรรมดาตามเสียหน่อย
“ลิ่วหยวน จำไว้นะ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเข้ม “อย่าปล่อยให้ความทุกขเวทนาของยุคเรา กลายเป็นความทุกขเวทนาในตัวนายเอง”
เหยียนลิ่วหยวนตกอยู่ในภวังค์ลึก เสี่ยวอวี้มองสองพี่น้องด้วยดวงตาระยิบระยับ เธอพลันรู้สึกว่า ตราบใดที่เริ่นเสี่ยวซู่อยู่เคียงข้างเหยียนลิ่วหยวน เขาย่อมไม่มีทางตกไปสู่เส้นทางชีวิตผิดๆ แน่นอน
เสียงภายนอกดังขรม มีคนอุทานลั่น “พวกนักดนตรีกลับมาแล้ว! พวกเขาไม่ได้ไปป้อม 112 หรอกเหรอ ไหงกลับมาแล้วหว่า”
“จะว่าไป คนที่นำทางพวกเขาก็ไม่อยู่แล้วด้วย!”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมอง และก็นึกถึงเด็กสาวสวมหมวกที่มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติผู้นั้นทันที