ตอนที่ 30 เริ่นเสี่ยวซู่ คนผู้นั้นหัวไม่ปกตินะ

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

*วงดนตรีกลับมาแล้ว?*เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกงุนงงอยู่ไม่น้อย จากที่นี่ ปกติแล้วต้องใช้ระยะเวลาอย่างต่ำสองเดือนสำหรับไปกลับป้อมปราการ 112

นับเวลาตอนวงดนตรีออกเดินทาง เพิ่งผ่านไปเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น สรุปคือ…พวกเขาไปไม่ถึงป้อมปราการ 112 ในความเป็นจริง แม้แต่ตีนเขาจิ้งซานคงไปไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ

เพราะอย่างไรตอนนี้พวกหมาป่าก็ไม่กลัวเสียงปืนอีกต่อไปแล้ว!

พอนึกไปถึงพวกหมาป่า เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา เมื่อวานคุยกับหวังฟู่กุ้ยเรื่องหมาป่า เขาเผยว่าตนเองได้ยินข่าวมาจากผู้ดูแลเมืองเฉินไห่ตง ผู้ดูแลเมืองพูดว่าพวกหมาป่าสูญเสียหนักจากการลอบจู่โจมกองกำลังส่วนตัว หมาป่าทั้งฝูงเลยถอยร่นไปทางป้อมปราการ 111 เพื่อซ่อนตัวในเขาหยางซาน พวกเขาสันนิษฐานกันว่าพวกหมาป่าคงไม่กล้ากลับมาอีกแล้ว

แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเช่นนั้น พวกหมาป่าหายไปครั้งหนึ่ง ก็ยังกลับมาอยู่ดีไม่ใช่เหรอ ทั้งดุร้ายกว่าเดิมด้วย!

อะไรทำให้พวกหมาป่ามันวิวัฒนาการอีกครั้งกัน เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เลย

เริ่นเสี่ยวซู่มองดูความวุ่นวายภายนอกผ่านหน้าต่างคลินิก เขาเห็นผู้อพยพในเมืองออกจากกระท่อมตัวเองมาเมียงมองอย่างเงียบงัน เดิมทีก็สนใจในตัวพวกนักดนตรีอยู่แล้ว พอมีเรื่องเกิดกับพวกเขา พวกผู้อพยพจึงยิ่งให้ความสนใจกว่าเดิม

ตอนที่วงดนตรีเริ่มออกเดินทาง พวกเขามีรถออฟโรดไปด้วยสี่คัน ทว่าตอนนี้กลับเหลือเพียงคันเดียว แถมยังเคลื่อนตัวช้ามาก ดาราแห่งป้อมปราการอย่างลั่วซินอวี่และทหารอีกสามนายนั่งอยู่บนรถ ที่เหลือล้วนเดินเท้าตามมา ล้วนมีเสื้อผ้าฉีกขาดปุปะ

เหยียนลิ่วหยวนพูดขึ้น “ขาไปเชิดหน้าเชิดตา ไหงขากลับดันเหมือนพวกเราไปเสียฉิบ”

ถึงชีวิตพวกเขาตอนนี้จะพัฒนาขึ้นมาก แต่ยังคงมีน้ำไม่พอใช้อยู่ดี พอเป็นเรื่องน้ำ ผู้อพยพทุกคนล้วนเท่าเทียมกันหมด ทางป้อมปราการเข้มงวดกับกฎพวกนี้มาก

ถ้าพวกเขามีน้ำเหลือ เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนก็จะให้เสี่ยวอวี้ไปใช้อาบน้ำทันที เพราะพวกเขาใช้น้ำนิดเดียวแปรงฟันกันอยู่แล้ว

ไอ้ที่ว่าแปรงฟันจริงๆ หมายถึงใช้ก้านสนจุ่มเกลือหยาบมาถูฟัน หลังจากถูๆ ขัดๆ ไปพักหนึ่ง ค่อยใช้น้ำกลั้วปาก

พอเริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนที่หน้าตาดูสกปรกมอมแมมเห็นพวกนักดนตรีสภาพกลายมาเป็นเหมือนพวกตน ในใจก็อดมีความสุขขึ้นมาหน่อยๆ ไม่ได้

เด็กสาวสวมหมวกที่มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติก็กำลังเดินอยู่ด้านหลังรถออฟโรดเช่นกัน เสื้อผ้าเธอมีรูพรุนเต็มไปหมด แต่พอเริ่นเสี่ยวซู่ลองสังเกตเธอดีๆ เขาก็เห็นว่า ถึงแม้เธอจะดูน่าสมเพชเหมือนทุกคนในวง แต่ฝีเท้ากลับเบาและมั่นคงอยู่เช่นเดิม

เพียงดูแบบนี้แล้ว เด็กสาวสวมหมวกช่างแข็งแกร่งกว่าทหารกองกำลังส่วนตัวมาก

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่เริ่นเสี่ยวซู่คาดไว้อยู่แล้ว อย่างไรเสียบุคคลที่มีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติจะมาด้อยกว่าทหารพวกนั้นได้หรือ

ดาราลั่วซินอวี่ที่นั่งอยู่บนรถออฟโรดสั่ง “วิ่งไปรายงานในป้อมว่าพวกเรากำลังเข้าไป อย่าปล่อยให้พวกผู้อพยพมองเราเป็นลิงอยู่แบบนี้”

พอพวกทหารได้รับคำสั่ง ก็ชี้ปากกระบอกปืนไรเฟิลอัตโนมัติสีดำของตนไปยังเหล่าผู้อพยพ ทหารนายหนึ่งตวาดอย่างดุร้ายว่า “กลับไปคอกหมูของพวกแกซะ”

เมื่อเหล่าผู้อพยพเห็นทหารเริ่มลงมือเพราะหัวเสีย ก็กลับไปซ่อนตัวที่กระท่อมของตน

“อีกอย่าง!” ลั่วซินอวี่พูดเสียงเย็น “ไปตามตัวหวังฟู่กุ้ยมา!”

ความโหวกเหวกในเมืองค่อยๆ ซาลง ทุกคนกล้าเพียงกระซิบคุยกันในกระท่อมตัวเอง ถ้ารู้สึกคุยกันแค่ในครอบครัวไม่พอ ก็จะไปคุยกับกระท่อมข้างเคียงผ่านม่านประตู ซึ่งไม่มีตัวกั้นเสียงอะไรอยู่แล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่กับเหยียนลิ่วหยวนเอาตัวพิงขอบหน้าต่าง เหลือบมองภายนอก พวกเขาเห็นวงดนตรีแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งดำเนินเรื่องเข้าป้อมปราการ อีกกลุ่มมุ่งไปยังร้านขายของชำของหวังฟู่กุ้ย

“พี่ พวกเขาหาเหล่าหวังไปทำไมเหรอ” เหยียนลิ่วหยวนถาม

“พวกเขาคงจะไปจัดการเขาน่ะสิ ยังไงเขาก็เป็นคนแนะนำคนนำทาง แถมนักล่าที่เป็นผู้นำทางก็ไม่ได้กลับมาด้วย ใครจะรู้ว่าอาจจะพาทั้งกลุ่มไปเจอปัญหาเข้า จนต้องกลับมาในสภาพน่าสังเวชแบบนี้” เริ่นเสี่ยวซู่ลองคาดการณ์ดูคร่าวๆ

เริ่นเสี่ยวซู่เม้มปากอย่างเห็นอกเห็นใจ ตอนนักนำทางออกจากเมืองไป เขามองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างอวดๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นการลาจากกันสำหรับเขาเสียได้

แม้ภายนอกเขาสงบนิ่งได้อยู่ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล เริ่นเสี่ยวรู้สึกเป็นห่วงเรื่องหวังฟู่กุ้ยอยู่นิดหน่อย

คนที่อยู่บนรถออฟโรดก็ลงมาจากรถ ลั่วซินอวี่ใส่ชุดธรรมดาๆ สีขาว หรือจะพูดว่าก่อนหน้านี้เป็นสีขาวก็ว่าได้ เธอจ้องหวังฟู่กุ้ยเป็นเชิงถาม “นายแนะนำคนนำทางแบบไหนมาให้พวกเรา”

หวังฟู่กุ้ยถาม “เกิดอะไรขึ้น”

เขารู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อย ในเมื่อคนผู้นั้นเป็นนักล่ามากประสบการณ์ ไม่มีทางทำอะไรผิดพลาดแบบพวกมือใหม่ ทำไมพวกเธอถึงโมโหกันยกใหญ่

“ยังกล้าถามอีกเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น!” ลั่วซินอวี่ว่าเสียงเย็น “ก่อนพวกเราจะเข้าใกล้เขาจิ้งซาน เขานำเราไปผิดทาง หลังจากหลงอยู่สามวันก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนกันแน่”

มีคนมากมายรู้ว่าสามารถขับรถผ่านเขาจิ้งซานได้ เนื่องจากเป็นช่องถนนกรวด ซึ่งดูเหมือนว่าจะเคยเป็นก้นแม่น้ำมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลอะไรไม่ทราบ แม่น้ำได้แห้งขอดไปแล้ว

แน่นอนว่ารถปกติคงขับผ่านถนนเส้นนี้ไม่ได้ แต่กับรถออฟโรดไม่นับเป็นปัญหา

อย่างนั้นก็หมายความว่าคนนำทางพากลุ่มนักดนตรีไปไม่ถึงถนนเส้นนั้น

“เขาตายก่อนจะเจอทางไปต่อ” ทหารกองกำลังส่วนตัวนายหนึ่งพูดเสียงเย็นเยียบ “ในฐานะที่เป็นนักล่าจากแถวนี้ แต่ในแม่น้ำมีอันตรายยังไม่รู้เลย! ตอนเช้าเขาไปล้างหน้าที่ริมแม่น้ำ แล้วหน้าก็โดนอะไรบางอย่างกัดจนเหวอะ พอพวกเราไปเจอ เขาก็หมดลมหายใจไปแล้ว! หนำซ้ำเส้นทางที่เขานำไปยังมีพวกลิงดุร้ายเต็มไปหมด พวกเราแทบจะไม่รอดกลับมาแล้ว!”

เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ ไม่ใช่แล้ว มันมีเรื่องบางอย่างผิดปกติ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าแม่น้ำใกล้ๆ นี่มีปลากัดคน…มันเป็นปลาจริงหรือ

หวังฟู่กุ้ยพิงกรอบประตูของร้าน แล้วว่า “อ้อ เกิดเรื่องแบบนั้นหรอกเหรอ แต่ฉันไม่มีเวลาหาคนนำทางให้ใหม่หรอก พอดีมีเรื่องต้องไปจัดการให้เถ้าแก่หลัว”

ความจริงเถ้าแก่หลัวไม่ได้สั่งการอะไรเขาไว้ทั้งนั้นแหละ แค่พยายามบอกพวกนั้นกลายๆ ว่าเขามีเถ้าแก่หลัวหนุนหลังอยู่

พวกทหารขมวดคิ้ว กระทั่งลั่วซินอวี่ได้ยินแล้วก็ต้องตะลึงไป ไม่คิดเลยว่าชายที่พวกเขาจะสั่งสอนบทเรียนผู้นี้ดันมีเถ้าแก่หลัวหนุนหลังอยู่!

หวังฟู่กุ้ยพูดอย่างสบายๆ ว่า “ฉันบอกไปนานแล้ว ถ้าอยากจะไปที่นั่น ต้องใช้เริ่นเสี่ยวซู่”

“เจ้าคนที่สมองไม่ปกตินั่นน่ะนะ?” ทหารนายหนึ่งขมวดคิ้วแน่น “เจ้าเด็กที่ฝันหวานอยากเป็นหมอ?”

หวังฟู่กุ้ยพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา ชี้ไปทางหน้าต่างคลินิกที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน “พวกนายอาจจะไม่ทันคาดคิดนะ แต่เขาเป็นหมอจริงๆ แล้ว”

ลั่วซินอวี่กับพวกทหารถึงกับตะลึงลาน

ทุกคนหันมองไปตามทางที่หวังฟู่กุ้ยชี้ ก็เห็นใบหน้าสกปรกสองใบกำลังแนบสนิทกับกระจกคลินิกมองมาทางพวกเขาอย่างสงสัยใคร่รู้

ว่าตามตรง หวังฟู่กุ้ยรู้สึกอดทอดถอนใจไม่ได้ว่า ใช่แล้วเจ้าเด็กนี่จับพลัดจับผลูกลายมาเป็นหมอได้อย่างไรกันหว่า…